เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1435 ราคาของการปฏิเสธ
ตอนที่ 1,435 ราคาของการปฏิเสธ
หลังจบงานประลองกระบี่ที่เมืองไป๋หยุน หลินเป่ยเฉินก็ได้ครอบครองตำแหน่งเซียนกระบี่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเก็บตัวหลอมรวมพลังเทพเจ้า บัดนี้ยังไม่ปรากฏกาย แต่เขาก็คือความหวังที่ทุกคนใฝ่ฝันว่าจะออกมาแก้ไขสถานการณ์ให้แก่แผ่นดินตงเต้าอยู่เสมอ
ขณะนี้ เมืองหยุนเมิ่งอยู่ภายใต้การดูแลของนักพรตหญิงชินซึ่งเคยฆ่าเทพอสูรไปจำนวนไม่น้อย อีกทั้งนางยังสอนการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ผู้คนรอบตัวและนี่จึงเป็นความหวังในการต่อสู้ของชาวแผ่นดินใหญ่
หลินเป่ยเฉินกับนักพรตหญิงชินคือความหวังของมวลมนุษยชาติ
แต่การต่อสู้ที่แม่น้ำซินเจียงดำเนินมาจนถึงตอนนี้ กลับยังไม่มีวี่แววว่าหนึ่งในสองคนนั้นจะปรากฏกายออกมาเลย
จึงนำมาสู่ความผิดหวังและความเคลือบแคลงใจของชาวทะเลเป็นจำนวนมาก
อีกอย่าง เฒ่าทะเลกำเนิดมาจากเผ่าพันธุ์ชาวทะเล แม้เขาจะขึ้นมาอยู่บนแผ่นดินใหญ่เป็นระยะเวลาไม่น้อย แต่ชายชราก็ยึดถือผลประโยชน์ของชาวทะเลมาก่อนเสมอ ซึ่งนี่ก็นับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แต่สิ่งที่เขาไม่ทราบก็คือหลังม่านหมอกบนแม่น้ำนั้น ได้บังเกิดอีกหนึ่งการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นแล้ว
เหยียนอิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อน ตรวจจับพบการต่อสู้ที่ดุเดือดกลางแม่น้ำห่างออกไป หัวใจของนางเต้นระทึก
“ท่านเองก็อยากโค่นล้มพวกวิหารเทพพงไพรเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
“ท่านกับข้า เรามาร่วมมือกัน”
“พวกเรามาเดิมพันกันเถอะ…”
ถ้อยคำในค่ำคืนแห่งการเจรจาดังกังวานในหัวของเหยียนอิง
ดวงตาของนางเป็นประกายอย่างบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น
หากนี่คือการเอาตัวรอด เหตุไฉนถึงไม่วัดดวงให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย?
ในเมื่อแผ่นดินใหญ่ขณะนี้ถูกปกครองโดยวิหารเทพพงไพรแทบหมดสิ้น แล้วยังจะมีที่ไหนให้ผู้คนได้หลบซ่อนตัวอีก?
เพราะฉะนั้นจึงต้องมีคนลุกขึ้นสู้
แม้มันจะดูเหมือนไม่มีความหวังเลยก็ตาม
ผู้คนบนแผ่นดินใหญ่มีเลือดนักสู้และความกล้าหาญเปี่ยมล้น
แผนการที่แท้จริงนั้นได้ถูกวางเอาไว้จากวิหารหลวงแห่งเทพีกระบี่นานแล้ว
มีผู้คนรับทราบเรื่องนี้ไม่มากนัก
ขอเพียงหลินเป่ยเฉินเสร็จสิ้นการเก็บตัวหลอมรวมพลังเท่านั้น…
นี่หมายถึงสิ่งใด?
นี่หมายถึงว่าหากเหยียนอิงสามารถยื้อเวลาจนถึงตอนที่หลินเป่ยเฉินปรากฏกายได้สำเร็จ นางก็จะเป็นฝ่ายชนะการเดิมพันแล้ว
บัดนี้ หัวใจของเหยียนอิงร้อนรุ่มดั่งมีเปลวเพลิงแผดเผา
…
“นี่หรือคือเมืองหยุนเมิ่ง?”
ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศสดชื่น
ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 เป็นศูนย์
บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเดินยิ้มแย้มไปตามท้องถนน เขามีบุคลิกสุภาพอ่อนน้อม แต่กลับมีสง่าราศีเหนือคนธรรมดา
บุรุษหนุ่มมีผู้ติดตามประมาณแปดคน ผู้ติดตามเหล่านั้นมีทั้งชายฉกรรจ์และชายชรา ทุกคนสวมใส่ชุดเกราะอ่อน ห้อยกระบี่ คาดผ้าคลุมยาว ดูลักษณะแล้วน่าจะเป็นพ่อบ้านและองครักษ์พิทักษ์คุณชายจากตระกูลใหญ่
แต่กลับไม่มีพลังลมปราณแผ่ออกมาจากคนกลุ่มนี้เลย นี่หมายความว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์
ในขณะที่บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเดินไปข้างหน้า เขาก็กวาดสายตามองสิ่งที่อยู่สองข้างถนนพลางพูดพร้อมกับยิ้มกว้างว่า “นี่คือเมืองเล็ก ๆ ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เมื่อได้มาเห็นด้วยตาตนเองเช่นนี้ มันช่างเงียบสงบและมีความสุขสมคำเล่าลือจริง ๆ”
“นี่นับเป็นสวรรค์บนดินแล้ว”
“ช่างน่าเสียดายนัก”
“นายท่านขอรับ วิหารเทพีกระบี่ประจำเมืองอยู่ห่างออกไปสิบลี้ พวกเราขึ้นไปเลยดีหรือไม่ หรือว่า…”
พัดจีบในมือคุณชายผู้หล่อเหลาถูกปิดฉับขณะกล่าวว่า “หาอาหารรับประทานก่อนเถอะ รับประทานอิ่มแล้วจึงจะมีกำลังต่อสู้”
พูดจบ เขาก็เดินตรงดิ่งไปยังแผงขายบะหมี่ข้างทางและนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ ก่อนร้องสั่งอาหารว่า “เถ้าแก่ ขอบะหมี่ประจำเมืองหยุนเมิ่งหนึ่งชาม ไม่ใส่กุ้ง ไม่ใส่อาหารทะเล”
เถ้าแก่เจ้าของแผงขายบะหมี่เป็นชายวัยกลางคนอายุห้าสิบปี หน้าตาธรรมดาที่เห็นได้ทั่วไป หลังค่อม ขาเป๋ เสื้อผ้าที่สวมใส่สะอาดสะอ้าน ใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำสั่งของผู้เป็นลูกค้าก็รีบรับคำทันทีว่า “รบกวนคุณชายรอสักครู่ขอรับ…”
แม้เขาจะเป็นคนพิการ แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น บะหมี่ขึ้นชื่อประจำเมืองหยุนเมิ่งก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะเบื้องหน้าบุรุษหนุ่มด้วยความคล่องแคล่วว่องไว
บุรุษหนุ่มรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
ลักษณะการรับประทานอาหารเชื่องช้าพิถีพิถัน ดูสง่างามเป็นอย่างยิ่ง…
องครักษ์และพ่อบ้านยืนรอคอยอยู่ด้านข้างด้วยความอดทน
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาจากถนนที่อยู่ห่างออกไป “ท่านพ่อ ข้าจะลงทะเบียนเข้ากองทัพ ข้าจะลงสนามรบ…”
เด็กหนุ่มมีอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี ร่างกายกำยำ สวมใส่ชุดเครื่องแบบของสถานศึกษากระบี่ที่สามประจำเมืองหยุนเมิ่ง ฝักกระบี่เงินเล่มหนึ่งห้อยอยู่ข้างเอว โครงหน้าของเด็กหนุ่มผู้นี้คล้ายกับเจ้าของแผงขายบะหมี่ไม่น้อยทีเดียว
“ว่าไงนะ? อายุเจ้ายังไม่ถึงเกณฑ์เข้ากองทัพไม่ใช่หรือ?”
เถ้าแก่ขาเป๋เช็ดมือและหันหน้าไปมองบุตรชาย “ท่านเจ้าเมืองออกประกาศไว้ ผู้ที่จะเข้ากองทัพได้ต้องมีอายุสิบเจ็ดปีขึ้นไปเท่านั้น แม้วิทยายุทธ์ของเจ้าจะแข็งแกร่งเกินวัยก็จริง แต่บัดนี้เจ้ามีอายุเพียงสิบห้าปีแปดเดือนเท่านั้น”
พลัน เด็กหนุ่มชูเอกสารการลงทะเบียนในมือให้ดู “ท่านพ่อ นี่คือเอกสารรับรองอายุขอรับ ตราบใดที่ท่านพ่อลงชื่อยืนยัน พวกเขาก็จะเข้าใจว่าข้ามีอายุสิบเจ็ดปีเต็ม เพียงเท่านี้ ข้าก็สามารถเข้าร่วมกองทัพได้แล้ว”
“นี่เจ้าจะมาขอให้พ่อช่วยโกหกอย่างนั้นหรือ? เจ้าเด็กไม่รักดี” เถ้าแก่ขาเป๋ตบหลังศีรษะบุตรชายเสียงดังเพียะ “เรื่องที่สมควรทำเจ้ากลับไม่ทำ รีบกลับไปฝึกวิชาเดี๋ยวนี้”
เด็กหนุ่มยกมือกุมศีรษะและเงยหน้าขึ้นด้วยความดื้อรั้น “ข้าจะเข้าร่วมกองทัพ ตอนที่ศิษย์พี่หลินอายุเท่าข้า เขาก็เป็นผู้ชนะการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำมณฑล ส่วนศิษย์พี่ฮันตอนอายุเท่าข้า เขาก็มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกรในฐานะนายทหารชื่อดังของจักรวรรดิเป่ยไห่แล้ว… ข้าก็จะเป็นอย่างพวกเขาให้ได้เช่นกัน”
“เจ้าเด็กโง่ เจ้ากล้านำตนเองไปเปรียบเทียบกับคุณชายหลินคุณชายฮันได้อย่างไร?” ผู้เป็นบิดายกมือตบหลังศีรษะบุตรชายอีกครั้งด้วยความเคยชินพร้อมกับกล่าวว่า “ตอนที่พวกเขาอายุเท่าเจ้า พวกเขาได้ขอให้ผู้ใดช่วยปลอมแปลงเอกสารรับรองเรื่องอายุหรือไม่?”
เด็กหนุ่มยิ้มให้กับผู้เป็นบิดาด้วยความทะเล้น
สุดท้าย เถ้าแก่ขาเป๋ก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เอาเถอะ พ่อยอมรับว่าตอนที่คุณชายหลินอายุเท่าเจ้า เขาเป็นบุคคลไม่ธรรมดาจริง ๆ …แต่คุณชายหลินมีฝีมือเทียมฟ้าเช่นนั้น เจ้าจะเป็นอย่างเขาได้จริงหรือ?”
“ท่านพ่อ ท่านเองก็เป็นทหารผ่านศึกเคยรบในแดนเหนือมาแล้ว เหตุไฉนจึงได้กระทำตัวสองมาตรฐานเช่นนี้เล่า?” เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่สน ข้าอยากเป็นทหาร ข้าได้ข่าวมาว่านครเจาฮุยกำลังสถานการณ์ย่ำแย่ กองทัพวิหารเทพพงไพรบุกโจมตีอย่างหนักหน่วง พวกเราต้องรีบไปเป็นกำลังเสริม ไล่ล่าสังหารพวกวิหารเทพพงไพรผู้ต่ำช้าพวกนั้นให้ได้…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าขององครักษ์และพ่อบ้านที่อยู่ด้านข้างก็แสดงออกถึงความโกรธแค้นขึ้นมาทันที
แต่บุรุษหนุ่มผู้เป็นนายท่านพ่นลมผ่านทางจมูกเล็กน้อย
นั่นเองกลุ่มองครักษ์และพ่อบ้านจึงได้สะกดกลั้นอารมณ์ลง
และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กสาวชุดขาวผู้หนึ่งเหินตัวเข้ามาราวกับเป็นผีเสื้อโบยบิน นางทิ้งตัวลงมายืนอยู่หน้าแผงขายบะหมี่ด้วยความนุ่มนวล
“ลุงจินเจ้าคะ เอกสารสมัครเข้าร่วมกองทัพของท่านถูกปฏิเสธ…” เด็กสาวผู้นี้มีร่างกายสูงเพรียว ใบหน้างดงามประดับรอยยิ้มขณะยื่นส่งเอกสารแผ่นหนึ่งออกมาข้างหน้า
“ว่าไงนะ?”
เถ้าแก่ร้านบะหมี่รับแผ่นกระดาษไปดูด้วยความร้อนรน “ให้ตายสิ ข้าเป็นทหารเก่า ข้ามีประสบการณ์ต่อสู้ในชายแดนเหนือนับสิบปี แม้จะร้างลาสนามรบมานานแล้ว แต่ข้าก็รักษาระดับพลังของตนเองอยู่เสมอ บัดนี้ ข้ายังมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับ 3 ด้วยความสามารถระดับนี้ ย่อมสามารถเข้าร่วมกองทัพได้อยู่แล้ว… เหตุไฉนพวกเขาจึงปฏิเสธ?”
“ท่านพ่อ… นี่ท่านก็สมัครเข้ากองทัพเหมือนกันหรือ?”
เด็กหนุ่มผู้ยืนอยู่ด้านข้างเบิกตาโตอย่างเหลือเชื่อ
“เจ้าเด็กโง่ พ่อของเจ้าคือจินจื่ออี้เชียวนะ พ่อเคยผ่านการต่อสู้มาแล้วนับร้อยครั้ง บัดนี้การหวนคืนสู่สนามรบก็นับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้วไม่ใช่หรือ? การจะรับมือกับกองทัพเทพพงไพรผู้ชั่วช้าเช่นนั้นได้ มีแต่ต้องอาศัยประสบการณ์ของทหารเก่าอย่างพ่อเท่านั้น ส่งทหารใหม่อย่างพวกเจ้าไป ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้นเอง”
เถ้าแก่ร้านขายบะหมี่เดือดดาลจนหนวดเคราปลิวไสว
พูดจบ ชายวัยกลางคนก็หันมาขอร้องเด็กสาวชุดขาวว่า “ปู้ฮุย เห็นแก่ลุงเถอะนะ เจ้าก็รู้จักลุงมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เจ้ามีความสนิทสนมกับคุณชายหลินเป่ยเฉิน เจ้าย่อมมีสิทธิพิเศษในการจัดการเรื่องกำลังพลอยู่แล้ว… เจ้าช่วยไปบอกพวกเขาทีว่าขาของลุงได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว”
“ท่านพ่อ ท่านเพิ่งจะสอนไม่ให้ข้าโกหก แต่ขาของท่านยังไม่หายสักหน่อย…”
เด็กหนุ่มผู้มีนามว่าจินชวนเป่าเปิดโปงบิดาอย่างไม่ไว้หน้า
“เจ้าลูกทรพี เจ้าหาว่าพ่อโกหกอย่างนั้นหรือ?”
ชายวัยกลางคนพลันรัวกำปั้นทุบใส่แผ่นหลังของบุตรชาย
ภาพการทะเลาะวิวาทของสองพ่อลูกทำให้ฮันปู้ฮุยที่ยืนอยู่ด้านข้างอดหัวเราะออกมาไม่ได้ก่อนจะรีบเข้าไปห้ามปราม
บัดนี้ บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารับประทานบะหมี่หมดชามแล้ว เขาวางชามและตะเกียบกลับลงบนโต๊ะ ก่อนจะล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดขึ้นมาเช็ดปากอย่างละเมียดละไมและโยนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นทิ้งไปอย่างไม่ไยดี หลังจากนั้นจึงกล่าวขึ้นมาว่า “น้องสาว ได้ยินว่าเจ้ามีความสนิทสนมกับหลินเป่ยเฉินหรือ?”
ฮันปู้ฮุยชำเลืองมองกลุ่มคนแปลกหน้า ดวงตาปรากฏความเคลือบแคลงสงสัย ในใจอดรู้สึกสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาไม่ได้ “ไม่ทราบว่าพวกท่านคือ?”
“อ้อ พวกเราคือสหายของหลินเป่ยเฉิน อยากจะไปพบเจอเขาสักหน่อย”
บุรุษหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าเป็นคนสนิทของเขา คงช่วยนำทางเราไปพบเขาได้กระมัง?”
ฮันปู้ฮุยถอยหลังกลับไปโดยไม่รู้ตัว “ขอโทษที พอดีข้ามีเรื่องสำคัญต้องรีบไปจัดการ”
พูดจบ นางก็หันมาขยิบตาให้แก่จินจื่ออี้และบุตรชาย ก่อนหมุนตัวกำลังจะพลิ้วกายจากไป
แต่ทันใดนั้น เด็กสาวก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าตนเองไม่สามารถขยับร่างกายได้อีกแล้ว
“ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธข้าได้”
บุรุษหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า “เจ้าต้องชดใช้ในสิ่งที่เพิ่งพูดออกมา”
เขายกมือขึ้นดีดนิ้ว
ป๊อก!
แล้วศีรษะของเถ้าแก่ร้านบะหมี่ขาเป๋จินจื่ออี้ก็ระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด