เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1158 แข็งแกร่งมากขึ้น
ตอนที่ 1,158 แข็งแกร่งมากขึ้น
“ย่าห์ ย่าห์ ย่าห์ ย่าห์ ย่าห์…”
ในสำนักกระบี่อมตะ ขมับของเผิงอี้เหลียงเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปน ชุดสีขาวที่เขาสวมใส่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ เสื้อผ้าแนบติดร่างกาย เผยให้เห็นมัดกล้ามเนื้อที่ตึงแน่น…
เขากำลังระเบิดเสียงร้องออกมาด้วยความมุ่งมั่น
รอบกายของชายหนุ่มเต็มไปด้วยม่านพลังเปลวไฟที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ม่านพลังเปลวไฟนั้นทวีความร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ
ตู้ม!
คลื่นความร้อนแผ่กระจายออกไป
ทันใดนั้น ม่านพลังเปลวไฟที่ครอบคลุมร่างกายของเผิงอี้เหลียงก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่ต่างจากตะเกียงใกล้ดับมอดถูกเติมน้ำมันเข้าไป…
“สำเร็จแล้ว”
“เลื่อนขั้นพลังได้แล้ว”
“ยอดปรมาจารย์ตอนปลาย”
เมื่ออิ๋นซานและลูกศิษย์ในสำนักกระบี่อมตะเห็นดังนั้นก็โห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ
“ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว”
เผิงอี้เหลียงหอบหายใจ ร่างกายรู้สึกได้ถึงมวลพลังสายใหม่ที่โคจรไปทั่วร่าง น้ำตาของเขาไหลล้นออกมาด้วยความปลื้มปีติ
ในที่สุด เขาก็เลื่อนขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายได้สำเร็จ
ในที่สุด เขาก็ไม่ได้ทำให้หลินเป่ยเฉินต้องผิดหวัง
…
ในค่ายอาคมสมรภูมิรบ
“สาวน้อย หยุดเถอะ ข้ายั้งมือไว้ไมตรีให้เจ้ามามากพอแล้ว หากเจ้ายังไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี…”
ติงเฉินหลงบุตรชายของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักมหากระบี่จ้องมองเฉียนเหมยด้วยแววตารำคาญใจ
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเวลาล่วงเลยมาถึงขั้นนี้ เด็กสาวกลับไม่แสดงอาการเหนื่อยล้าสักนิด อีกทั้งนางยังมีท่าทีสดชื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย
หากเป็นในเวลาปกติ เขาอาจจะยอมเสียเวลาเล่นสนุกกับนางได้ไม่เบื่อ
แต่วันนี้เป็นสถานการณ์พิเศษ
ติงเฉินหลงต้องจัดการนางให้ได้ก่อน แล้วค่อยจัดการคนอื่น ๆ ทีหลังเพื่อรับความดีความชอบ
การโค่นล้มเมืองไป๋หยุนในครั้งนี้เป็นภารกิจจากวิหารเทพพงไพร ยิ่งสามารถสังหารคนในเมืองไป๋หยุนได้เท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งได้รับรางวัลมากเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ กระบวนท่าที่ติงเฉินหลงใช้ออกมาจึงเปลี่ยนไปแล้ว
วูบ!
กระบี่ของเขาทิ่มแทงใส่หน้าอกเฉียนเหมยด้วยความดุดันอำมหิต
นี่คือกระบวนท่าพิฆาตจากวิชากระบี่ฝ่าพสุธา…
เมื่อถูกใช้ออกมา ก็ไม่เคยมีผู้ใดต้านทานได้
กระบี่นี้รวดเร็วยิ่ง
คมกระบี่จี้ไปที่หน้าอกของเฉียนเหมย
“รนหาที่ตายนัก”
เฉียนเหมยตวัดกระบี่ปัดป้องด้วยความเดือดดาล กระบวนท่าที่นางใช้ออกมาในขณะนี้มาจากวิชากระบี่โลหิตพิโรธ ซึ่งมีพลังโจมตีรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง
ติงเฉินหลงแทบต้านทานไม่อยู่
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
ทันใดนั้น เฉียนเหมยลงมือโจมตีอย่างรุนแรง ส่งผลให้กระบี่ของทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างต่อเนื่อง สะเก็ดไฟปลิวกระจายในอากาศ
ทุก ๆ กระบี่ที่ติงเฉินหลงโจมตีออกมา ล้วนมีเป้าหมายโจมตีไปที่หน้าอก ช่วงเอว หว่างขา ต้นขาและตำแหน่งอื่น ๆ ในร่างกายของเฉียนเหมย…
แต่ไม่มีการโจมตีครั้งใดที่ประสบผลสำเร็จ
ทุกกระบี่ล้วนถูกปัดป้องได้
เฉียนเหมยเริ่มมีสีหน้าดุดันมากขึ้น
โดยเฉพาะเจตนาอันสกปรกต่ำช้าของฝ่ายตรงข้าม ยิ่งทำให้เพลิงโทสะของเด็กสาวลุกโชนมากกว่าเดิม…
“พอกันที”
ในที่สุด เฉียนเหมยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
เพลิงโทสะทำให้พลังลมปราณของเด็กสาวพุ่งถึงขีดสูงสุด ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ และในจังหวะนั้น เฉียนเหมยก็สามารถเลื่อนขั้นพลังได้สำเร็จ!
“นี่มันอะไรกัน?”
ติงเฉินหลงมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาหรี่ลงในทันใด “พลังเช่นนี้มัน…”
เขารู้สึกได้ถึงภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่
นี่คือพลังของผู้ที่อยู่ในขั้นเซียน
ทันใดนั้น เฉียนเหมยระเบิดพลังลมปราณออกมา
นางเหวี่ยงกระบี่ในมือฟาดฟันด้วยกระบวนท่าเดียว
“กระบี่พิโรธปลดปล่อยโลหิตย้อมพื้นดินพันลี้”
ตลอดร่างกายเด็กสาวมีเปลวไฟลุกโชนสว่างไสว
เมื่อกระบี่ของนางถูกตวัดออกมา รังสีกระบี่ที่เป็นเปลวไฟร้อนแรงก็พุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้าม
ตู้ม!
ติงเฉินหลงลอยกระเด็นออกไป
โลหิตสาดกระจายในอากาศ หลังจากนั้น โลหิตเหล่านี้ก็ระเหยหายไปด้วยมวลความร้อนจากเปลวไฟของรังสีกระบี่
พลั่ก!
ติงเฉินหลงร่วงหล่นกระแทกพื้น ผิวหนังไหม้เกรียม โลหิตไหลทะลักออกปาก ดวงตาจ้องมองไปที่เฉียนเหมย ซึ่งกลายเป็นมนุษย์เปลวไฟด้วยความเหลือเชื่อ
เป็นไปได้อย่างไร?
เหตุไฉนถึงได้แข็งแกร่งขึ้นเช่นนี้?
เลื่อนขั้นพลังได้สำเร็จอย่างนั้นหรือ?
ตลอดร่างของเฉียนเหมยปกคลุมด้วยเปลวไฟสีแดงฉาน
เมื่อนางก้าวเท้าออกมาข้างหน้า พื้นดินก็จะเกิดเป็นรอยเท้าลุกเป็นไฟทางด้านหลัง
มวลอากาศรอบกายเฉียนเหมยในระยะสิบกว่าวาร้อนระอุ ได้ยินเสียงปะทุตัวดังเปรี๊ยะปร๊ะจากเปลวไฟตลอดเวลา
“ไม่นะ…”
ติงเฉินหลงร่ำร้องด้วยความตื่นตระหนก
เขาลุกขึ้นและหันหลังวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว “ท่านพ่อ ช่วยลูกด้วย”
เขาวิ่งหนีออกไปนอกเขตสมรภูมิ ความหวังเดียวที่จะรอดชีวิตในขณะนี้ได้ก็คือร้องขอให้บิดาซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักมหากระบี่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่แล้วติงเฉินหลงกลับต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น
บนบัลลังก์หินนอกเขตสมรภูมิ นั่งไว้ด้วยหนูยักษ์ขนเงินตัวหนึ่ง มันกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่บนบัลลังก์ด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง…
เมื่อเห็นติงเฉินหลงวิ่งออกมา เจ้าหนูยักษ์ก็ยิ้มกริ่ม
“สวัสดีพี่ชาย”
ข้างกายของเจ้าหนูยักษ์ตัวนี้ยังยืนไว้ด้วยเด็กหนุ่มร่างอ้วนอีกคนหนึ่ง และเด็กหนุ่มผู้นี้ก็กำลังรับประทานน่องไก่ย่างอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อเขาเหลือบมาเห็นหน้าติงเฉินหลง เด็กหนุ่มร่างอ้วนก็ยิ้มแย้มทักทายอย่างอารมณ์ดี
เกิดอะไรขึ้น?
ติงเฉินหลงเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
ในทันใดนั้น มวลอากาศที่ร้อนผ่าวก็คุกคามเข้ามาจากทางด้านหลัง
หลังจากนั้น ทุกอย่างที่อยู่ในสายตาของติงเฉินหลงก็หมุนวนตีลังกา
วูบ! วูบ!
ติงเฉินหลงที่กลายสภาพเป็นศพไร้ศีรษะล้มลงไปกับพื้นดิน
เปลวไฟร้อนระอุเผาซากศพไม่เหลือสิ้น
เมื่อเห็นเช่นนั้น ทั้งอากวงและเซียวปิงก็ต้องหันมองหน้ากันด้วยหัวใจเต้นระทึก
นี่มันพลังปราณธาตุไฟ!
และจากอานุภาพการทำลายล้างที่เกิดขึ้น นี่ย่อมไม่ใช่พลังปราณธาตุไฟธรรมดา
ไม่มีผู้ใดสามารถให้คำตอบได้ว่านี่คือพลังปราณธาตุไฟชนิดใดกันแน่
แต่แน่นอนว่ามันเป็นพลังปราณธาตุไฟที่มีอานุภาพการโจมตีรุนแรงมาก
หากพวกเขาไม่อยากถูกเล่นงาน ในอนาคตคงต้องหลีกเลี่ยงการยั่วโมโหเฉียนเหมยซะแล้ว
หนึ่งคนหนึ่งมุสิกรีบยืนตัวตรง เซียวปิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพผิดปกติว่า “ขอแสดงความยินดีด้วยขอรับท่านแม่ทัพเฉียนเหมย บัดนี้ ท่านแม่ทัพสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สำเร็จแล้ว”
เฉียนเหมยเก็บกระบี่ด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย “พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเฉียนเจินเป็นอย่างไรบ้าง?”
“นางกำลังพาผู้คนไปต่อสู้ในตัวเมืองขอรับ”
เซียวปิงรีบตอบอย่างเร็วไว
เฉียนเหมยชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ “บัดซบ ทำไมเจ้าไม่อยู่ปกป้องนาง? เจ้าไม่รู้หรือว่าบัดนี้ในตัวเมืองอันตรายขนาดไหน…”
ก็ข้ามาที่นี่เพื่อปกป้องเจ้าไม่ใช่หรือ?
เซียวปิงไม่กล้าพูดมาก ได้แต่กล่าวต่อไปว่า “วางใจเถอะขอรับ ในตัวเมืองเรากวาดล้างพวกหนูโสโครกไปหมดแล้ว บัดนี้ ไม่เหลือภัยคุกคามใดที่จะเป็นอันตรายต่อเฉียนเจินได้อีก…”
พวกหนูโสโครก?
เพียะ!
อากวงใบหูกระดิก หันขวับมาใช้หมัดทมิฬต่อยเซียวปิงเต็มแรง
เจ้าหนูไม่พูดอะไรมาก แต่มันจะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกเผ่าพันธุ์ของมันเด็ดขาด
เซียวปิงไม่ทันได้ตั้งตัว เขาจึงถูกต่อยลอยกระเด็นออกไป
ในขณะที่ตัวคนลอยกระเด็นออกไปนั้น เด็กหนุ่มร่างอ้วนก็ส่งเสียงตะโกนมาว่า “ข้าแค่พูดเปรียบเปรยเท่านั้น… ฮือออ”
…
เอ๊ะ?
“นี่เราแข็งแกร่งขึ้นหรือไงนะ?”
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกได้ถึงมวลพลังที่เพิ่มขึ้นในร่างกายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เขายกมือจับเส้นผมของตนเองโดยไม่รู้ตัว
ไม่เป็นไร
ผมยังไม่ร่วง
‘ติ๊ง! ภารกิจกอบกู้ความรุ่งเรืองสู่สำนักกระบี่อมตะสำเร็จแล้ว’
เสียงสวรรค์ดังขึ้นในหัวของหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ก่อนที่ความสุขใจนั้นจะถูกแทนที่ด้วยความดีใจ
บัดนี้ เขาเลื่อนขอบเขตพลังขึ้นมาอยู่ในขั้นเซียนระดับ 4 ได้สำเร็จแล้ว!!