เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1196 สิ่งสำคัญอยู่ที่การควบคุมพลังเวทมนตร์
ตอนที่ 1,196 สิ่งสำคัญอยู่ที่การควบคุมพลังเวทมนตร์
ผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยาม
เจ้าบ้าใบ้หลินเป่ยเฉินก็เดินหงุดหงิดออกมาจากฐานบัญชาการของสำนักหนามทมิฬ
“การรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ระดับ 3 ช่างย่ำแย่เสียจริง”
“ใครกันนะที่เข้ามาเก็บกวาดทรัพย์สินของสำนักหนามทมิฬตัดหน้าเรา”
“พวกมันเล่นเก็บกวาดไม่เหลืออะไรเอาไว้ให้เราสักชิ้น น่าเจ็บใจนัก”
เมื่อต้องเดินกลับออกมามือเปล่า หลินเป่ยเฉินจึงรู้สึกรำคาญใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อผนวกกับเรื่องที่เกือบจะต้องเสียตัวให้แก่แม่นางหมิงก่อนหน้านี้ นี่ก็เป็นการ ‘พลาด’ ครั้งที่สองของเขาในวันนี้แล้ว
ทุกอย่างผิดพลาดไปหมด
ดูเหมือนว่าชีวิตในดินแดนทวยเทพจะไม่ได้สุขสบายเท่ากับชีวิตบนโลกมนุษย์เสียแล้ว
หลินเป่ยเฉินเดินมาพบร้านน้ำชาริมถนนโดยบังเอิญ จึงสั่งน้ำชามารับประทานพร้อมกับนำโทรศัพท์มือถือออกมาติดต่อหาเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพร้อมกับนึกทบทวนสิ่งที่ตนเองพบเจอมาตลอดทั้งวัน
“มือกระบี่ในดินแดนเทพเจ้าไม่ได้มีทักษะการต่อสู้แข็งแกร่งอย่างที่คิด โดยเฉลี่ยแล้ว พวกเขามีพลังเทียบเท่าขั้นยอดปรมาจารย์เท่านั้นเอง”
“อย่างเจ้าเจี๋ยหร่าประมุขของสำนักหนามทมิฬผู้นั้น มันมีพลังเทียบเท่ากับขั้นเซียนระดับ 4 แต่วิชาเวทมนตร์เถาวัลย์โลหะที่มันใช้ออกมานั้นไม่เหมือนกับวิชาระดับเซียนของมนุษย์ทั่วไป ดูจากพลังโจมตีครั้งสุดท้ายที่มันใช้ออกมา เจี๋ยหร่าก็น่าจะสังหารขั้นเซียนระดับ 7 ได้สบาย ๆ”
“ไม่อยากจะนึกเลยว่าวิชาเวทมนตร์ที่มีพลังโจมตีรุนแรงมากกว่านี้จะน่ากลัวขนาดไหน?”
“พูดอีกอย่างก็คือ สิ่งที่ทำให้ยอดฝีมือในดินแดนทวยเทพแตกต่างจากยอดฝีมือในโลกมนุษย์ก็คือพลังเวทมนตร์เหล่านี้นี่เอง”
“แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่การคาดเดาของเราเท่านั้น”
“เจี๋ยหร่ามาจากตระกูลนักรบเทวะโดยตรง ย่อมมีพลังเวทมนตร์สูงส่งกว่าผู้คนทั่วไป”
“ส่วนพวกสมาชิกร่วมสำนักระดับสูงอย่างเทวะกระบี่บินกู่ถัวหรืออสูรขนเหล็กเล่ยจวิน พวกมันไม่มีพลังเวทมนตร์ เท่ากับว่าไม่ได้มาจากครอบครัวนักรบเทวะ… ระดับความแข็งแกร่งเพียงเท่านั้น ให้อาจารย์ติงหรือพี่ใหญ่เกาจัดการได้ไม่มีปัญหา”
“แต่ทำไมเราถึงรู้สึกว่าดินแดนทวยเทพมันดูแปลกประหลาดชอบกล?”
“นอกจากบรรยากาศผู้คนจะไม่ได้แตกต่างไปจากโลกมนุษย์แล้ว อาณาบริเวณยังไม่กว้างใหญ่ สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดียวที่ครอบครองทรัพยากรทั้งหมดก็คือมนุษย์…”
“แต่เป็นมนุษย์ที่เรียกตนเองว่าเทพเจ้าเท่านั้น”
“นอกจากเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกับเทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่สองคนแล้ว เราก็ยังไม่ได้เจอเทพเจ้าองค์อื่น ๆ อย่างจริงจังอีกเลย และเทพธิดาทั้งสองคนนี้ที่เราพบเจอ ก็ไม่ได้มีสง่าราศีของเทพเจ้าสักนิด”
“ที่นี่ไม่สมกับเป็นดินแดนเทพเจ้าเลยจริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินได้ข้อสรุปออกมาเช่นนั้น
แต่ที่สำคัญก็คือเขตพื้นที่ระดับ 3 เต็มไปด้วยความวุ่นวายโกลาหล คนอ่อนแอถูกคนที่แข็งแกร่งกว่ารังแก บรรยากาศในการดำรงชีวิตเลวร้ายยิ่งกว่าบนโลกมนุษย์ แม้จะมีการดำรงอยู่ของวิหารเทพเจ้าสาขาที่ 98 แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยแก้ไขสิ่งใดได้เลย
เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ก่อนจะนำป้ายเหล็กสีดำแผ่นหนึ่งออกมาอย่างช้า ๆ
นี่คือสิ่งที่เขาพบจากศพของเจี๋ยหร่า ประมุขน้อยแห่งสำนักหนามทมิฬ
ป้ายโลหะแผ่นนี้สลักลวดลายเถาวัลย์พันเกี่ยวเลี้ยวลดรัดพันอสูรและเทพเจ้า บนเถาวัลย์เหล่านั้นยังปรากฏหนามแหลมให้เห็นอีกด้วย
ด้านหลังของป้ายโลหะแผ่นนี้ ยังแกะสลักข้อความตัวอักษรที่หลินเป่ยเฉินอ่านไม่เข้าใจ
“นี่คงจะเป็นคัมภีร์ฝึกวิชาควบคุมเถาวัลย์โลหะที่หมอนั่นใช้แน่ ๆ เพียงแต่ว่าเรายังอ่านไม่ออก”
หลินเป่ยเฉินนั่งพลิกแผ่นเหล็กกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ ก็ไม่พบว่ามันจะลงค่ายอาคมเอาไว้แต่อย่างใด
หลังจากนั้นไม่นาน เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็มาปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
นางเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาด บนศีรษะพันด้วยผ้าโพกศีรษะเหม็นหืน เห็นได้ชัดว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกำลังปลอมตัว นางปรับพลังปราณเทวะของตนเองลง คล้ายกับไม่ต้องการให้ผู้ใดรับรู้ถึงการปรากฏตัวของนาง
สภาพของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงในขณะนี้จึงแทบไม่ต่างไปจากขอทานคนหนึ่ง
หากไม่ใช่เพราะว่าหลินเป่ยเฉินจดจำหน้าอกและทรวดทรงองค์เอวของนางได้ตั้งแต่แรกเห็น เด็กหนุ่มก็คงจำนางไม่ได้เช่นกัน
“เจ้าทำอะไรของเจ้าไม่ทราบ?”
ทันทีที่เห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ไม่เสียเวลาทักทายแม้แต่น้อย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าไหอู่กับข้าต้องเสียเงินไปมากมายเพียงใด ถึงจะทำให้เจ้าเข้าพบกับแม่นางหมิงได้สำเร็จ? แต่สุดท้ายเจ้ากลับวิ่งหนีออกมาเสียอย่างนั้น”
“อย่าพูดเรื่องราวเหลวไหลเลยดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินยื่นส่งป้ายโลหะสีดำแผ่นนั้นออกไป “ช่วยตรวจสอบดูให้หน่อย”
“คัมภีร์เวทมนตร์ระดับ 2?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงชำเลืองมองดูเล็กน้อยก็กล่าวต่อ “ของสิ่งนี้เปรียบดั่งเศษขยะข้างถนน เจ้าจะเอามันมาทำอะไร? เอามาให้ข้าดีหรือไม่ ข้าจะนำไปขายแลกเป็นเงิน”
หลินเป่ยเฉินรีบดึงแผ่นป้ายโลหะกลับมาทันที “นี่คือของรางวัลของข้า ข้าอยากจะเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก… ท่านอ่านออกหรือไม่ว่าตัวอักษรทางด้านหลังเขียนเอาไว้ว่าอย่างไร?”
“ย่อมอ่านออก”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “มันคือภาษาเทวะ”
“ภาษาเทวะ?”
หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อยก่อนถามออกมาโดยไม่รู้ตัว “ไม่น่าใช่ ข้าอ่านภาษาเทพได้ แล้วทำไมถึงอ่านข้อความบนป้ายนี้ไม่ออก?”
“แล้วใครบอกเจ้าว่าภาษาเทพคือภาษาเทวะ?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพยายามกลั้นยิ้มด้วยความขบขันและอธิบายว่า “ภาษาที่เจ้าได้เรียนรู้น่ะเรียกว่าภาษาเทพระดับสามัญ เป็นภาษาที่นิยมใช้กันในกลุ่มพลเมืองและคนบาป ส่วนตัวอักขระที่อยู่บนป้ายเหล็กแผ่นนี้เป็นภาษาเทวะ ซึ่งเป็นภาษาเทพระดับสูง กลุ่มพลเมืองไม่มีคุณสมบัติที่จะได้เรียนรู้ หรือต่อให้แอบเรียนรู้ด้วยตนเอง พวกเขาก็ไม่มีทางเข้าใจเด็ดขาด”
เชี่ย
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ “ขนาดเรื่องภาษายังมีแบ่งแยกชนชั้นกันอีกเหรอเนี่ย?”
ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ
“ก็มันเป็นภาษาของเทพเจ้าระดับสูง จะให้ผู้คนทั่วไปมารู้เหมือนกันหมดได้อย่างไร?” เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวเสียงเรียบ “กลุ่มเทพเจ้าที่ปกครองดินแดนนี้ ไม่มีทางปล่อยให้กลุ่มพลเมืองหรือกลุ่มคนบาปได้มีความสามารถเทียบเท่ากับตนเองอยู่แล้ว พวกเขาพยายามจะสร้างสิ่งที่เหนือกว่าตลอดเวลา แม้แต่เรื่องราวของภาษาก็เช่นกัน”
“แต่จะไม่มีกลุ่มพลเมืองหรือกลุ่มคนบาปแอบเรียนด้วยตัวเองจริง ๆ หรือ?”
หลินเป่ยเฉินอดถามออกไปไม่ได้
“ก็อย่างที่ข้าบอก แอบเรียนได้ แต่สุดท้ายก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“สรุปว่าท่านอ่านข้อความเหล่านี้ออกใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินชูแผ่นป้ายโลหะสีดำในมือขึ้นอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้น ช่วยแปลข้อความให้ข้าหน่อยสิ”
“เจ้าอยากจะเรียนวิชาเวทมนตร์ระดับ 2 อย่างนั้นหรือ?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงสัมผัสได้ถึงเจตนาที่แท้จริงของหลินเป่ยเฉิน จึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาเปลี่ยนใจ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะแปลให้นะ แต่วิชาพวกนี้มันเป็นเศษขยะ… สำหรับเจ้า ฝึกไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก”
“เลิกลีลาได้แล้ว รีบแปลข้อความมาซะ”
หลินเป่ยเฉินเสียงเข้ม
“เฮอะ น้องชาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เจ้าอยู่ที่ใด? นี่คือดินแดนเทพเจ้า มันเป็นดินแดนของข้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่…”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเชิดคางขึ้นและหัวเราะเยาะอย่างถือดี
ตุบ!
ศิลาบูชาก้อนหนึ่งพลันถูกโยนใส่ร่องอกของนาง
หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “รีบแปลข้อความ”
“อ้อ ก็ได้ ป้ายโลหะแผ่นนี้ถูกเรียกว่ากุญแจคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ และป้ายโลหะของเจ้าก็เป็นกุญแจคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการเปิดประตูเพื่อเรียนรู้วิชาเถาวัลย์สายฟ้า ซึ่งเป็นวิชาเวทมนตร์ระดับ 2 ที่ถูกสร้างสรรค์โดยเหล่าเทพเจ้าที่อยู่เหนือเทพเจ้าทั้งปวงอีกที…”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรีบเก็บศิลาบูชาและแปลข้อความด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หลินเป่ยเฉินจดจำสิ่งที่นางพูดออกมาอยู่ในใจ
เขาถามต่อไป “นั่นหมายความว่าหากจะเรียนวิชาเวทมนตร์ ตัวข้าก็ต้องมีพลังเวทมนตร์ก่อนใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงให้คำตอบด้วยสีหน้ามั่นใจและอธิบายต่อโดยทันที “และแน่นอนว่าหากเจ้ามีคะแนนศรัทธาเพียงพอจนได้กลายเป็นเทพเจ้าเต็มตัว หรือได้รับการประทานพรจากบรรดาเทพเจ้าที่อยู่เหนือดินแดนทวยเทพ เจ้าก็จะสามารถเรียนรู้วิชาเหล่านี้ได้เช่นกัน…”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
ยิ่งเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับดินแดนทวยเทพมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีคำถามเกิดขึ้นในใจมากเท่านั้น
ดูเหมือนนอกเหนือจากดินแดนทวยเทพแล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งภพภูมิที่อยู่สูงกว่าใช่หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินลอบคิดอยู่ในใจว่า “ผู้คนในดินแดนทวยเทพแห่งนี้ ไม่มีค่าคู่ควรที่จะปกครองโลกมนุษย์เลยสักนิด”
“แล้วข้าจะสามารถใช้งานตำแหน่งเซียนกระบี่ของตนเองได้เมื่อใด?”
เด็กหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว
“ข้ากำลังดำเนินการอยู่ เจ้าวางใจเถอะ ในเมื่อรับเงินมาแล้ว ข้าไม่มีทางหลอกลวงเจ้าเด็ดขาด”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพยักหน้า ก่อนจะยื่นมือออกมาข้างหน้า
แล้วตะเกียงทองเหลืองดวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของนาง
มันเป็นตะเกียงโบราณขนาดเล็ก รูปทรงคล้ายคลึงกับกาน้ำชา ไส้ตะเกียงยื่นออกมาจากบริเวณพวยกา ขณะนี้กำลังมีเปลวไฟดวงน้อยเผาไหม้อยู่บนไส้ตะเกียงนั้น
“นี่คือตะเกียงแห่งไฟเทวะที่จะใช้เพื่อปลดผนึกพลังของเซียนกระบี่ในตัวเจ้า หากเจ้าสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์จากอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดของตนเองกับตะเกียงดวงนี้ได้สำเร็จ เจ้าก็จะสามารถปลดผนึกพลังของตำแหน่งเซียนกระบี่ได้โดยสมบูรณ์และเจ้าก็จะกลายเป็นเทพเจ้าเต็มตัว”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงใช้มือซ้ายป้องกันตะเกียงและประคองตะเกียงทองเหลืองในมือส่งให้แก่หลินเป่ยเฉินอย่างระมัดระวัง
หลินเป่ยเฉินมองไปที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
สีหน้าของนางจริงจัง ไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย
“นางบอกให้เราใช้พลังศักดิ์สิทธิ์…”
หลินเป่ยเฉินนึกทบทวนดูเล็กน้อย ก็จำได้ว่านักพรตหญิงชินเคยมอบคัมภีร์เกี่ยวกับการโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นพื้นฐานมาให้เขาเล่มหนึ่ง
ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเปิดโทรศัพท์และค้นหาแอปพลิเคชันจากคัมภีร์เล่มนั้น ก่อนจะเปิดการทำงานโดยทันที
ฟู่!
เปลวไฟดวงน้อยที่อยู่บริเวณพวยกาของตะเกียงทองเหลืองพลันพวยพุ่งใส่หว่างคิ้วของหลินเป่ยเฉิน
ลมหายใจต่อมา…
ตู้ม!
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงการระเบิดของมวลพลังที่แปลกประหลาดในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดของตนเอง
ไม่ต่างจากการระเบิดบิ๊กแบง
ดวงดาวในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดที่เป็นตัวแทนของผู้ศรัทธาในตัวเขาระเบิดกระจายกลายเป็นมวลพลังงานหนึ่งเดียว…
ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดจะ ‘เริ่มต้นใหม่’ อีกครั้ง
แล้วทุกอย่างก็จบลง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย
ก่อนที่ร่างกายจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เขาสะบัดศีรษะและถามว่า “แค่นี้เองหรือ…?”
“ไม่แค่นี้แล้วเจ้าจะเอาแค่ไหน?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูดออกมา “เจ้าสามารถจุดตะเกียงไฟเทวะได้สำเร็จ ตราบใดที่เจ้าสั่งสมพลังต่อไปในอนาคต เจ้าก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น… บัดนี้เจ้ากลายเป็นเทพเจ้าเต็มตัวแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้ามึนงงและสับสน “แต่ข้าไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนไปเลยนะ นี่ท่านกำลังหลอกลวงข้าอยู่ใช่หรือไม่?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหัวเราะในลำคอด้วยความไม่พอใจ “ข้าจะโกหกเจ้าเพื่ออะไร หากเจ้าไม่เชื่อ ลองดูที่กุญแจคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์สิ”
หลินเป่ยเฉินรีบหยิบป้ายโลหะขึ้นมาดูโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไป
เนื่องจากลวดลายเถาวัลย์เคี้ยวคดที่ถูกแกะสลักอยู่ด้านหน้าแผ่นป้ายนั้น บัดนี้มันได้เปลี่ยนเป็น ‘ภาพเคลื่อนไหว’ โดยสมบูรณ์ แสดงให้เห็นถึงการเลื้อยพันของเถาวัลย์เทพเจ้าเหล่านั้นตลอดเวลา
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือหลินเป่ยเฉินสามารถอ่านข้อความที่อยู่ด้านหลังแผ่นป้ายได้แล้ว
ข้อความเหล่านั้นตรงกับที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถอดความหมายออกมาก่อนหน้านี้ทุกประการ
ป้ายโลหะแผ่นนี้คือกุญแจสำหรับเปิดคัมภีร์ฝึกวิชาเถาวัลย์สายฟ้า
“เป็นไปได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงด้วยความไม่อยากเชื่อ
เทพีฝึกหัดผายมือออกกว้างและกล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดซับซ้อน เจ้าได้กลายเป็นเทพเจ้า ภาษาเทพเจ้าจึงไม่ใช่ความลับสำหรับเจ้าอีกต่อไป ทีนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือยังว่าเพราะเหตุใดเทพเจ้าถึงหวงแหนการใช้เวทมนตร์นัก?”
หลินเป่ยเฉินนั่งนิ่งอย่างตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
เพราะเทพเจ้าสามารถใช้เวทมนตร์ได้จึงมีความพิเศษเหนือผู้อื่น?
นี่คือหนึ่งในความลับแห่งอำนาจของเทพเจ้าใช่หรือไม่?