เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1352 เป็นท่านโอหังมากเกินไป
ตอนที่ 1,352 เป็นท่านโอหังมากเกินไป
ความเด็ดขาดในฝีมือของพานตั่วชิงทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องอ้าปากค้าง
นับตั้งแต่ที่การแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ดำเนินจากตอนแรกมาถึงขณะนี้ ทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศที่แปลกประหลาด
ขีดความสามารถในการต่อสู้ของพานตั่วชิงกับฮั่วเซี่ยทำให้บรรดาเทพเจ้าผู้อาวุโสหลายคนเสียวสันหลังวาบ
นี่เรียกว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่มีความสามารถสูงส่ง แต่ไม่ว่าจะได้รับโอกาสหรือมีพรสวรรค์มากเพียงใด ก็ไม่สมควรมีความสามารถสูงส่งถึงเพียงนี้
หลายท่านจึงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
ทันใดนั้น การต่อสู้คู่ที่สองก็กำลังจะเริ่มขึ้น
เมื่อร่างของหลินเป่ยเฉินปรากฏขึ้นบนสะพานหินโบราณฝั่งตะวันตก ดวงตาของผู้รับชมการถ่ายทอดสดต่างก็จับจ้องมองไปที่เขาเป็นจุดเดียว
เสื้อคลุมสีดำ ชุดเกราะสีดำ
หน้ากากสัตว์อสูรลวดลายเปลวไฟ
นี่คือการแต่งกายที่เป็นสัญลักษณ์ของปีศาจน้อยเจี๋ยนเซียวเหยา
สำหรับผู้คนจำนวนมาก เจี๋ยนเซียวเหยาเป็นตัวแทนของความลึกลับ ความแข็งแกร่ง ความพิสดารและปาฏิหาริย์ นับเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดผู้หนึ่งของเมืองเยี่ยเฉิงในช่วงหลัง
โด่งดังจากความไร้ชื่อเสียง
เพียงมีกระบี่อยู่ในมือ เขาก็สามารถบุกถล่มเหมืองแร่ใต้ดินได้โดยไม่กลัวความตาย
เจี๋ยนเซียวเหยาเป็นผู้ที่โชคดี
และยังเป็นผู้เสียสติอีกด้วย
ก่อนการแข่งขันรอบนี้จะเริ่มขึ้น ทุกคนต่างก็ลงความเห็นอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า เจี๋ยนเซียวเหยาคือผู้ที่มีระดับพลังแข็งแกร่งมากที่สุด
แต่เมื่อเห็นการแสดงพลังของพานตั่วชิงเมื่อสักครู่ พวกเขาก็เปลี่ยนแปลงความคิดไป
บัดนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฉางจิ้งคงผู้เป็นหนึ่งในสุดยอดนักเวทรุ่นใหม่ เจี๋ยนเซียวเหยาจะสามารถเอาชนะนางและเข้าไปพบกับพานตั่วชิงในรอบชิงชนะเลิศได้หรือไม่?
ทุกคนได้แต่เฝ้ารอด้วยความลุ้นระทึก
…
“กราบเรียนใต้เท้า เจี๋ยนเซียวเหยาเกลี้ยกล่อมให้ตัวแทนของท่านถอนตัวออกจากการแข่งขัน ถือเป็นการกระทำที่กำเริบเสิบสานมากเกินไป ใต้เท้าจะไม่สั่งสอนเขาหน่อยหรือเจ้าคะ?”
ในวิหารของใต้เท้าเหลียน เด็กสาวเท้าเปล่าในชุดเสื้อคลุมสีดำกำลังมองม่านพลังถ่ายทอดสด
รับชมการแข่งขันด้วยความสนใจ
สำหรับใต้เท้าเหลียน นางสามารถใช้พลังจิตติดตามการแข่งขันได้อย่างใกล้ชิดมากกว่าการชมถ่ายทอดสดเหมือนผู้คนทั่วไป
“ถอนตัวไปก็ไม่เป็นไรหรอก”
ใต้เท้าเหลียนใช้พลังจิตเพ่งมองสะพานหินโบราณและกระซิบแผ่วเบา “ฮันลั่วเซวี่ยยังเด็กมากเกินไป เพียงมาถึงรอบนี้ได้ ก็นับว่าประเสริฐแล้ว”
“แต่ว่า…”
เด็กสาวเท้าเปล่าทำหน้างอ “นี่ไม่ใช่เป็นการทำลายแผนการของใต้เท้าหรือเจ้าคะ? ในเมื่อผู้เข้าแข่งขันซึ่งเป็นตัวแทนจากใต้เท้าใหญ่ท่านอื่น ๆ ต่างก็ร่วมการแข่งขันในรอบรองชนะเลิศกันหมดสิ้น”
“หนทางยังอีกยาวไกล เจ้าเปิดตาให้กว้างไว้จะดีกว่า”
ใต้เท้าเหลียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “บรรดาผู้คนที่ยังเข้าร่วมการแข่งขันต่อไปนั้น ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีสายตามืดบอดทั้งสิ้น”
เด็กสาวเท้าเปล่าขมวดคิ้ว คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
…
“ได้ยินมาว่าบัดนี้เจ้ามีลูกศิษย์แล้วหรือ?”
ใต้เท้ากั้วนั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ของตนเอง
ใจกลางวิหาร ประตูมิติถูกเปิดออก และสะพานหินโบราณก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ดวงตาของใต้เท้ากั้วจ้องมองไปที่ร่างของหลินเป่ยเฉินบนฝั่งตะวันตกของสะพานหินโบราณอย่างไม่วางตา
เด็กหนุ่มในชุดเกราะสีดำทมิฬยืนโดดเดี่ยวเงียบงัน
ท่าทางอาจผ่าเผย
ความเงียบปกคลุมบรรยากาศ
นักเวทชราประสานมือ กล่าวอย่างแช่มช้าว่า “นางเป็นลูกศิษย์ที่ข้าน้อยเลือกมาเองกับมือขอรับ”
ใต้เท้ากั้วยิ้มอย่างเย็นชา “บอกข้าทีว่าเจ้าจะยังคงรักษาสัญญาต่อไป?”
นักเวทอู่จิวพูดช้า ๆ “ย่อมต้องรักษาสัญญา”
เมื่อพูดคำนั้น ในน้ำเสียงกลับปราศจากความเคารพ
นี่ไม่ต่างจากการพูดคุยระหว่างคนที่มีสถานะเท่าเทียมกัน
ใต้เท้ากั้วพลันหัวเราะออกมาด้วยความพอใจ “วางใจเถอะ ครั้งนั้นข้าสาบานในนามของท่านมหาเทพ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องรักษาสัญญาอยู่แล้ว เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะรับลูกศิษย์เช่นนี้”
“นี่คงเป็นโชคชะตากำหนด”
นักเวทอู่จิวตอบรับกลับไปเสียงเรียบ
“ฮ่า ๆๆ …แต่บุคคลที่เจ้าเลือก มีความใกล้ชิดกับบุคคลที่ข้าเลือกเหลือเกิน”
รอยยิ้มบนใบหน้าใต้เท้ากั้วหายไป ก่อนกล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “เจ้าคงไม่ได้พยายามสั่งสอนลูกศิษย์ให้ทำลายแผนการของข้าหรอกกระมัง?”
“ใต้เท้าได้โปรดอย่าเป็นกังวล”
น้ำเสียงของนักเวทชรากลับมามีความเคารพดังเดิม
ใต้เท้ากั้วพยักหน้าและกล่าวอย่างใช้ความคิด “ใต้เท้าฉางมีความมั่งมีมากกว่าข้า ตัวแทนจากเผ่าเทพตะวันคงมีของวิเศษอยู่ในมือไม่น้อย… ฮ่า ๆๆ เมื่อการแข่งขันรอบนี้จบลง หากเจี๋ยนเซียวเหยาชนะ ก็มอบถุงมือเทวฤทธิ์อีกข้างให้เขาไปเถอะ”
“รับทราบขอรับ”
นักเวทอู่จิวประสานมือทำความเคารพอีกครั้ง
…
หุบเหวโหยหวน
สายลมกรีดตัวดังหวีดหวิว
ไม่ต่างจากเสียงร้องครวญครางของวิญญาณคนตาย
หลินเป่ยเฉินเดินไปข้างหน้าบนสะพานหินอย่างแช่มช้า
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาที่นี่
แต่ทุกครั้งที่ได้มาที่นี่ เด็กหนุ่มกลับรู้สึกไม่เหมือนเดิมเสมอ
เขาเงยหน้ามอง
ฝั่งตรงข้ามมีแต่ความว่างเปล่า
หืม?
เกิดอะไรขึ้น?
อย่าบอกนะว่าฉางจิ้งคงถอนตัวออกจากการแข่งขันไปแล้ว?
แต่ทันทีที่คิดเช่นนี้ หัวใจของเขาก็กระตุกวูบ สองเท้ารู้สึกเย็นวาบ ราวกับมีเข็มแหลมทิ่มแทงขึ้นมาทำให้รู้สึกเจ็บปวด
พรึ่บ!
หลินเป่ยเฉินรีบระเบิดพลังอัคคีเทวะออกมาทันที
เปลวไฟลุกโชนสว่างไสวครอบคลุมทั่วร่างกายของเขา
บาดแผลและความเจ็บปวดที่ฝ่าเท้าและสองขาสลายหายไป
ขณะนี้ สะพานหินโบราณปกคลุมด้วยหมอกขาว
เป็นหมอกขาวที่ระเหยขึ้นมาจากพื้นสะพาน
ตอนแรกพวกมันเป็นเพียงกลุ่มหมอกบางเบาเท่านั้น
แต่หลังจากนั้น พวกมันก็กลายเป็นหมอกหนาไร้จุดสิ้นสุด
“หมอกแค่นี้ไม่ใช่ปัญหา”
หลินเป่ยเฉินรวบรวมสมาธิ
สายตาของเขายังสามารถมองทะลุผ่านม่านหมอกได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่เมื่อมองทะลุม่านหมอกออกไปได้ประมาณหกวา หลินเป่ยเฉินก็มองไม่เห็นอะไรอีก
ไม่ใช่เพียงเท่านั้น
แม้แต่การใช้พลังจิตสำรวจรอบบริเวณก็ถูกปิดกั้นเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักด้วยความประหลาดใจและความสงสัย…
วูบวาบ! วูบวาบ!
ในกลุ่มหมอกหนา ปรากฏรังสีกระบี่สี่สายพุ่งทะลวงเข้ามา
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
รังสีกระบี่เหล่านั้นกระทบเข้ากับม่านพลังอัคคีเทวะ
ร่างของหลินเป่ยเฉินสั่นสะเทือนเล็กน้อย
รังสีกระบี่เหล่านี้มีพลังโจมตีไม่เบา
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้เข้าใจแล้ว
ฉางจิ้งคงซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ของเขาไม่ได้ถอนตัวออกจากการแข่งขัน
แต่ฉางจิ้งคงมาถึงก่อนเขาต่างหาก
ฉางจิ้งคงเป็นนักเวทที่ชำนาญการใช้ค่ายอาคม สะพานหินแห่งนี้คือค่ายอาคมของอีกฝ่าย ทันทีที่หลินเป่ยเฉินก้าวเท้าเดินเข้ามา ก็เท่ากับว่าเขาตกลงสู่กับดักของฉางจิ้งคงโดยไม่รู้ตัว
เขาคือเหยื่อที่ติดกับดัก
ให้ตายสิ
แบบนี้มันหมาลอบกัดนี่หว่า
“สหาย พวกเรามาสู้กันอย่างยุติธรรมเถอะ”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงตะโกน
“นับตั้งแต่ที่ท่านเหยียบเท้าลงบนสะพานแห่งนี้ การต่อสู้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เป็นท่านโอหังมากเกินไปจนไม่ทันสังเกตเองต่างหาก”
เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งดังตอบกลับมาจากด้านหลังม่านหมอก
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
รังสีกระบี่และลำแสงเปลวเพลิงก็ปะทะกันอย่างหนักหน่วงในม่านหมอกขาว
ตามมาด้วยความเงียบงัน
ราวกับมหาสมุทรที่ปราศจากคลื่นพายุ
“ท่านคงคิดว่าตนเองจะสามารถสลายค่ายอาคมของข้าได้กระมัง?”
เสียงของฉางจิ้งคงดังขึ้นจากอีกตำแหน่งหนึ่ง
“ข้าประมาทมากเกินไป แต่แก้ไขตอนนี้ก็ไม่ทันการณ์แล้ว…”
หลินเป่ยเฉินยังคงส่งเสียงตะโกน “หากเจ้ามีความสามารถ ก็จงสลายค่ายอาคมลงซะ แล้วมาต่อสู้กันอย่างเห็นหน้าเห็นตาดีกว่า”
“ท่านล้อเล่นหรืออย่างไร?”
ฉางจิ้งคงถามกลับมาด้วยความประหลาดใจ “นี่หรือคือคำพูดที่ควรออกมาจากปากปีศาจน้อยเจี๋ยนเซียวเหยา คิดว่าข้าโง่เขลานักหรือ?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “หากเจ้าไม่ได้โง่เขลา เจ้าก็คงรู้ดีว่าไม่ควรทำเช่นนี้”
“งั้นท่านก็พยายามต่อไปเถอะ”
เสียงของฉางจิ้งคงบอกชัดถึงความสุขอันเปี่ยมล้น
ระหว่างที่ชวนคุยอยู่นี้ หลินเป่ยเฉินพยายามจะหาจุดกำเนิดของค่ายอาคม ซึ่งก็คือร่างที่แท้จริงของฉางจิ้งคง แต่นางขยับเคลื่อนไหวตลอดเวลา เขาจึงหาร่างที่แท้จริงของนางไม่พบ
นักเวทที่ชำนาญการใช้ค่ายอาคมนั้นน่ารำคาญอย่างนี้นี่เอง