เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1411 วิกฤตการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้
ตอนที่ 1,411 วิกฤตการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้
“ทำไมล่ะขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วนิ่วหน้า “เหตุไฉนถึงใช้พลังศรัทธากับพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้? ทั้ง ๆ ที่พวกมันน่าจะช่วยทำให้พวกท่านสามารถเดินทางผ่านประตูระหว่างภพภูมิได้ปลอดภัยมากขึ้นด้วยซ้ำ?”
หญิงชราผมขาวยิ้มเล็กน้อยและตอบว่า “เพราะว่าในดินแดนจูอวิ๋นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเทพเจ้า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าพลังศรัทธาและพลังศักดิ์สิทธิ์ มวลพลังเหล่านี้ถือเป็นสิ่งแปลกปลอมของพวกเรา”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก
ไม่มีเทพเจ้าอยู่ในดินแดนจูอวิ๋น?
รับฟังมาถึงตรงนี้ มารดาของเจ้าอ้วนก็กล่าวต่อ “การดูดซับพลังจากลูกแก้วเทพเจ้าและแปรเปลี่ยนพลังเหล่านั้นออกมาเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ แม้จะเป็นวิธีการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ตนเองก็จริง แต่นี่คือวิธีการใช้พลังได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นเพราะว่าบุคคลเหล่านั้น ไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะดูดซับพลังทั้งหมดของลูกแก้วเทพเจ้า…”
“แต่ต้องยอมรับเลยว่าผู้ที่คิดค้นระบบเทพเจ้าขึ้นมานี้มีความฉลาดล้ำเลิศ เขาทราบว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะดูดซับพลังทั้งหมดจากลูกแก้ว ดังนั้นเขาจึงดัดแปลงวิธีการและสร้างหนทางใหม่ของตนเองขึ้นมา แม้ว่าเขาจะสามารถทำได้สำเร็จ แต่เขาก็ยังไม่ได้รับพลังที่แท้จริงของลูกแก้วเทพเจ้าอยู่ดี”
หลินเป่ยเฉินรีบสอบถามทันทีว่า “เราต้องมีคุณสมบัติอย่างไรถึงสามารถดูดซับพลังจากลูกแก้วได้อย่างแท้จริงหรือขอรับ? อย่าบอกนะว่าขึ้นอยู่กับดีเอ็นเอของผู้รับพลัง?”
“ดีเอ็นเอ?”
หญิงชราขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“อ้อ ข้าน้อยหมายถึงสายเลือด”
หลินเป่ยเฉินอยากจะยกมือตบปากตนเองนัก
“ไม่มีเรื่องสายเลือดมาเกี่ยวข้อง”
หญิงชราผมขาวอธิบายต่อ “วัตถุเก็บพลังที่พวกท่านเรียกว่าลูกแก้วเทพเจ้านั้น เดิมทีบรรพบุรุษของชาวหงหวงสามารถใช้งานได้โดยไม่มีสายเลือดมาเกี่ยวข้อง แต่นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขามีระดับความแข็งแกร่งสูงล้ำมากเกินไป”
“ระดับความแข็งแกร่ง?”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าที่เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ
มารดาของเจ้าอ้วนพยักหน้า “เมืองด่านหน้าแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมานานมากเกินไป ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่มีพลังต่ำต้อยมากเกินไป ความแข็งแกร่งของร่างกายจึงไม่อาจเทียบเท่ากับบรรดาผู้คนรุ่นบรรพบุรุษ แล้วพวกเขาจะสามารถรองรับพลังที่แท้จริงจากลูกแก้วเทพเจ้าได้อย่างไร?”
เมื่อรับฟังมาถึงขณะนี้ หลินเป่ยเฉินก็เข้าใจขึ้นมาโดยทันที
หากเปรียบเปรยให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ บรรดาผู้คนในยุคบรรพกาลมีความเร็วเปรียบเสมือนรถยนต์เฟอร์รารี่
ส่วนผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนทวยเทพ ณ ปัจจุบันนี้ มีความเร็วเปรียบเสมือนรถยนต์สำหรับใช้งานในครอบครัว
หากนำเครื่องยนต์ของรถยนต์ทั้งสองชนิดมาเทียบเคียงกัน ย่อมเห็นถึงความแตกต่างได้ชัดเจน
แม้รถยนต์สำหรับครอบครัวจะวิ่งไปบนถนนได้เช่นกัน แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่มีทางแข่งความเร็วกับรถเฟอร์รารี่ได้เลย
เพราะรถยนต์ทั้งสองคันนี้อยู่กันคนละระดับ
“แต่ดูอย่างข้าสิขอรับ ข้าก็ดูดซับพลังจากลูกแก้วเทพเจ้าเหล่านั้นมาแล้ว ไม่เห็นจะเกิดความเสียหายใด ๆ ต่อร่างกายสักหน่อย”
หลินเป่ยเฉินอาศัยจังหวะนี้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
“ใต้เท้าเพิ่งหลอมรวมพลังขั้นแรกเท่านั้น และนี่ก็ไม่ใช่พลังที่แท้จริงของลูกแก้วเทพเจ้า”
หญิงชราผมขาวมีสีหน้าเคร่งขรึมเคร่งเครียด กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงย้ำเตือนว่า “พลังที่แท้จริงของลูกแก้วเทพเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนจะค้นพบได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้น ใต้เท้าโปรดสังเกตพลังในร่างกายของตนเองดูให้ดี ไม่แน่ว่าบางทีอาจมีสิ่งใดซ่อนเร้นอยู่ก็เป็นได้”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
ให้ตายเถอะ
นี่คือเรื่องที่สำคัญสำหรับเขามากจริง ๆ
แล้วใครกันนะที่จะสามารถดูดซับพลังจากลูกแก้วเทพเจ้าได้อย่างแท้จริง?
ท่านมหาเทพหรือ?
แต่ก็ม่องเท่งไปแล้วนี่นา
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นคนอื่น…
หรือว่าจะเป็นบรรดาใต้เท้าใหญ่ในสภาเทพเจ้า?
ใต้เท้าฉางนี่ตัดออกไปได้เลย
เพราะหากดูดซับพลังจากลูกแก้วเทพเจ้าได้อย่างแท้จริง ก็คงไม่ถูกซวีเซี่ยเกอฆ่าตายแล้ว
งั้นก็ต้องเป็นใต้เท้าใหญ่คนอื่น…
ใต้เท้ากั้วก็ไม่น่าใช่ เพราะในวันที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ เห็นได้ชัดว่าใต้เท้ากั้วก็แทบเอาตัวไม่รอดด้วยซ้ำ
แต่ต้องยอมรับเลยว่าในดินแดนทวยเทพแห่งนี้ นอกจากบรรดาใต้เท้าใหญ่เหล่านั้น ก็อาจจะมียอดฝีมือตัวจริงซ่อนตัวอยู่ก็เป็นได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอบคุณมารดาของเจ้าอ้วนที่ช่วยย้ำเตือนให้หลินเป่ยเฉินได้ตาสว่าง
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็กลับมาสวมบทบาทนักตั้งคำถามอีกครั้ง “ท่านป้าขอรับ แล้วทำไมพลังศรัทธาถึงสามารถกระตุ้นการทำงานของลูกแก้วเทพเจ้าได้ล่ะ?”
หญิงชราผมขาวตอบว่า “เพราะพลังศรัทธาสามารถกระตุ้นการทำงานได้ในทุกสิ่งทุกอย่าง”
คำตอบนี้มัน…
ช่างตรงไปตรงมาดีเหลือเกิน!!
หลินเป่ยเฉินอดนึกชื่นชมไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ต้องยอมรับเลยว่าเทพเจ้าคนแรกที่ค้นพบการทำงานของลูกแก้วเทพเจ้าโดยใช้พลังศรัทธาเป็นตัวกระตุ้นนั้น ถือเป็นยอดอัจฉริยะตัวจริง
หรือว่าจะเป็นท่านมหาเทพ?
แต่ท่านมหาเทพก็ธาตุไฟเข้าแทรกตายไปแล้วนี่นา
“ในเมื่อพลังศรัทธาสามารถกระตุ้นการทำงานได้ในทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเหตุไฉนถึงใช้งานในดินแดนจูอวิ๋นไม่ได้ล่ะขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามคำถามอย่างต่อเนื่อง
หญิงชราผมขาวตอบอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยว่า “พลังศรัทธาสามารถกระตุ้นการทำงานได้ในทุกสิ่งทุกอย่างก็จริง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเคยมีพลังศรัทธาอยู่ในตัว ด้วยเหตุนี้ ดินแดนจูอวิ๋นจึงมองว่าผู้ที่มีพลังศรัทธาอยู่ในตัวคือสิ่งแปลกปลอมที่ต้องถูกกำจัดทิ้ง”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
ให้ตายสิ
นี่ก็ยังเป็นคำตอบที่ตรงไปตรงมาอยู่เช่นเดิม
เขาชักเริ่มรู้สึกแล้วว่ามวลพลังที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายใช่ว่าจะมีแต่ผลดีไปเสียหมด
แต่ช่างมันเถอะ
แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว
“เพราะเหตุนี้ ข้าถึงไม่ควรปลดผนึกวงแหวนเทพเจ้าใช่ไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินต้องการยืนยันข้อสงสัยของตนเอง
เพราะมารดาของเจ้าอ้วนเป็นบุคคลที่สามแล้วที่พูดกับเขาเช่นนี้
“ใต้เท้าเพียงครอบครองพลังจากตำแหน่งเทพเจ้าก็พอ อย่าได้คิดปลดผนึกวงแหวนเทพเจ้าเด็ดขาด มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นเมื่อท่านเดินทางไปสู่ดินแดนจูอวิ๋น พลังจากลูกแก้วเทพเจ้าในตัวจะยังคงอยู่ และท่านก็ยังคงสามารถฝึกฝนวิชาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ตนเองได้ต่อไป”
หญิงชราผมขาวอธิบาย
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้า ตอบว่า “ข้าไม่ได้คิดไปที่ดินแดนจูอวิ๋นหรอกขอรับ อันที่จริง ข้าไม่เคยคิดจะไปที่ใดทั้งสิ้น…”
หญิงชราหันมามองหน้าเขาเขม็ง
นางไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเด็กหนุ่มถึงต้องอยากหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวด้วย?
“ดินแดนทวยเทพกำลังจะล่มสลาย หากท่านไม่รีบหนีออกไป ก็จะมีผู้บุกรุกเข้ามาใหม่เป็นจำนวนมหาศาล” หญิงชราผมขาวกล่าว “เมื่อพวกมันเข้ามา วิกฤตการณ์ทุกอย่างก็จะเลวร้ายมากกว่าเดิม อย่าได้คิดว่าพลังที่ใต้เท้ามีอยู่ในขณะนี้จะสามารถต่อกรกับพวกมันได้ แม้แต่ผู้คนในอาณาจักรหงหวงดั้งเดิมก็ยังต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ เพราะฉะนั้น ผู้คนในดินแดนทวยเทพจึงไม่มีทางต่อกรกับพวกมันได้เด็ดขาด”
จริงหรือ?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกไม่ค่อยอยากเชื่อสักเท่าไหร่
มารดาของเจ้าอ้วนเป็นผู้คนที่มาจากดินแดนในภพภูมิอื่น ซ้ำตนเองมีร่างกายอ่อนแอเพียงใดย่อมรู้ดี เหตุไฉนจึงได้คิดดูถูกผู้คนในดินแดนทวยเทพถึงขั้นนี้?
เมื่อเห็นสีหน้าของหลินเป่ยเฉิน แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นก็อดไม่ได้ต้องส่งเสียงแทรกขึ้นมาว่า “พวกเราหลบหนีมาที่นี่ ก่อนที่ร่างกายดั้งเดิมของข้าจะถูกทำลาย ขณะนั้นองค์หญิงใหญ่กำลังตั้งครรภ์พระโอรส… ซึ่งนั่นเป็นช่วงเวลาที่เมืองด่านหน้าแห่งนี้ยังคงมีพลังปราณเทวะแข็งแกร่ง ถือเป็นสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปจากดินแดนจูอวิ๋น และนั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ร่างกายของพวกเราอ่อนแอลงเรื่อย ๆ…”
“มิน่าล่ะ ข้าถึงรู้สึกว่าตนเองผมร่วงชอบกล”
หลินเป่ยเฉินลองยกมือเสยผมและดูเส้นผมที่ติดนิ้วมือของตนเองกลับมา ก่อนพูดว่า “ในเมื่อผู้คนจากภพภูมิอื่นพอมาอยู่ในดินแดนทวยเทพร่างกายก็จะอ่อนแอลง แล้วพวกเขาจะมากันทำไมอีกล่ะ?”
“เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไร บัดนี้ ดินแดนทวยเทพกำลังจะล่มสลาย ยุคสมัยกำลังจะแปรเปลี่ยนไป มวลพลังปราณเทวะในอากาศลดน้อยลง ร่างกายของพวกเราเริ่มกลับมาแข็งแกร่งมากขึ้น… อีกไม่นาน สภาพแวดล้อมของที่นี่ก็จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อผู้บุกรุกอีกแล้ว…”
แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นตอบด้วยเสียงราบเรียบ
วะ…ว่าไงนะ?
สภาพแวดล้อมในดินแดนทวยเทพจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อผู้บุกรุกอีกแล้ว?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต อ้าปากค้าง
ถ้าอย่างนั้น ดินแดนทวยเทพก็คงถึงคราวอวสานจริง ๆ แล้วน่ะสิ?