เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1093 ยิ่งเกลียดก็ยิ่งพบเจอ
ตอนที่ 1,093 ยิ่งเกลียดก็ยิ่งพบเจอ
บนที่นั่งของตัวแทนจากสำนักกระบี่กังวานที่อยู่ห่างออกไป มือกระบี่ของพวกเขานั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา รวมไปถึงผู้อาวุโสใหญ่ประจำสำนักอย่างอวิ๋นเฟยหยาง ซึ่งบัดนี้ได้แสดงสีหน้าโกรธแค้นออกมาแล้ว
ไป๋หยุนมีสถานะเป็นเพียงเมืองชายแดนเล็ก ๆ เท่านั้น
อย่าว่าแต่เทียบกับสำนักใหญ่ในแผ่นดินตงเต้า ต่อให้เทียบกับสำนักกระบี่ระดับสามัญทั่วไป หากอยู่นอกเหนือจักรวรรดิเป่ยไห่ เมืองไป๋หยุนก็จะถูกจัดอันดับให้อยู่รั้งท้ายด้วยซ้ำ
แต่ผู้ที่ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองกลับกล้ากล่าววาจาสามหาวเช่นนี้ออกมาแล้ว?
บนยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิง
“อย่างนั้นก็ย่อมได้”
หลี่ไจ่หลินกลับมามีสีหน้าเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว
ในฐานะมือกระบี่ สิ่งสำคัญที่สุดคือสมาธิ
หลี่ไจ่หลินไม่สามารถปล่อยให้ตนเองสูญเสียสมาธิได้เด็ดขาด
นิ้วทั้งสิบของเขาขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
แพกระบี่ทั้งสิบเล่มที่ลอยตัวอยู่ด้านหลังพลันพุ่งออกมาจากฝักอีกครั้ง
กระบี่ทั้งสิบเล่มพุ่งออกมาพร้อมกัน
“สิบกระบี่พันเงาสังหาร… จงตายซะ!!”
ในเสียงกระซิบแผ่วเบา กระบี่บินได้ทั้งสิบเล่มนั้นก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นลำแสงสิบสาย พุ่งโจมตีออกไปข้างหน้า
“ฮ่า ๆๆ…”
ท่านเจ้าเมืองฉู่อวิ๋นซุนระเบิดเสียงหัวเราะ กระบี่สีดำแดงในมือเขาเป็นประกายแปลกประหลาด ก่อนที่ม่านละอองเลือดจะฟุ้งกระจาย
พริบตาต่อมา ม่านละอองเลือดเหล่านั้นกลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นกระบี่โลหิตห้าเล่ม
นับเป็นกระบี่ที่ยาวและคมกริบ
เสมือนกระบี่แห่งความตายจากนรก
ส่วนกระบี่ที่ถืออยู่ในมือท่านเจ้าเมืองหนุ่มก็ตวัดฟันออกไปหนึ่งกระบวนท่า
รังสีกระบี่สีดำแดงพุ่งออกไปตัดอากาศ โดยที่มีกระบี่ในมือของฉู่อวิ๋นซุนทำหน้าที่คอยควบคุมหางเสือ
เพล้ง!
และแทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง ลำแสงกระบี่ทั้งสิบสายของฝ่ายตรงข้ามก็แตกสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย
ไม่ต่างจากหมอกควันที่ถูกสายลมพัดพา
และรังสีกระบี่ของฉู่อวิ๋นซุนก็ยังเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างแช่มช้าแต่มั่นคง ก่อนที่รังสีกระบี่จะพุ่งทะลวงร่างของหลี่ไจ่หลินในที่สุด
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลาพริบตาเดียว
“อะเฮือก…”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในแววตาของหลี่ไจ่หลิน
เขามั่นใจว่าตนเองต้องรับกระบี่นี้ได้ทัน แต่เหตุไฉนเขาจึงหลีกเลี่ยงกระบี่นี้ไม่ได้?
มันเหมือนกับว่าเพียงพริบตาเดียว คมกระบี่ก็มาถึงตัวแล้ว
“ฮ่า ๆๆ…”
ฉู่อวิ๋นซุนยังคงระเบิดเสียงหัวเราะต่อเนื่อง ร่างกายของเขาพลิ้ววูบ ก่อนที่กระบี่ในมือจะตวัดฟันใส่ฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง
ศีรษะของหลี่ไจ่หลินขาดกระเด็น
โลหิตไหลฉีดพุ่งปานน้ำพุ
ตึง!
ศพไร้ศีรษะแบะออกเป็นสองซีกก่อนล้มลงไปบนพื้นดิน
ฉู่อวิ๋นซุนเดินเข้าไปหยิบหัวของหลี่ไจ่หลินขึ้นมาจากพื้น มุมปากยกตัวเป็นรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะโคจรพลังลมปราณในมือ ระเบิดศีรษะของคู่ต่อสู้แตกกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด
“ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้มากเกินไป”
ฉู่อวิ๋นซุนมีสีหน้าผิดหวัง เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปยังสมาชิกคนอื่น ๆ ของสำนักกระบี่กังวาน พร้อมกับระเบิดเสียงคำรามว่า “สำนักของพวกท่านอ่อนแอมากเกินไปแล้ว”
บังเกิดเสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นจากรอบบริเวณ
ไม่มีใครคิดเลยว่าท่านเจ้าเมืองไป๋หยุนจะมีความแข็งแกร่งถึงขั้นนี้
กระบี่ในมือของเขาสามารถทำลายการโจมตีของหลี่ไจ่หลินซึ่งเป็นผู้อาวุโสลำดับที่สี่จากสำนักกระบี่กังวานได้ในเวลาเพียงลมหายใจเดียว
ทั้งวิธีการต่อสู้ของเขายังดุเดือดเลือดพล่านและอำมหิตอย่างยิ่ง
หลี่ไจ่หลินเสียชีวิตลงแล้ว
แม้แต่ศีรษะก็ไม่มีเหลือ
ไม่ว่าจะเป็นผู้คนจากสำนักใด ในขณะนี้สายตาของพวกเขาก็ต้องจับจ้องไปยังร่างของชายหนุ่มที่ยืนอยู่กลางสังเวียนประลองด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด
“คนต่อไป”
ฉู่อวิ๋นซุนกระดิกนิ้วเรียกคู่ต่อสู้ของตนเอง
“เจ้าข่มเหงผู้อื่นเกินไปแล้ว”
ผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักกระบี่กังวานลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ผู้อาวุโสหลี่อุตส่าห์ไว้ชีวิตเสี่ยวหราน คิดไม่ถึงเลยว่าท่านเจ้าเมืองผู้นี้กลับอำมหิตยิ่งนัก… กราบเรียนท่านเจ้าสำนัก ผู้เฒ่าขออาสาออกไปจัดการเอง”
เจ้าสำนักกระบี่กังวานมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะตอบว่า “ได้โปรดระวังตัวด้วย ผู้อาวุโสซ้ง หากท่านรู้ตัวว่าจะแพ้ อย่าได้ฝืนเด็ดขาด…”
“ผู้เฒ่ารับคำบัญชา”
แล้วผู้อาวุโสซ้งก็ทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนสังเวียนประลอง
การต่อสู้จึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง
…
ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป
บนสังเวียนประลองที่ยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิง ปรากฏซากศพไร้วิญญาณนอนทอดร่างอยู่ห้าศพ
ล้วนแต่เป็นร่างของผู้อาวุโสลำดับที่สี่หลี่ไจ่หลิน ผู้อาวุโสใหญ่ซ้งซัว องครักษ์ซ้ายขวาเว่ยซานเซียว อิ๋นเฉิงซยง และเจ้าสำนักอวิ๋นเฟยหยาง ทั้งหมดล้วนตายใต้คมกระบี่ของท่านเจ้าเมืองไป๋หยุนฉู่อวิ๋นซุนหมดสิ้น
มีเพียงท่านเจ้าสำนักอวิ๋นเฟยหยางเท่านั้นที่มีโล่วิเศษสามารถรับการโจมตีกระบวนท่าแรกของฉู่อวิ๋นซุนได้สำเร็จ ส่วนคนอื่นๆ นั้น ต่างก็ถึงแก่ความตายในลักษณะที่ไม่ต่างไปจากหลี่ไจ่หลิน
แต่เมื่อเจ้าสำนักกระบี่กังวานเผชิญหน้ากับกระบี่ที่สองของฉู่อวิ๋นซุน เขาก็ไม่รอดอีกแล้ว
กระบี่และโล่วิเศษของเขาแตกหัก ไม่อาจต้านทานการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้อีกต่อไป
นับดูการต่อสู้ในรอบนี้ ตั้งแต่ที่ฉู่อวิ๋นซุนปรากฏตัวบนเวที เขาใช้เวลาจัดการคู่ต่อสู้ไม่ถึง 20 ลมหายใจด้วยซ้ำ
ส่วนเวลาที่เหลือนอกเหนือจากนั้น เขาใช้มันไปกับการพูดคุยและตั้งคำถามเหยียดหยามฝ่ายตรงข้าม
แต่การประลองก็จบลงแล้ว
การประลองคู่แรกจบลง โดยฝ่ายที่ตกรอบคือสำนักกระบี่กังวาน
พวกเขาต้องสูญเสียผู้อาวุโสสองคน เสียองครักษ์อีกสองนายและยังถึงกับต้องสูญเสียเจ้าสำนัก ต่อให้บรรดาลูกศิษย์ในสำนักที่เหลืออยู่จะโกรธแค้นสักเพียงใด แต่พวกเขาล้วนมีพลังต่ำต้อยมากเกินไป จึงไม่สามารถทำอะไรได้ และยิ่งไม่มีความกล้าหาญมากพอที่จะแก้แค้น
นี่คือสิ่งที่ระบุอยู่ในกฎการประลองเช่นกัน
หากเจ้าสำนักถูกฆ่าตาย ผู้เป็นลูกศิษย์ก็มีสิทธิ์คิดล้างแค้น
แต่บัดนี้ ต่อให้เจ้าสำนักถึงแก่ความตาย ทรัพย์สินในสำนักถูกปล้นสะดม ยังจะมีใครกล้าเผชิญหน้ากับฉู่อวิ๋นซุนอีกหรือ?
และถังกงเยวียนผู้ดูแลเจดีย์เซียนเหยียบเมฆแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ก็ได้ประกาศแล้วว่าการต่อสู้จบลงแล้ว ลูกศิษย์ของสำนักกระบี่กังวานที่เหลืออยู่จึงทำได้เพียงกระโดดลงมาบนสังเวียนประลองเพื่อเก็บซากศพคนฝ่ายตนเองเท่านั้น…
“ฮ่า ๆๆ น่าเบื่อเหลือเกิน มีแต่พวกเศษสวะทั้งนั้น”
ฉู่อวิ๋นซุนมีสีหน้าผิดหวัง ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้าย และหมุนตัวเดินกลับไปนั่งประจำที่ของตนเอง
ลู่กวนไห่มีสีหน้าไร้อารมณ์
ฉู่อวิ๋นซุนหันกลับไปมองหน้าติงซานฉือ
แต่ชายชราก็ยังคงนั่งหลับตาก้มหน้าไม่ต่างจากนักบวชกำลังจำศีล ตัดขาดตนเองจากสิ่งรอบตัวโดยสิ้นเชิง
“ใช้การไม่ได้”
ฉู่อวิ๋นซุนหัวเราะในลำคอเย้ยหยัน
บรรยากาศโดยรวมของงานประลองแปรเปลี่ยนไปแล้ว
นี่เป็นเพียงการประลองระหว่างสำนักคู่แรกเท่านั้น
แต่กลับมีคนตายถึงห้าศพ
หลินเป่ยเฉินเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของผู้คนที่อยู่รอบตัวเขา ดูเหมือนว่าการสังหารบนเวทีประลองเหล่านี้จะไม่ได้เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด… พวกของเหยียนหรู่อี้และลูกศิษย์ของนางมีสีหน้าตกตะลึงก็จริง แต่หาได้มีความประหลาดใจไม่
หลินเป่ยเฉินจึงรู้แล้วว่าระดับความอันตรายในงานประลองกระบี่ครั้งนี้มีมากเกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้
นี่คือการประลองที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน
ตราบใดที่เหยียบเท้าลงไปบนสังเวียน หากไม่ได้เป็นผู้ชนะ ก็ต้องตาย!
ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะได้อยู่รอดต่อไป
ดังนั้น นี่เท่ากับว่าหลินเป่ยเฉินกำลังจะได้เผชิญหน้ากับพวกยอดฝีมือจากนอกจักรวรรดิแล้วสินะ?
ชักน่ากลัวแล้วสิ
หลินเป่ยเฉินรีบเปิดการเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟ
บริเวณที่นั่งรอบสังเวียนมีเสียงพูดคุยดังอึงอล
เดิมที ทุกคนเข้าใจว่าการประลองระหว่างสำนักคู่แรกอาจจะไปจบลงในช่วงบ่าย
คิดไม่ถึงเลยว่าการประลองคู่แรกจะจบลงรวดเร็วเช่นนี้
“คู่ต่อไป จะเป็นการประลองระหว่างสำนักมหากระบี่กับสำนักกระบี่กระดูกขาว”
เสียงของถังกงเยวียนดังกังวานไปทั่วบริเวณอีกครั้ง
สำนักมหากระบี่ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสำนักใหญ่ที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดสามลำดับแรก ส่วนสำนักกระบี่กระดูกขาวถูกจัดอยู่ในอันดับ 21 นับว่ายังมีความแตกต่างกันอยู่มากนัก
ตอนแรก หลินเป่ยเฉินนึกว่านี่จะเป็นการต่อสู้ที่ชนะกันตั้งแต่ยังไม่เริ่มประลอง
แต่เมื่อประลองได้ถึงคู่ที่สี่ ตัวแทนจากสำนักกระบี่กระดูกขาวกลับเป็นผู้ชนะ
และการต่อสู้ระหว่างสองสำนักก็มีการนองเลือดน้อยกว่าที่คิด
แม้ว่าสำนักกระบี่กระดูกขาวจะพ่ายแพ้ในที่สุด แต่พวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บเพียงแค่สามคนเท่านั้น มีเพียงหนึ่งคนที่แขนขาด และไม่มีผู้ใดถึงกับต้องเสียชีวิต
ตัวแทนจากสำนักมหากระบี่กระโดดลงมาสู่เวทีประลองเพียงสามคนเท่านั้นและพวกเขาก็ต่อสู้อย่างยั้งมือไว้ไมตรีอยู่หลายส่วน
การต่อสู้ระหว่างสำนักคู่ที่สองใช้เวลาไปถึงสี่ชั่วยาม
เมื่อการต่อสู้จบลง ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว
บนยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิงอาบไล้ไปด้วยแสงดาวสว่างนวลตา
แต่งานประลองยังไม่หยุดลง
การประลองดำเนินไปเช่นนี้จนถึงวันที่สาม ในที่สุด ก็ได้เวลาที่สำนักคฤหาสน์กำยานจะลงสู่สังเวียนแล้ว
“สำนักคฤหาสน์กำยาน พบกับ เผ่ามนุษย์ปักษาขนแดง”
เสียงประกาศของถังกงเยวียนยังคงกึกก้องกังวานอยู่เช่นเคย
สีหน้าของกลุ่มคนผู้รับชมอยู่เส้นรอบนอกของยอดเขาล้วนปรากฏความประหลาดใจขึ้นมาทันที
เพราะก่อนเริ่มงานประลองประจำปีนี้ สมาชิกเผ่ามนุษย์ปักษาได้กระทำการลวนลามตัวแทนจากสำนักคฤหาสน์กำยาน ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย และส่งผลให้ต้องมีคนจากเผ่ามนุษย์ปักษาเสียชีวิตไปในวันแรก เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงคิดไม่ถึงเลยว่าคู่ต่อสู้ที่สำนักคฤหาสน์กำยานต้องพบเจอจะกลับกลายเป็นเผ่ามนุษย์ปักษาขนแดงไปเสียได้
หรือนี่จะเป็นอย่างที่คำโบราณเคยกล่าวเอาไว้ว่า ยิ่งเกลียดก็ยิ่งพบเจอ?
“ฮ่า ๆๆ…”
ผู้นำกลุ่มมนุษย์ปักษาระเบิดเสียงหัวเราะ
ก่อนที่ลูกสมุนของมันจะรับช่วงหัวเราะต่อเสียงดังกังวานด้วยความเหยียดหยามและตื่นเต้น
โอกาสแก้แค้นของพวกมันมาถึงแล้ว
วูบ!
ลำแสงสายหนึ่งทิ้งตัวลงไปบนเวทีประลอง
ปรากฏว่าเป็นผู้อาวุโสของเผ่ามนุษย์ปักษาที่เคยขอร้องผู้อาวุโสฉีให้ปลดปล่อยลูกสมุนของตนนั่นเอง
ลำดับชั้นของมนุษย์ปักษาจะตัดสินกันด้วยความแข็งแกร่ง ในเผ่าของพวกมันมีผู้อาวุโสอยู่ 12 ตัว ลำดับชั้นที่รองลงมาคือขั้นนักรบ ด้วยความที่เป็นเผ่าพันธุ์ตัวประหลาดชื่อดังประจำแผ่นดินตงเต้า ทุก ๆ คนจึงรับทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพวกมันเป็นอย่างดี
ผู้อาวุโสประจำเผ่ามนุษย์ปักษาขนแดงนั้น แต่ละตัวมีพลังไม่ต่ำกว่าขั้นเซียนระดับสี่
เมื่อปรากฏตัวขึ้นบนเวทีประลอง มนุษย์ปักษาผู้อาวุโสก็ระเบิดเสียงคำรามด้วยภาษามนุษย์ที่หลินเป่ยเฉินก็ยังฟังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี
เดือดร้อนให้หูเหม่ยเอ๋อร์ต้องทำหน้าที่ล่ามแปลภาษาอีกครั้ง
“พี่เป่ยเฉิน ตัวประหลาดเฒ่าผู้นี้บอกว่ามันจะระเบิดร่างท่านให้กระจุย และไม่มีผู้ใดในกลุ่มของเราจะเป็นคู่มือของมันได้เจ้าค่ะ”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ
“มันคิดว่าตัวเองมีค่ามากพอที่จะให้ข้าออกไปแสดงฝีมือเชียวหรือ?”
เด็กหนุ่มจ้องมองไปยังมนุษย์ปักษาบนสังเวียนและกล่าวว่า “ขนาดขั้นเซียนระดับห้ายังเปรียบเสมือนสุนัขข้างถนนเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า แล้วนับประสาอะไรกับตัวประหลาดเฒ่าผู้นี้ น้ำหน้าอย่างมันไม่ต้องถึงมือข้าหรอก… น้องเซียว มอบให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว”
เซียวปิงซึ่งกำลังนั่งรับประทานน่องไก่ย่างรีบเก็บน่องไก่เข้าไปในอกเสื้อ ก่อนจะลุกขึ้นยืน รับคำว่า “ข้าน้อยจะไม่ทำให้ท่านพี่ผิดหวัง”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนสะกิดปลายเท้า
พื้นหินใต้เท้าของพวกเขาถึงกับสั่นสะเทือนเล็กน้อย
แล้วเซียวปิงก็ทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนสังเวียนประลอง
เมื่อไปปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าคู่ต่อสู้ เด็กหนุ่มร่างอ้วนก็ไม่เปิดโอกาสให้ตัวประหลาดเฒ่าได้มีเวลาตั้งตัว เขาอาศัยความชำนาญจากการฝึกซ้อมในเกม Lost Castle นำปืนไรเฟิล 98k ออกมาใช้งานโดยไม่ลังเล
“สวัสดีและลาก่อน”
ปืน 98k พ่นกระสุนออกมา
ลูกกระสุนทะลวงเข้าเป้าหมายอย่างแม่นยำ
เซียวปิงแทบไม่ต้องเสียเหงื่อเลยสักหยดเดียว