เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1251 อานุภาพแห่งความรัก
ตอนที่ 1,251 อานุภาพแห่งความรัก
ในห้องรับรองแขกขณะนี้ ปรากฏผู้ดูแลจากหอการค้าต่าง ๆ ถึงสิบหกคนกำลังนั่งประชุมกันอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ผู้ดูแลแต่ละคนล้วนมีสถานะสูงส่ง
การค้าขายกว่าเจ็ดจากสิบส่วนในสถานีขนส่งแดน 4 ล้วนอยู่ในกำมือของคนกลุ่มนี้
จุดหมายที่พวกเขามาเข้าพบชิงเล่ยในวันนี้ไม่มีสิ่งใดซับซ้อน
พวกเขาต่างหวังว่าชิงเล่ยจะเข้าร่วมการผูกขาดตลาดเช่นผู้ดูแลหอการค้าคนแคระเทวะคนเก่า คอยกดราคาสินค้าในท้องตลาด รับซื้อในราคาถูกและจำหน่ายออกไปในราคาแพง
เพราะในช่วงเวลาระหว่างนี้ ธุรกิจการล่าสัตว์อสูรเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง นั่นทำให้เกิดการหมุนเวียนซากสัตว์อสูรในท้องตลาดเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงกล่าวสรุปได้ว่าสถานการณ์ในขณะนี้ ธุรกิจของพวกเขากำลังดำเนินมาถึงจุดที่เติบโตที่สุดแล้ว
ไม่มีโอกาสใดที่จะกดราคาหากำไรเพิ่มเติมได้ดีมากไปกว่านี้อีกแล้ว
หอการค้าคนแคระเทวะได้ชื่อว่าเป็นหอการค้าใหญ่ที่สุดประจำสถานีขนส่งแดน 4 ขอเพียงผู้ดูแลชิงเล่ยพยักหน้าเท่านั้น การผูกขาดตลาดซากสัตว์อสูรก็จะเกิดขึ้นทันที
“นี่เรียกว่าเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต ตราบใดที่ผู้ดูแลชิงเล่ยเห็นด้วย พวกเราก็พร้อมปฏิบัติตามแผนการเดิมได้ทันที”
“ใช่แล้ว แม่นางชิงเล่ย ท่านจะพลาดโอกาสนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด พลาดแล้วเสียใจนะจะบอกให้”
“ในฐานะที่แม่นางชิงเล่ยเป็นผู้ดูแลคนใหม่ของหอการค้าคนแคระเทวะ ขอเพียงท่านพยักหน้าเท่านั้น พวกเราจะเชื่อฟังคำสั่งของแม่นางเป็นอย่างดี”
กลุ่มผู้ดูแลจากหอการค้าต่าง ๆ ยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมต่อไป
ใบหน้ารูปไข่ที่สวยงามของชิงเล่ยเต็มไปด้วยความลำบากใจ แต่นางก็ไม่ยอมประนีประนอม หญิงสาวเอาแต่ส่ายศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า “ข้าไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะจัดการเรื่องราวเหล่านี้หรอกเจ้าค่ะ”
กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้เคยมองนางด้วยสายตาดูถูกดูแคลน บัดนี้ยังพยายามขุดกับดักหลอกล่อให้นางกระโดดลงไป มีหรือที่ชิงเล่ยจะอ่านสถานการณ์ไม่ออก
ชิงเล่ยรู้สึกว่าการประชุมในครั้งนี้ มีผู้คนตั้งใจวางแผนเล่นงานนางเป็นพิเศษ
นี่คือกับดักที่จะย้อนมาทำอันตรายนางในภายหลัง
มิเช่นนั้นแล้ว ผู้ดูแลหอการค้าใหญ่เหล่านี้จะมาร่วมประชุมกับนางเพื่ออะไร?
“แม่นางชิงเล่ยอย่าปล่อยให้โอกาสดี ๆ เช่นนี้หลุดมือไปเลย”
จีป้าเซียวจาก ‘หอการค้าเผชิญโชค’ ยกมือลูบหนวดเคราตนเองและกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เมื่อมีโอกาสแล้วจงร่วมมือกับพวกเราเสียเถิด ต่อให้วันนี้แม่นางไม่เห็นด้วย พวกเราก็ยังปฏิบัติตามแผนการเดิมต่อไปอยู่ดี เมื่อถึงตอนนั้น ขอท่านอย่ามาขวางทางพวกเราก็แล้วกัน…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
ปึก!
กระบี่ทมิฬเล่มหนึ่งก็พุ่งผ่านอากาศมาปักอยู่บนพื้นแทบเท้าจีป้าเซียว
ครืด!
ตัวกระบี่ยังคงสั่นไหวอย่างรุนแรง
เส้นผมกระจุกหนึ่งร่วงลงมาจากศีรษะของจีป้าเซียว
ชายวัยกลางคนพลันหนาววูบไปทั้งร่าง
จีป้าเซียวยกมือขึ้นลูบคลำศีรษะโดยไม่รู้ตัว
เขาพบกับตำแหน่งที่เส้นผมถูกตัดขาด
เป็นบริเวณใจกลางศีรษะพอดี
กล้ามเนื้อบนใบหน้าจีป้าเซียวกระตุกระริก แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
สีหน้าของผู้ดูแลหอการค้าทุกคนที่อยู่ในห้องรับรองแปรเปลี่ยนไปโดยทันที
เสียงเย็นชาและแข็งกระด้างดังขึ้นว่า “ขืนพูดออกมาอีกประโยคเดียว กระบี่ต่อไปจะไม่ได้ตัดเส้นผมอีกแล้ว”
“เจ้าเป็นใคร?”
หนึ่งในผู้ดูแลหอการค้าใหญ่ตะโกนถามด้วยเสียงสั่นเทา
รอยยิ้มด้วยความดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชิงเล่ย ก่อนที่นางจะวิ่งออกไปจากห้องรับรองอย่างไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
หน้าประตู
หลินเป่ยเฉินยืนยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายอยู่ในชุดเกราะหนังสีขาวเก่าขาด สองแขนของเขาอ้าออกกว้าง
ชิงเล่ยวิ่งเข้าไปสวมกอดเด็กหนุ่มโดยไม่ลังเล
เมื่อเห็นเช่นนี้ พวกของจีป้าเซียวก็มีสีหน้าซีดเซียว ไม่ทราบว่าตนเองสมควรกล่าวเช่นใดอีกแล้ว
พวกเขาย่อมรู้จักเด็กหนุ่มในชุดเกราะขาวผู้นี้
เพราะเด็กหนุ่มผู้นี้คือคนที่ถีบให้เกอสือเหนียนตกลงจากบัลลังก์ผู้ดูแลคนเก่าและผลักดันชิงเล่ยจนกลายเป็นผู้ดูแลหอการค้าคนแคระเทวะคนใหม่
ชิงเล่ยมีอำนาจขึ้นมาได้ก็เพราะเด็กหนุ่มคนนี้
เคยมีข่าวลือว่าระหว่างบุคคลทั้งสองมีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน
ไม่คิดเลยว่าวันนี้ พวกเขาจะได้มาเห็นด้วยสองตาของตนเอง
“ไสหัวไปให้พ้น”
หลินเป่ยเฉินประคองกอดสาวงามอยู่ในอ้อมแขน รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากเรือนกายอันนุ่มนิ่ม ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังประตูของห้องรับรองแขกคนสำคัญและกล่าวต่อพร้อมกับปลดปล่อยพลังกดดันคุกคาม “ใครก็ตามที่กล้ามาข่มขู่แม่นางชิงเล่ยของข้าอีก พวกเจ้าจงแน่ใจได้เลยว่า… มันผู้นั้นจะไม่มีทางได้ตายดี”
หลินเป่ยเฉินเพิ่งกลับออกมาจากสมรภูมิสู้รบอันดุเดือดของหุบเขามรณะ ร่างกายของเขาจึงยังคงมีกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันอยู่เปี่ยมล้น
เมื่อถ้อยคำเหล่านั้นหลุดออกมาจากปากของเด็กหนุ่ม มันก็ไม่ต่างจากกระบี่ทิ่มแทงเข้าใส่ลำคอของจีป้าเซียวและพรรคพวก
พวกเขาเกิดความหวาดกลัวจนวิญญาณแทบหลุดลอยออกจากร่าง
ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
“พวกเราขออำลา”
แล้วจีป้าเซียวก็เดินนำผู้ดูแลหอการค้าอีกสิบห้าคนจากไปอย่างเงียบ ๆ
ในลานด้านหลังขณะนี้จึงหลงเหลือหลินเป่ยเฉินกับชิงเล่ยเพียงสองคนเท่านั้น
น้ำตาแห่งความตื้นตันใจไหลลงมาจากดวงตาของชิงเล่ย ริมฝีปากอวบอิ่มของนางสั่นระริก
นางรู้ดีว่าการแข่งขันช่วงชิงตำแหน่งเทพเจ้าหน้าใหม่นั้นอันตรายมากเพียงใด
ไม่ทราบเลยว่าต้องมีผู้เสียชีวิตไปกับการแข่งขันเหล่านี้มากมายเท่าไหร่
แม้ว่าการเข้าแข่งขันจะทำให้ผู้คนได้รับชื่อเสียงและเงินทองรวมไปถึงเกียรติยศอันสูงส่ง แต่มันก็แลกมาด้วยเลือดเนื้อ กระดูกและความตายของผู้คนจำนวนมากเช่นกัน
ในจำนวนผู้เข้าแข่งขันนับหมื่นคนจะมีเพียงสักกี่คนที่สามารถอยู่รอดได้จนถึงรอบสุดท้ายและกลายเป็นผู้ชนะ?
อัตราการตายในการแข่งขันนั้นสูงมาก
ต่อให้ชิงเล่ยทราบดีว่าหลินเป่ยเฉินมีพลังแข็งแกร่งเหนือธรรมดา แต่นางก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี
เมื่อเห็นบุคคลผู้เป็นที่รักกลับมาในสภาพที่เสื้อเกราะหนังขาดรุ่งริ่ง แต่เขายังคงปลอดภัยดีทุกประการ หัวใจที่ตึงเครียดของชิงเล่ยจึงได้กลับมาผ่อนคลายลงอีกครั้ง และความตื่นเต้นก็ทำให้นางประกบริมฝีปากจูบเขาด้วยความดูดดื่มเป็นอย่างยิ่ง
ความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียและจิตสังหารพลันสลายหายไปจากตัวของหลินเป่ยเฉิน
มือที่เคยใช้ควงกระบี่ฆ่าฟันอสูรของเขาขณะนี้กำลังแก้มัดสายรัดเอวของชิงเล่ยและเลื่อนมือเข้าไปสำรวจพื้นที่ด้านในด้วยความซุกซน
“เข้าข้างในดีกว่าเจ้าค่ะ”
ชิงเล่ยรีบกระซิบข้างหูหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินช้อนร่างหญิงสาวขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขน ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปสู่ด้านในห้องรับรองของตึกทางด้านหลังหอการค้าด้วยความรวดเร็วยิ่ง
ม่านพลังปิดกั้นเสียงถูกเปิดใช้งาน
บนเตียงนอนในห้องพักด้านใน ความสุขสมดำเนินต่อไป
เสียงหอบหายใจของหญิงสาวดังต่อเนื่อง
หลินเป่ยเฉินงัดแทบทุกกระบวนท่าจากคัมภีร์ของบัณฑิตใบหน้าขาวดำออกมาใช้งานกับชิงเล่ย แต่ก็ไม่ลืมผนวกกับท่วงท่าพื้นฐานด้วยเช่นกัน
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม
พายุลมฝนที่โหมกระหน่ำอยู่ในห้องพักก็สงบลง
ผ่านไปอีกชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย ชิงเล่ยก็เดินกลับออกมาสู่ห้องรับรองด้านนอกด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ นางเดินมาหยุดยืนส่องกระจกและจัดแต่งเสื้อผ้าหน้าผมของตนเองให้เข้าที่เข้าทาง
“คุณชายพักผ่อนเถิด ข้าน้อยจะออกไปดูแลลูกค้าก่อน”
เสียงของนางแหบแห้งเล็กน้อย
“ประเสริฐ คืนนี้เลิกงานแล้ว พวกเราไปหาอะไรกินที่หอสุราเหมียวเหมียวหง่าวกันดีกว่า”
เสียงของหลินเป่ยเฉินดังออกมาจากห้องด้านใน
หอสุราเหมียวเหมียวหง่าว?
หญิงสาวพยักหน้า สองแก้มแดงระเรื่อมากยิ่งขึ้น “เจ้าค่ะ”
เสียงของหลินเป่ยเฉินดังออกมาอีกครั้ง “อ้อ หากมีคนชื่อเฉียนหลงมาหาข้า ส่งตัวเขามาพบข้าที่นี่ได้เลยนะ”
“รับทราบเจ้าค่ะ”
ชิงเล่ยผงกศีรษะและเดินออกมา
แต่หลังจากเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว หญิงสาวก็คล้ายกับนึกอะไรได้บางอย่าง นางเป่าลมปากใส่ฝ่ามือของตนเองและลองสูดดมดู ทันใดนั้น ใบหน้าพลันแดงก่ำมากกว่าเดิม
ชิงเล่ยจึงเดินกลับเข้าไปหยิบใบชาจากหม้อชาบนโต๊ะมาเคี้ยว จากนั้นจึงกลั้วปากด้วยน้ำอุ่นอีกหลายรอบ เมื่อเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ชิงเล่ยจึงสามารถเดินออกมาต้อนรับลูกค้าได้อย่างมั่นใจ