เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1052 ไปเอาสิ่งที่เป็นของข้ากลับคืนมาอีกครั้ง
ตอนที่ 1,052 ไปเอาสิ่งที่เป็นของข้ากลับคืนมาอีกครั้ง
นครหลวงของจักรวรรดิเป่ยไห่
ฤดูใบไม้ผลิมีอากาศแจ่มใส
บรรยากาศสวยงาม
ไม่มีผู้ใดทราบว่าข่าวดีจากการประลองเดิมพันชีวิตประจำปี 8889 นั้นช่วยทำให้อากาศดูแจ่มใสขึ้นหรือไม่
ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 ในอากาศเป็นศูนย์
นครหลวงอยู่ในความเงียบสงบ
ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสงครามและการก่อกบฏหายลับไปอย่างรวดเร็ว
อาคารบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายถูกสร้างใหม่ ต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกเผาไหม้ก็ได้รับการเพาะปลูกใหม่เช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจหรือวัฒนธรรม ไปจนถึงความแข็งแกร่งของบรรดามือกระบี่ ต่างก็ฟื้นฟูกลับคืนสู่จุดสูงสุดของจักรวรรดิเป่ยไห่อีกครั้ง
สิ่งที่เรียกว่าความหวังได้หยั่งรากฝังลึกลงในเมืองหลวงแห่งนี้
ผู้คนเดินตามท้องถนนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
และยังมีความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในนครหลวงอีกสองประการ
ประการแรก ปรากฏหลุมศพใหม่ถูกฝังในสุสานทั่วเมืองจำนวนนับไม่ถ้วน
ประการที่สอง ปรากฏรูปปั้นของหลินเป่ยเฉินตั้งตระหง่านอยู่ทุกหนทุกแห่งทั้งด้านในและด้านนอกนครหลวง
ติงซานฉือกับองค์หญิงแห่งท้องทะเลมาพำนักอยู่ในนครหลวงเป็นเวลาได้สามวันแล้ว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ติงซานฉือมานครหลวง
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่สามารถทำให้จิตใจของผู้ที่เห็นความไม่แน่นอนของโลกใบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนอย่างติงซานฉือตกตะลึงได้อีกแล้ว
แต่ถึงกระนั้น เรื่องราวตำนานเล่าขานเกี่ยวกับหลินเป่ยเฉินและรูปปั้นของเด็กหนุ่มที่ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็ต้องพบเจอ ก็ทำให้ติงซานฉืออดตกตะลึงไม่ได้จริง ๆ
ในโรงน้ำชา
นักเล่านิทานผู้สวมใส่ชุดเสื้อคลุมบัณฑิตซอมซ่อกำลังนั่งบอกเล่าเรื่องราวให้ลูกค้ารับฟังอย่างออกรสออกชาติ
ลูกค้าในโรงน้ำชาส่งเสียงปรบมือเกรียวกราว
ติงซานฉือแทบไม่อยากเชื่อว่าเด็กหนุ่มผู้ถูกเรียกขานให้เป็นวีรบุรุษหลิน หัวหน้านักบวชหลิน และท่านผู้กล้าหลินนั้นจะเป็นลูกศิษย์ของเขาเองจริง ๆ
เจ้าเด็กหนุ่มสมองเสื่อมจากเมืองหยุนเมิ่ง เพียงพริบตาเดียว ก็กลายเป็นวีรบุรุษของชาติไปเสียแล้วหรือ?
นอกจากนี้ ยังมีตำแหน่งเป็นหัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวง?
เป็นยอดฝีมือขั้นเซียน?
เป็นบุรุษผู้หล่อเหลาที่สุดในจักรวรรดิ?
เป็นผู้สร้างปาฏิหาริย์?
เป็นจอมเสเพล?
เป็นบุคคลโง่เขลา?
เป็นบุคคลที่ชาญฉลาด?
ตัวตนไหนคือตัวตนที่แท้จริงของหลินเป่ยเฉินกันแน่?
ติงซานฉือไม่รู้เลยว่าตนเองรับปีศาจประเภทใดมาเป็นลูกศิษย์กันแน่?
ชายชรานั่งแฝงตัวอยู่ในกลุ่มลูกค้า สีหน้าของผู้คนที่กำลังรับฟังเรื่องเล่าวีรกรรมอันกล้าหาญของหลินเป่ยเฉินต่างแสดงออกถึงความตื่นเต้น
เห็นดังนั้น ติงซานฉือก็ต้องยกน้ำชาขึ้นจิบเพื่อดับความตื่นเต้นของตนเองบ้าง
ใครจะไปคิดเลยว่าเด็กหนุ่มสมองเสื่อมจากสถานศึกษากระบี่ที่สามจะสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองและกลายมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ถึงเพียงนี้
ต่อให้รู้ดีว่าลูกศิษย์ของตนมีพรสวรรค์ในการฝึกกระบี่ แต่ติงซานฉือก็คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าลูกเต่าจะกลายเป็นวีรบุรุษกู้ชาติได้ในเวลาอันสั้น
จะเกิดอะไรขึ้นหากเขายกมือขึ้นและแสดงตัวกับทุกคนว่าตนเองเป็นอาจารย์ของหลินเป่ยเฉิน?
ลูกค้าในโรงน้ำชาแห่งนี้จะตื่นเต้นเหมือนได้พบเจอบิดาของวีรบุรุษแห่งชาติหรือไม่?
ติงซานฉือคิดเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ทีเดียว แต่ก็รู้สึกว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงที่คนอื่น ๆ จะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด เพราะฉะนั้น ชายชราจึงเลิกล้มความคิดนั้นไป
เมื่อรับฟังเรื่องเล่าในโรงน้ำชาจบลง ก็เกือบถึงเวลานัดหมายพอดี
ติงซานฉือเดินเอามือไขว้หลัง ร้องเพลงอย่างอารมณ์ดีตลอดเส้นทางกลับสู่สถานทูตของชาวทะเล
สถานทูตแห่งใหม่ถูกสร้างขึ้นเป็นการชั่วคราว สถาปัตยกรรมทุกอย่างออกแบบตามที่อยู่อาศัยของชาวทะเล นอกจากนี้ นักสร้างค่ายอาคมยังช่วยกันปรับอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของชาวทะเลอีกด้วย
บริเวณสวนหลังสถานทูตถึงกับมีบ่อน้ำเค็มขนาดใหญ่
เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปก็จะพบกับถนนโรยกรวดทอดยาวไปจรดอาคารหลังหนึ่ง
“ท่านอาจารย์ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”
น้ำเสียงที่กระตือรือร้นและคุ้นหูดังออกมาจากประตูของอาคารหลังนั้น
หลินเป่ยเฉินในชุดสีขาวราวหิมะวิ่งออกมาจากด้านใน
ติงซานฉือหยุดชะงัก
ในที่สุด เจ้าลูกเต่าก็กลับมาแล้วหรือ?
หลินเป่ยเฉินยังเหมือนเดิมทุกประการ ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
หัวใจชายชราพองโตด้วยความสุขที่ได้พบเจอเด็กหนุ่มอีกครั้ง แต่ด้วยความเป็นอาจารย์ผู้สูงศักดิ์ ติงซานฉือจึงต้องตีหน้าขรึม รักษากิริยามารยาทด้วยการตอบรับว่า “ยังดีที่เจ้านึกถึงอาจารย์… หืม?”
แต่หลินเป่ยเฉินก็วิ่งเข้ามาสวมกอดเขาเรียบร้อยแล้ว
“นี่ เจ้าหนู ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เจ้าทักทายอาจารย์เช่นนี้หรือ?”
นอกจากนั้น หลินเป่ยเฉินยังอุ้มเขาขึ้นแล้วหมุนตัวไปรอบ ๆ อีกด้วย
“เฮ้ย เฮ้ย อย่าหมุนสิ… เจ้าหมุนเร็วเกินไปแล้ว”
“ข้าเวียนหัวแล้ว ข้าเวียนหัว…”
“ย๊าก เจ้าลูกเต่าปีศาจ รีบวางอาจารย์ลงเดี๋ยวนี้… ผู้คนกำลังจ้องมองอยู่นะ”
ติงซานฉือจะสามารถทนทานได้อย่างไร?
เจ้าลูกเต่าน้อยมีความแข็งแกร่งมากเกินไป เขาไม่สามารถต้านทานพลังแห่งรักของหลินเป่ยเฉินได้อีกแล้ว ดังนั้น ติงซานฉือจึงทำได้เพียงส่งเสียงร้องขอความเห็นใจเท่านั้น
ชายชราเชื่อเหลือเกินว่าไม่เคยมีการพบเจอของลูกศิษย์และอาจารย์คู่ใดจะแปลกประหลาดเท่ากับคู่ของเขาอีกแล้ว
“อาจารย์ขอรับ ศิษย์คิดถึงอาจารย์เหลือเกิน”
หลินเป่ยเฉินปล่อยตัวติงซานฉือลง ก่อนจะยื่นมือออกมาข้างหน้า แล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ส่งมาได้เลยขอรับ”
“ส่งอะไรของเจ้า?”
ติงซานฉือหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
หลินเป่ยเฉินตอบกลับอย่างร่าเริง “ของขวัญขอรับ ของขวัญ…”
“ของขวัญอันใด? ข้าต้องเอาของขวัญให้เจ้าเนื่องในโอกาสอะไร?”
ติงซานฉือมีสีหน้างงงวย
แต่หลินเป่ยเฉินกลับมีสีหน้างงงวยมากกว่าเขาเสียอีก
เด็กหนุ่มรีบอธิบายอย่างกระตือรือร้น “อาจารย์ไม่รู้หรือขอรับว่าระหว่างที่อาจารย์ไม่อยู่นั้น ศิษย์ได้สังหารปีศาจไปถึงสองตัว ได้เลื่อนขอบเขตพลังขึ้นสู่ขั้นเซียน ได้สร้างความดีความชอบเอาไว้มากมาย? อาจารย์พลาดเรื่องราวสำคัญในชีวิตของศิษย์ไปเยอะเหลือเกิน เมื่อพวกเราได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง อาจารย์ก็ต้องมอบของขวัญเพื่อเป็นการตอบแทนความพยายามของลูกศิษย์ไม่ใช่หรือขอรับ?”
เม็ดเหงื่อผุดพราวบนหน้าผากของติงซานฉือ
เขาไม่ได้เตรียมของขวัญมาเลยสักชิ้น
“เรื่องนี้เอาไว้คุยกันทีหลังเถอะ”
ชายชราโบกมือวูบ
“ฮื่อ ถ้าอย่างนั้น… อาจารย์ขอรับ ข้าเพิ่งนึกได้ว่าศพของศิษย์พี่ฮันยังไม่มีใครค้นพบ ข้าขอตัวกลับไปหาศพของเขาที่ผาดาวตกต่อก่อนนะขอรับ ส่วนท่านก็เดินเที่ยวในนครหลวงเอาเองแล้วกัน หากไม่มีเรื่องคอขาดบาดตาย อย่าส่งจดหมายตามข้ากลับมาอีกเด็ดขาด…”
หลินเป่ยเฉินกำลังจะหมุนตัวและเดินหนีไปอย่างไร้เยื่อใย
ทันใดนั้น สายตาของเขาก็พบเข้ากับพี่หญิงเหยียนอิงผู้นั่งอยู่บนรถเข็นพอดี
เด็กสาวกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ใช้จ้องมองตัวโง่งมผู้หนึ่ง
“อ้าว พี่หญิง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน นมโตขึ้นเยอะเลย… เอ๊ย สวยขึ้นเยอะเลยนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินกางแขนออกกว้างพร้อมกับเดินเข้าไปหาด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง “มามะ มาให้ศิษย์น้องกอดหน่อย”
เด็กสาวรีบชักกริชที่ซ่อนอยู่ใต้ที่วางแขนของรถเข็นออกมาทันที
คมกริชสะท้อนประกายแวววาว
“งู้ย ศิษย์น้องแค่ล้อเล่น เหตุใดต้องจริงจังถึงเพียงนี้”
หลินเป่ยเฉินหยุดยืนอยู่กับที่และพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “แต่ข้าคิดถึงท่านจริง ๆ นะขอรับ”
องค์หญิงแห่งท้องทะเลผู้ยืนพิงเสาหินต้นหนึ่งอยู่ข้างประตูคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างหาได้ยากเมื่อเห็นปฏิกิริยาระหว่างบุตรสาวของนางกับหลินเป่ยเฉิน
เหยียนอิงเป็นบุคคลที่ไม่เคยยอมพบคนแปลกหน้า หากไม่ใช่ต้องพบกันเพื่อการฆ่าฟัน นางจะไม่แสดงตัวเด็ดขาด
แต่กับหลินเป่ยเฉินนั้นต่างออกไป
พฤติกรรมของหลินเป่ยเฉินเมื่อสักครู่นี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เด็กหนุ่มคงต้องมอดม้วยไปเรียบร้อยแล้ว แต่นี่ถึงบุตรสาวของนางจะชักกริชออกมาก็จริง แต่สีหน้าและแววตาหาได้ปรากฏความรังเกียจเดียดฉันท์ไม่
ต้องยอมรับว่าหลินเป่ยเฉินสามารถเข้าหาสตรีได้ทุกรูปแบบจริง ๆ
และที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ เขาทำให้เหยียนอิงอารมณ์ดีมากทีเดียว
ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนสถานะจากเด็กหนุ่มธรรมดาผู้หนึ่งกลายเป็นวีรบุรุษแห่งประเทศชาติ จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวตนของหลินเป่ยเฉินไปเลยสักนิด
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น อย่าว่าแต่จะจดจำเพื่อนสนิทครั้งเก่าก่อนได้เลย เกรงว่าป่านนี้คนเหล่านั้นคงลืมชาติกำเนิด ลุ่มหลงในอำนาจลาภยศ ประพฤติตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่
แต่สำหรับหลินเป่ยเฉิน เขาทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขายังคงยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
แม้แต่ติงซานฉือผู้เป็นอาจารย์ก็ยังต้องเกรงใจเด็กหนุ่มอยู่หลายส่วน
ทว่า หลินเป่ยเฉินก็ยังคงหยอกล้อกับชายชราด้วยความรักและเคารพเช่นเดิม
ความขี้เล่นร่าเริงของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมโดยไม่รู้ตัว
แต่แน่นอนว่านี่อาจเป็นเพราะเด็กหนุ่มมีอาการทางสมองกระมัง?
องค์หญิงแห่งท้องทะเลได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
…
หลังจากนั้น
ในห้องรับรอง
“อาจารย์ขอรับ ไม่ใช่ว่าท่านต้องอยู่โลกใต้สมุทรตลอดไปแล้วหรือ?” หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความสงสัย “ข้าว่าจะหาเวลาไปช่วยเหลือท่านออกมาอยู่พอดี คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะสามารถกลับออกมาได้เองเช่นนี้ หรือว่าท่านปฏิบัติหน้าที่เขยแห่งสมุทรไม่ได้เรื่อง? ชาวทะเลจึงขับไล่ท่านกลับมาอยู่บนบกอีกครั้ง?”
“พูดจาเหลวไหล”
ติงซานฉือตบศีรษะลูกศิษย์สุดที่รักด้วยความเดือดดาล “เขยแห่งสมุทรอะไรของเจ้า? ชาวทะเลขับไล่อะไรของเจ้า? นี่เป็นเพราะพวกเขาเห็นถึงความสามารถที่แท้จริงของข้าต่างหาก ความผิดที่แล้วมาในอดีตจึงได้รับการให้อภัย และพวกเขาก็มอบสถานะการเป็นอาจารย์ของเจ้า คืนมาให้กับข้าอีกครั้ง…”
องค์หญิงแห่งท้องทะเลและบุตรสาวไม่ได้พูดคำใด แต่ดวงตาจ้องมองติงซานฉือเขม็ง
พวกนางตัดสินใจที่จะไม่พูด
คู่แม่ลูกอยากรู้ว่าติงซานฉือจะเสแสร้งแกล้งดัดต่อไปได้ถึงขั้นไหน
เมื่อเผชิญเข้ากับแววตาขององค์หญิงแห่งท้องทะเลและเหยียนอิง เสียงพูดของชายชรายิ่งมาก็ยิ่งแผ่วเบา สุดท้าย เขาก็ต้องเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “แน่นอนว่าการขึ้นแผ่นดินใหญ่ของข้าในครั้งนี้ ย่อมมาเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่เหยียนอิง ก็ใครใช้ให้เจ้าลงมือที่ผาดาวตกด้วยความอำมหิตถึงเพียงนั้น ชาวทะเลจึงต้องส่งพวกเราขึ้นมาสังเกตการณ์ดูแล้ว…”
เมื่อหลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นเขาก็เข้าใจทันที
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
องค์หญิงแห่งท้องทะเลยังคงไม่หายตกตะลึง
เหยียนอิงบุตรสาวของนางมีอำนาจบนแผ่นดินใหญ่เกินคาดคิด นับตั้งแต่ที่ชาวทะเลลงนามในสนธิสัญญาพิเศษกับจักรวรรดิเป่ยไห่ ไม่ว่าจะเป็นการค้าหรือการทหารของชาวทะเลต่างก็มีความมั่นคงมากขึ้นทั้งสิ้น
และการต่อสู้บนผาดาวตก หลินเป่ยเฉินสังหารทั้งทูตสวรรค์และหัวหน้านักบวชของมหาวิหารเทพแห่งธนู สังหารผู้มีพลังขั้นเซียนระดับห้าจากจักรวรรดิต้าเกี๋ยน สังหารยอดขุนพลอันดับหนึ่งของจักรวรรดิจี้กวง ดังนั้น เหยียนอิงจึงใช้ข้ออ้างว่าหวาดเกรงหลินเป่ยเฉินจะฆ่ากวาดล้างจักรวรรดิจี้กวง อาจส่งผลให้วังสมุทรของพวกเขาเกิดปัญหา นางจึงได้ขอเบิกตัวบิดามารดาขึ้นมาบนแผ่นดินใหญ่ เพื่อทำหน้าที่สังเกตการณ์หลินเป่ยเฉินอย่างใกล้ชิด
ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในแผนการของเด็กสาวมาตั้งแต่แรก
เช่นเดียวกับที่มันอยู่ในแผนการของหลินเป่ยเฉินมาตั้งแต่แรกเช่นกัน
เหยียนอิงสามารถมีอำนาจบนแผ่นดินใหญ่ได้ก็เพราะเขา และเด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าตราบใดที่เด็กสาวมีอำนาจ นางก็จะสามารถปลดปล่อยบิดามารดาออกจากโลกใต้สมุทรได้อย่างแน่นอน
หลินเป่ยเฉินส่งยิ้มให้แก่เด็กสาวบนรถเข็นเหมือนอยากจะขอรับความดีความชอบ แต่เมื่อสิ่งที่ได้รับกลับมาคือแววตาอำมหิต เขาจึงหุบยิ้มโดยทันที
เมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ องค์หญิงแห่งท้องทะเลก็ต้องยกมือขึ้นปิดปากกลั้นหัวเราะ
ลูกศิษย์และอาจารย์นับว่ามีนิสัยเหมือนกันเป็นอย่างยิ่ง
“จริงด้วยสิขอรับ ในจดหมายแจ้งให้ข้ารีบกลับมาหาท่านที่นครหลวง เกรงว่าอาจารย์คงมีเหตุผลสำคัญนอกจากเรียกข้ามาพบธรรมดาแล้วกระมัง?”
หลินเป่ยเฉินรีบเปลี่ยนเรื่องแล้วถามด้วยความสงสัย
ใบหน้าของติงซานฉือปรากฏความเคร่งเครียดอย่างหาได้ยากยิ่งขณะกล่าวว่า “ที่ข้าบอกให้เจ้ารีบกลับมานั้น ก็เพราะข้าอยากจะพาเจ้าไปที่เมืองไป๋หยุนในฐานะลูกศิษย์ของข้าไงล่ะ”
เมืองไป๋หยุน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของมือกระบี่แห่งจักรวรรดิเป่ยไห่
เมืองแห่งนี้ถูกก่อตั้งโดยปฐมกษัตริย์แห่งจักรวรรดิเป่ยไห่
เป็นเวลาเนิ่นนานทีเดียวที่เมืองไป๋หยุนและราชวงศ์แห่งจักรวรรดิเป่ยไห่มีความผูกพันแน่นแฟ้น กล่าวได้ว่ามีความสัมพันธ์ในชนิดที่มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านมาโดยตลอด
แต่สำหรับเหตุการณ์ก่อกบฏที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เมืองไป๋หยุนกลับไม่ส่งกำลังพลมาช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว อย่าว่าแต่จะแสดงความจงรักภักดี การกระทำของผู้คนจากเมืองไป๋หยุน แสดงออกราวกับว่าชาวเป่ยไห่เป็นคนแปลกหน้าก็ไม่ปาน
“อาจารย์จะไปทำอะไรที่เมืองไป๋หยุนหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินนำผลกวนเจี๋ยออกมาแจกจ่ายให้ทุกคนได้รับประทานและถามด้วยความอยากรู้ต่อไป
ติงซานฉือตอบว่า “กลับไปเอาสิ่งที่เป็นของข้าคืนมา และสิ่งนั้นก็เป็นของเจ้าด้วยเช่นกัน”