เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1275 ความเปลี่ยนแปลงของชิงเล่ย
ตอนที่ 1,275 ความเปลี่ยนแปลงของชิงเล่ย
“ขอพรอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความสงสัย
“เวลาในการขอพร… เหลืออีกยี่สิบห้าลมหายใจ”
เสียงอันนุ่มนวลนั้นตอบกลับมา
เชี่ย
นับถอยหลังเร็วจริง
หลินเป่ยเฉินคิดได้ดังนั้นก็รีบกระซิบออกไปทันที “ข้าต้องการกลับสู่โลกมนุษย์ใบเก่าของข้า”
เสียงที่นุ่มนวลนั้นเงียบไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “เหลืออีกยี่สิบเอ็ดลมหายใจ”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
เป็นไปไม่ได้
ไหนว่าขอพรได้ทุกอย่างไงล่ะ?
ขี้โม้นี่หว่า
“งั้นข้าอยากจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนทวยเทพ”
หลินเป่ยเฉินลองขอพรดูอีกครั้ง
เสียงที่นุ่มนวลนั้นเงียบกริบ ก่อนกล่าวตอบ “ยังเหลืออีกสิบเจ็ดลมหายใจ”
แม่งเอ๊ย
ขอให้แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่ได้อีกเหรอเนี่ย?
ตกลงแล้วขออะไรได้บ้าง?
หลินเป่ยเฉินพยายามใช้สมองคิดแข่งกับเวลาเพื่อหาสิ่งที่ตนเองต้องการโดยไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่มากเกินไป
“พรที่ข้าอยากจะขอก็คือ…”
หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองกลุ่มผู้เข้าแข่งขันที่ยืนหมดหวังอยู่บนพื้นดินด้านล่าง หลังจากสูดหายใจลึก เด็กหนุ่มก็กล่าวออกมาเสียงดังกังวานว่า “ข้าอยากจะพาพวกเขาออกไปด้วย”
กลุ่มคนเบื้องล่างได้ยินดังนั้นก็ส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมาด้วยความดีใจ
แต่เสียงที่นุ่มนวลนั้นกลับตอบว่า “มีคนมากเกินไป… เหลือเพียงสิบสองลมหายใจเท่านั้น”
ฝูงชนที่อยู่ด้านล่างตกลงสู่ความมืดมิดอีกครั้ง สีหน้าปรากฏความหมดหวังอีกรอบ
แม่เจ้า
นี่ล้อกันเล่นหรือไง
นี่ไม่ได้เรียกว่าขอพรได้ทุกอย่างแล้ว
หลินเป่ยเฉินอดสบถก่นด่าอยู่ในใจไม่ได้ “งั้นข้าจะขอสิ่งที่ง่ายดายมากกว่านั้น ข้าอยากได้คะแนนศรัทธาหนึ่งหมื่นล้านแต้ม”
เสียงที่นุ่มนวลเงียบไปเลยน้อย ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจดังตามมา “เรื่องที่ท่านอยากจะพาผู้เข้าแข่งขันด้านล่างกลับออกไปด้วย… ท่านแน่ใจแล้วใช่หรือไม่?”
“ย่อมแน่ใจ”
หลินเป่ยเฉินตอบรับด้วยความหนักแน่น “แต่ข้าอยากจะพาเจ้ากิ้งก่าทะเลทรายทองคำออกไปด้วย ข้าอยากจะเอามันไปเป็นสัตว์เลี้ยง”
“หก ห้า สี่ สาม สอง…”
เสียงที่นุ่มนวลเริ่มนับถอยหลัง
“อ้าว?”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความร้อนรน “ตกลงว่าทำได้หรือไม่ได้เนี่ย?”
…
“แผล็บ แผล็บ แผล็บ…”
กิ้งก่าทะเลทรายทองคำกำลังเลียบาดแผลที่ขาหน้าของตนเอง
เจ้าพวกมนุษย์โสโครก
โลภมากเกินไป!
ชั่วร้ายมากเกินไป!!
นอกจากไม่เกรงขามราชากิ้งก่าอย่างมันแล้ว มนุษย์หน้ากากขาวผู้นั้นยังนำเลือดของมันไปอีกด้วย
เจ้ามนุษย์ผู้นั้น ราชากิ้งก่ายักษ์สามารถจดจำปราณเทวะประจำตัวได้ขึ้นใจ
รอให้มันบำเพ็ญตบะบ่มเพาะพลังให้แข็งแกร่งมากกว่านี้เสียก่อนเถอะ มันจะต้องกลับออกไปล้างแค้นเจ้ามนุษย์หน้ากากขาวผู้นั้นและดื่มเลือดของมนุษย์หน้าโง่ให้อิ่มหนำสำราญใจ
ราชากิ้งก่าทะเลทรายสาบานด้วยความเคียดแค้น
เมื่อน้ำลายที่มีลักษณะเหนียวหนืดเหมือนไข่ขาวเคลือบลงไปบนบาดแผลบริเวณขาหน้าของมัน บาดแผลเหล่านั้นก็สมานตัวอย่างรวดเร็ว
‘พักผ่อนก่อนดีกว่าเรา’
เจ้ากิ้งก่ายักษ์คิดในใจ
จังหวะที่มันกำลังจะมุดลงไปใต้พื้นทรายเพื่อหลับให้เต็มตื่น มวลอากาศโดยรอบกลับเกิดความปั่นป่วน แล้วร่างของราชากิ้งก่าทะเลทรายก็หายวับไปในอากาศ
ดวงตาของมันเห็นแต่แสงสว่างพร่างพราย เมื่อสายตาปรับตัวกับแสงสว่างได้แล้ว เจ้ากิ้งก่ายักษ์จึงหันมองรอบตัวด้วยความสงสัย
มันมองเห็นอาคารหลังงามที่มีสีสันสดใส
ดูเหมือนจะเป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่?
ทันใดนั้น ดวงตาของเจ้ากิ้งก่ายักษ์ก็เบิกโตเมื่อพบเห็นกับใบหน้าที่คุ้นเคย
หรือว่าจะเป็นเขา?
ภาพหลอน
นี่ต้องเป็นภาพหลอนแน่ ๆ
ราชากิ้งก่าทะเลทรายกะพริบตาไล่ความมึนงง
หลังจากนั้น ใบหน้าของมันก็แสดงออกถึงความหวาดกลัว
เพราะมันได้กลิ่นปราณเทวะที่คุ้นเคย
ปราณเทวะของมนุษย์หน้ากากขาวผู้นั้น
แย่แล้วสิ
เจ้ากิ้งก่ายักษ์กระโดดลุกขึ้นยืน เตรียมตัวหลบหนี
“จะหนีไปไหน”
หลินเป่ยเฉินรีบจับหางของมันเอาไว้
พรวด!
หางขาดออกมาอย่างง่ายดาย
เจ้ากิ้งก่ายักษ์ถึงกับยอมสละหางของตนเองเพื่อหลบหนีเอาตัวรอด
“ยะ… ยะ… อย่าหนี… นะ…”
เจ้าอ้วนเคลื่อนไหวด้วยความว่องไว ดีดตัวขึ้นไปในอากาศและกระโจนเข้าใส่เจ้ากิ้งก่ายักษ์ เป็นผลให้ล้มคะมำลงไปคลุกฝุ่นบนพื้นดินทั้งคู่
หลินเป่ยเฉินก้มมองหางเกล็ดทองคำที่ยาวมากกว่าสี่เมตรในหน่วยวัดของโลกใบเก่า ซึ่งกำลังอยู่ในมือของตนเองด้วยความตกตะลึงยิ่ง
จังหวะที่เขาดึงหางมันเมื่อสักครู่นี้ เขาไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด
ตกลงนี่เป็นราชากิ้งก่าหรือเป็นราชาจิ้งจกกันแน่?
มีวิธีการเอาตัวรอดด้วยการสลัดหางทิ้งด้วยหรือ?
“หรือว่านี่คืออสูรกลายพันธุ์?”
นักบวชสาวเซียงเหยียนเดินเข้ามาและกล่าว “อสูรกลายพันธุ์เป็นสัตว์อสูรทรงภูมิปัญญา แต่ความแข็งแกร่งยังอยู่ในขั้นสัตว์อสูรระดับสามัญ… นับว่าน่าสนใจยิ่ง ว่าแต่เจ้าสามารถนำมันออกมาจากสนามแข่งขันได้อย่างไร?”
“คือว่า… เรื่องมันยาวน่ะขอรับ”
เด็กหนุ่มตอบ “พวกเรา… เอาไว้คุยกันทีหลังดีกว่า”
นักบวชสาวเซียงเหยียนไม่ใช่คนที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความสงสัยและการตั้งคำถาม ดังนั้นนางจึงไม่ได้ถามอะไรอีก
นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่เจ้าอ้วนเดินกลับมาพร้อมกับเจ้ากิ้งก่ายักษ์ที่ใบหน้าบวมปูด
“โอ๊ะ เจ้าอ้วน เจ้าลงมือรุนแรงเกินไปแล้วนะ…”
หลินเป่ยเฉินรีบวิ่งเข้าไปปลอบโยนราชากิ้งก่าทะเลทรายทองคำ “ใช่แล้ว ข้าเป็นคนนำเจ้าออกมาจากทะเลทรายแห่งนั้นเอง ฮ่า ๆๆ เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก เมื่อเจ้าได้เป็นสัตว์เลี้ยงของข้าแล้ว เจ้าก็จะได้อยู่ดีกินดี เพียงแต่ต้องยอมบริจาคเลือดให้ข้าเป็นระยะเท่านั้น…”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเคยมีนักวิทยาศาสตร์วิจัยกันมาอย่างเป็นทางการแล้วนะว่า การบริจาคเลือดจะทำให้ร่างกายของคนเราแข็งแรงมากขึ้น ปรับปรุงการทำงานของเม็ดเลือดในร่างกาย อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันไม่ให้เป็นไข้หวัดได้อีกด้วย…”
เจ้ากิ้งก่ายักษ์ได้แต่ผงกศีรษะหงึกหงักพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเต็มสองแก้ม
มันจะว่าอะไรได้อีก?
เมื่อตกมาอยู่ในกำมือของปีศาจน้อยตนนี้ ไม่ว่าพบเจอความเจ็บช้ำระกำใจมากมายเพียงใด มันยังสามารถปฏิเสธได้ด้วยหรือ?
ระหว่างที่อยู่ในทะเลทรายทองคำ เจ้ากิ้งก่ายักษ์เคยเห็นมากับตาว่ามนุษย์หน้ากากขาวผู้นี้สามารถสังหารสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งได้หลายสิบตัวด้วยมือเปล่า
“ทำตัวเป็นเด็กดีแฮะ”
เมื่อเห็นเจ้ากิ้งก่าทะเลทรายยอมศิโรราบแต่โดยดี หลินเป่ยเฉินก็ลูบหัวมันอย่างมีความสุข “เดี๋ยวข้าจะทำอาหารให้รับประทานอย่างเอร็ดอร่อยเชียวล่ะ”
ดวงตาของเจ้ากิ้งก่ายักษ์เป็นประกายระยิบระยับด้วยความตื่นเต้น
หลินเป่ยเฉินพลันชูหางกิ้งก่าที่ขาดครึ่งอยู่ในมือขึ้นสูงและกล่าวว่า “วันนี้เจ้าจะได้รับประทานเนื้อย่าง”
เจ้ากิ้งก่ายักษ์ตัวแข็งทื่อไปทันที
…
เมื่อออกมาจากวิหารสาขาที่ 98 หลินเป่ยเฉินก็ขี่เจ้ากิ้งก่ายักษ์หางขาดกลับไปที่หอการค้าคนแคระเทวะประจำสถานีขนส่งแดน 4
กิ้งก่าทะเลทรายของเขาสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้รอบตัว
“กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ?”
ชิงเล่ยรีบวิ่งออกมาจากหอการค้า ไม่สามารถซ่อนเร้นความตื่นเต้นทางสีหน้าได้แม้แต่นิดเดียว
ทุกครั้งที่มีการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ทางสภาเทพเจ้า มักจะมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นเรื่องปกติ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชิงเล่ยกินไม่ได้นอนไม่หลับ เอาแต่เป็นห่วงหลินเป่ยเฉินทั้งวันทั้งคืน
เมื่อเห็นว่าในที่สุด เขาก็กลับมาได้อย่างปลอดภัย ชิงเล่ยจึงกลับมาหายใจได้อย่างสะดวกอีกครั้ง
ขั้นตอนต่อไปคือการค้าขาย
บรรดาสัตว์อสูรทะเลทรายที่ถูกล่ามาได้ ได้รับการจัดส่งให้เซียวจื่อหรานเป็นผู้ดูแล
เมื่อเจ้าอ้วนแลกคะแนนศรัทธาของตนเองกลับไปเรียบร้อย เขาก็กระโดดขึ้นขี่หลังเจ้ากิ้งก่ายักษ์และมุ่งหน้ากลับบ้านเพื่อไปรายงานตัวต่อมารดา
…
ห้องพักของผู้ดูแลด้านหลังหอการค้าคนแคระเทวะปิดประตูไม่ต้อนรับผู้คน
ผ่านไปหลายชั่วยาม…
ชิงเล่ยนอนหมดแรง ใบหน้าแดงระเรื่ออยู่ในอ้อมแขนของหลินเป่ยเฉินขณะกล่าวว่า “ท่านแทบทำให้กระดูกทั้งร่างของข้าแตกหักหมดแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินตบก้นหนั่นแน่นที่อยู่ใต้ผ้าห่มอย่างนุ่มนวล “ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าขอแรงมากกว่านี้อีก?”
ชิงเล่ยรีบลุกขึ้นไปที่กาน้ำชาด้วยความเขินอาย
เมื่อกลั้วปากเสร็จเรียบร้อย นางจึงได้เดินกลับมา กล่าวว่า “ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด ระยะหลังกำลังวังชาของข้าจึงเพิ่มขึ้นมาก และคล้ายกับว่าในตัวของข้ามีพลังพิเศษบางอย่าง ข้าสามารถได้ยินเสียงที่ดังขึ้นหน้าหอการค้าทั้ง ๆ ที่ตนเองนั่งอยู่ทางด้านหลังและยังสามารถมองเห็นใบหน้าผู้คนที่ยืนอยู่ห่างไกลได้อย่างชัดเจนอีกด้วย…”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “เป็นไปอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย ทุกครั้งที่เราฝึกวิชากัน ท่านจะแข็งแกร่งมากขึ้นไม่เห็นหรือ? ร่างกายของท่านแข็งแรงมากกว่าพวกนักรบเทวะที่ฝึกวิชากันมานมนานเสียอีก แต่ท่านอย่าลืมเตือนข้าด้วยนะว่าให้หาอาจารย์สักคนมาสอนวิชาท่าน มิฉะนั้นแล้ว พลังของข้าคงสูญเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์”