เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1044 การต่อสู้ทั้งห้ารอบนั้น ข้าจะรับผิดชอบเอง
ตอนที่ 1,044 การต่อสู้ทั้งห้ารอบนั้น ข้าจะรับผิดชอบเอง
องค์ชายอวี่พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองไม่ให้ไปกระตุ้นโทสะหลินเป่ยเฉินอีก
มีเพียงเขาและแม่ทัพใหญ่ระดับสูงไม่กี่คนเท่านั้นจึงจะรู้ถึงความร้ายกาจในปัจจุบันของหลินเป่ยเฉิน
บรรดาแม่ทัพและขุนพลผู้กล้าของจักรวรรดิจี้กวงต่างก็ไม่กล้าละเมิดคำสั่งขององค์ชายอวี่ พวกเขาทยอยสอดดาบกลับเข้าฝัก และจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเคียดแค้น คล้ายกับต้องการจะถลกเนื้อเถือหนังเด็กหนุ่มทั้งเป็น
“ท่านหัวหน้านักบวชหลิน องค์ชายเก้าก็แค่ล้อท่านเล่นเท่านั้น เหตุไฉนถึงต้องลงมือด้วยความอำมหิตถึงเพียงนี้?”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าองค์ชายอวี่กระตุกเล็กน้อย
“ล้อเล่นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่ามีใครอยากล้อเล่นอีกหรือไม่”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะตอบกลับไป
องค์ชายอวี่เดือดดาลขึ้นมาแล้วจริง ๆ
นี่คือการดูหมิ่นกองทัพจี้กวงที่สุด
ไม่มีใครคิดเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะกล้าฆ่าคนต่อหน้านายทหารระดับสูงของทั้งสองจักรวรรดิเพียงเพราะคำพูดแค่ไม่กี่คำ
หากทุกคนรู้ว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ ก็คงห้ามปรามไม่ให้องค์ชายเก้าเปิดปากพูดตั้งแต่แรก
แม้แต่ฝ่ายกองทัพเป่ยไห่ อย่างแม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนผู้อยู่บนเรือเหาะสีดำก็ถึงกับตกตะลึงไม่น้อย
หลินเป่ยเฉินอำมหิตเกินไป
แต่เมื่อการสังหารจบลง เหล่าขุนพลผู้กล้าของกองทัพเป่ยไห่กลับรู้สึกจิตใจฮึกเหิมขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
อำมหิตนี่แหละดีแล้ว!!
หลินเป่ยเฉินกำลังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริง
หลินเป่ยเฉินกำลังแก้แค้นให้กับพวกเขา
นี่ก็ผ่านมาได้หลายปีแล้ว เห็นทีคงจะมีแต่เพียงหลินเป่ยเฉินผู้เดียวเท่านั้นกระมังที่กล้าประพฤติตัวเช่นนี้ต่อคนของจักรวรรดิจี้กวง?
เมื่อจ้องมองไปยังกลุ่มคนบนเรือเหาะสีขาวที่โกรธแค้นแต่พูดอะไรไม่ได้ หลิงฉือผู้เย็นชาก็ถึงกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“พวกเราเลิกพูดจาไร้สาระกันได้แล้ว”
ภายใต้การจ้องมองจากดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วน หลินเป่ยเฉินเดินถือกระบี่ตรงไปยังแท่นประลองบนหน้าผาและกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ได้เวลาแล้ว พวกเรามาเริ่มประลองกันดีกว่า พวกท่านเลือกเอาเองว่าจะส่งใครจะออกมาตายเป็นคนแรก”
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
หลายคนโกรธแค้นตัวสั่นเทา
นี่คือคำตอบของหลินเป่ยเฉิน
คำตอบที่ทำให้สีหน้าองค์ชายอวี่แปรเปลี่ยนไป
ข้างกายขององค์ชายอวี่ยืนไว้ด้วยชายชราร่างกายสูงใหญ่หัวไหล่บึกบึนผู้หนึ่ง ดวงตาของเขาเป็นประกายวาวโรจน์ขณะกล่าวออกมาว่า
“การประลองครั้งนี้ กระหม่อมขอรับผิดชอบเอง”
ชายชราเสนอตัว
“ไม่ได้”
องค์ชายอวี่รีบห้ามเร็วไว “ท่านหัวหน้านักบวชซู สถานการณ์โดยรวมสำคัญที่สุด…”
ชายชราร่างสูงมีหูกาง แขนยาวเลยหัวเข่า บนแผ่นหลังสะพายธนูไม้คันหนึ่ง ลักษณะของธนูไม้คันนี้ไม่ต่างไปจากคันธนูของชาวไร่ชาวนา ที่แม้แต่เป็ดไก่สักตัวก็ไม่น่าจะยิงได้ด้วยซ้ำ
แต่สำหรับผู้คนที่อยู่บนเรือเหาะสีขาว ไม่มีใครกล้าดูถูกธนูไม้คันนี้
เพราะชายชรามีนามว่าซูถิงฟาง เขาคือมือธนูอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิจี้กวง
และเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนอันดับหนึ่งในรอบร้อยปี
อย่าว่าแต่เป็นธนูไม้คันนี้เลย ต่อให้เปลี่ยนเป็นต้นหญ้าต้นหนึ่งมาอยู่ในมือของเขา มันก็สามารถระเบิดภูเขาถล่มกำแพงเมืองได้อย่างง่ายดายยิ่ง
ผู้แข็งแกร่งเช่นมือธนูจ้าวอินทรีอวี้ซือไป๋ เมื่อมาอยู่ตรงหน้าซูถิงฟาง ก็คงเป็นได้เพียงลูกศิษย์ชั้นปลายแถวของเขาเท่านั้น
องค์ชายอวี่ย่อมไม่ต้องการให้ซูถิงฟางออกไปเผชิญหน้ากับหลินเป่ยเฉินในยามนี้
ดังนั้น สายตาขององค์ชายอวี่จึงเลื่อนไปจับที่ใบหน้าของชายฉกรรจ์ผู้สวมใส่เครื่องแบบนักบวชผู้หนึ่ง หลังจากหยุดคิดเล็กน้อย องค์ชายอวี่ก็กล่าวว่า “การประลองรอบแรก คงต้องรบกวนท่านนักบวชแล้ว”
นักบวชฉกรรจ์มีผมสีทองคำ ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ร่างกายกำยำ เสื้อคลุมนักบวชสีเงินที่สวมใส่ประดับด้วยลวดลายขนนกและลูกธนู เขามีนามว่านักบวชหมิงหลี่ รู้จักกันดีในฐานะมือขวาของท่านหัวหน้านักบวช
และตัวเขาเองก็ยังเป็นทูตสวรรค์ของเทพแห่งธนูอีกด้วย
“ฮ่า ๆๆ ประเสริฐ เดี๋ยวข้าจะจัดการหลินเป่ยเฉินให้ทุกท่านเอง”
เมื่อนักบวชหมิงหลี่ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความกระตือรือร้นเต็มเปี่ยม
เขาได้ยินข่าวลือของหลินเป่ยเฉินมามากมาย
แต่นักบวชหมิงหลี่ไม่เคยสนใจ
เพราะในสายตาของเขา ไม่มีผู้ใดจะเก่งกาจไปมากกว่าตนเองอีกแล้ว
นักบวชหมิงหลี่มีอายุเพียง 30 ปี ก็สามารถดำรงตำแหน่งมือขวาของท่านหัวหน้านักบวช และได้รับการยกย่องให้เป็นยอดอัจฉริยะผู้หนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นพลังลมปราณหรือพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายของเขา ล้วนแต่อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งสุดยอด
ด้วยเหตุนี้ นักบวชหมิงหลี่จึงมั่นใจในฝีมือของตนเองเสมอมาและไม่เคยเห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา
สำหรับคนเช่นเขา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนได้มาอย่างง่ายดายมากเกินไป
ครั้งนี้ เป็นโอกาสดีที่จะทำให้ทั้งโลกได้ตกตะลึง
ถ้าเขาสามารถสังหารหลินเป่ยเฉินได้สำเร็จ ชื่อของนักบวชหมิงหลี่ก็จะต้องโด่งดังไปทั่วทุกแว่นแคว้น ทั้งในจักรวรรดิเป่ยไห่และจักรวรรดิจี้กวงอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นสีหน้าที่มั่นอกมั่นใจของนักบวชหมิงหลี่ องค์ชายอวี่ก็อดกล่าวเสริมไม่ได้ว่า “ท่านนักบวช หากท่านรู้ตัวว่ากำลังจะพ่ายแพ้ ท่านต้องรีบขอยอมแพ้และรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้…”
นักบวชหมิงหลี่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ไม่จำเป็นหรอกพ่ะย่ะค่ะ… เพราะว่ากระหม่อมจะสังหารหลินเป่ยเฉินราวกับเป็นสุนัขข้างถนนตัวหนึ่ง”
หลังจากนั้น นักบวชหมิงหลี่ก็เหินร่างออกจากเรือเหาะกลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง
ลมหายใจต่อมา เขาก็มาปรากฏตัวอยู่บนผาดาวตก
บรรยากาศก่อนการต่อสู้ตึงเครียดขึ้นมาในพริบตา
“เจ้าคงเป็นหลินเป่ยเฉินสินะ?”
ดวงตาของนักบวชหมิงหลี่เป็นประกายเหยียดหยามระหว่างพูดว่า “หึหึ วิหารเทพีกระบี่คงหาใครไม่ได้อีกแล้วกระมัง ถึงกับต้องแต่งตั้งเจ้าขึ้นเป็นหัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวง โปรดจำเอาไว้ให้ดี ชื่อของข้าซึ่งเป็นคนที่กำลังจะสังหารเจ้าในวันนี้ก็คือ…”
“ไม่จำเป็น”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงแทรกขึ้นโดยทันที
“ว่าไงนะ?”
นักบวชหมิงหลี่สะดุ้งเล็กน้อย
คมกระบี่สาดประกาย
หลินเป่ยเฉินได้ตวัดกระบี่ในมือของเขาแล้ว
รวดเร็วมากเกินไป
ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
แต่ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะจบลงแล้ว
โลหิตไหลทะลักออกมาจากกลางหว่างคิ้วของนักบวชหมิงหลี่อย่างแช่มช้า
หยดเลือดสาดกระเซ็นราวกับเป็นมวลบุปผาสีแดงสด
มวลบุปผาที่กำลังบานสะพรั่งอย่างสวยงาม
ร่างของนักบวชหมิงหลี่ยืนโงนเงน สีหน้าปกคลุมด้วยความสยดสยองขณะเบิกตาโตจ้องมองหลินเป่ยเฉิน…
หลินเป่ยเฉินเป่าหยดเลือดออกไปจากกระบี่ของตนเอง
หยดเลือดปลิวกระจาย
ตกลงไปกระทบก้อนหินใต้เท้า
บัดนี้ ผาดาวตกได้รองรับโลหิตของชาวจี้กวงอย่างเป็นทางการแล้ว
“ไม่ต้องบอกชื่อเจ้าให้ข้ารู้หรอก”
เมื่อเป่าหยดเลือดออกไปจากกระบี่จนหมด เด็กหนุ่มจึงได้กล่าวต่อ “เพราะว่าเจ้าไม่คู่ควรมาอยู่ในความทรงจำของข้า และเจ้าไม่คู่ควรที่จะมาฝากนามเอาไว้บนผาดาวตกแห่งนี้”
พูดจบ
คมกระบี่ก็สาดประกายอีกครั้ง
ศีรษะของนักบวชหมิงหลี่ขาดกระเด็น
ศพไร้ศีรษะล้มลงกับพื้น โลหิตพุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอราวกับน้ำพุ
หลินเป่ยเฉินเดินหิ้วหัวของนักบวชหมิงหลี่นำไปวางไว้บนโต๊ะบูชาหน้าหินเคารพหลุมศพของฮันปู้ฟู่
บัดนี้ ธูปทั้งสามดอกนั้นเผาไหม้ไปได้ราวหนึ่งนิ้วมือแล้ว
เท่ากับมันเผาไหม้ไปได้หนึ่งในสิบของความยาวทั้งหมด
“เหลืออีกสี่คน”
หลินเป่ยเฉินยิงฟันยิ้ม
สีหน้าเบิกบานสำราญใจ
แต่แววตาเยือกเย็นและเศร้าหมองยิ่งนัก
เมื่อเขาเดินกลับขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นประลอง เด็กหนุ่มก็ใช้กระบี่ในมือชี้ไปทางเรือเหาะสีขาวและกล่าวว่า “ผู้ใดจะออกมาตายเป็นคนต่อไป?”
ระหว่างฟ้าดินสวรรค์และโลกมนุษย์ล้วนปกคลุมอยู่ในความเงียบงัน
ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงออกมา
นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?
หลินเป่ยเฉิน… ตั้งใจจะสู้ต่ออย่างนั้นหรือ?
ผู้มีพลังขั้นเซียนคนที่สองของจักรวรรดิเป่ยไห่ก็ยังคงเป็นเขา?
“หลินเป่ยเฉิน เจ้า…”
องค์ชายอวี่เดินมาที่หัวเรือและถามด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้า… คิดที่จะสู้ต่อจริงหรือ?”
กระบี่เงินในมือของหลินเป่ยเฉินวาดลงไปที่ก้อนหินใต้ฝ่าเท้า
ทันใดนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ แสงตะวันสาดส่องจับต้องร่างสูงโปร่ง ช่วยเสริมสร้างให้เขาหล่อเหลาสมบูรณ์แบบไม่ต่างไปจากรูปปั้นแกะสลัก หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “การประลองทั้งห้ารอบในวันนี้ ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง ไม่ทราบว่าผู้คนในกองทัพจี้กวงของท่าน มีความกล้าหาญมากพอหรือไม่?”