เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1446 การต่อสู้บนแม่น้ำสีเลือด
ตอนที่ 1,446 การต่อสู้บนแม่น้ำสีเลือด
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปตบไหล่ชายวัยกลางคนและกระซิบด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “ร้องไห้อีกหน่อยดีกว่านะขอรับ”
หลิงจุนเซวียนหันมามองหน้าเขา
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่ออีกครั้งว่า “ภรรยากับบุตรสาวของท่านเพิ่งเดินทางจากไป เหตุไฉนท่านจึงไม่ร้องไห้เลย? ข้าจะเล่าตำนานของใครบางคนให้ท่านฟังนะขอรับ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีบุรุษหนุ่มที่ชื่อว่าต๋งหย่งผูู้กตัญญูได้พบรักกับเทพธิดา เขายินดีทำทุกอย่างเพื่อให้ได้พบเจอคนรักของตนเอง…”
หลินเป่ยเฉินหยิบยกตำนานพื้นบ้านจีนโบราณขึ้นมาเอ่ยอ้าง
หลังจากฟังเรื่องราวความรักของต๋งหย่งกับเทพธิดาจบแล้ว หลิงจุนเซวียนก็กะพริบตาปริบ ๆ ยกมือปาดน้ำลาย พูดเสียงเรียบว่า “ต๋งหย่งผู้นี้ช่างร้ายกาจเหลือเกิน ถึงขนาดแอบดูผู้อื่นอาบน้ำเชียวหรือนี่ นับว่าไม่ใช่พฤติกรรมของสุภาพบุรุษจริง ๆ น่าเสียดายนักที่เขาเสียชีวิตไปซะแล้ว ถ้าข้าได้พบเจอเขานะ ข้าคงต้องขอคำแนะนำในเรื่องการพิชิตใจสตรีจากเขาสักหน่อย”
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุกเล็กน้อย
ดูเหมือนพูดอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่เข้าสมองหลิงจุนเซวียนแล้วสินะ
“เอาเถอะ ผู้อาวุโสหลิงอย่าได้คิดมากเลยขอรับ บัดนี้ท่านรีบไปนอนหลับพักผ่อน เมื่อข้ากลับมาจากนครเจาฮุย เราค่อยมาพูดคุยกันใหม่…”
“เจ้าช่วยแนะนำหญิงงามให้ข้ารู้จักบ้างได้หรือไม่?”
“เฮอะ… เมื่อถึงเวลา ข้าจะพาท่านข้ามประตูระหว่างภพภูมิไปนำตัวภรรยาของท่านกลับมา ส่วนข้าก็จะพาตัวบุตรสาวของท่านกลับมาเช่นกัน ไม่ทราบว่าพวกนางมีความงดงามเพียงพอหรือไม่?”
“ย่อมงดงาม… แต่ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นล่ะ?”
“ช่วงเวลาก่อนหน้านั้น ท่านก็ต้องสงบจิตใจให้ดี”
หลินเป่ยเฉินพยายามปลอบโยนอย่างสุดความสามารถ หลิงจุนเซวียนเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในที่สุดก็เรียกคืนสติกลับมาได้อีกครั้ง
“ท่านรอข้าอยู่ที่นี่ เมื่อข้ากลับมา ข้าจะพาท่านไปรับตัวภรรยากับบุตรสาวเอง”
หลังจากที่หลินเป่ยเฉินพูดประโยคนี้จบลง เขาก็ลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าและขับรถม้าทองคำมุ่งหน้าตรงไปที่นครเจาฮุย
…
เสียงตะโกนแห่งการฆ่าฟันดังก้องกังวาน
โลหิตไหลนอง
แม่น้ำซินเจียงกลายเป็นสีเลือด
ศพคนตายลอยละล่องอยู่เต็มผิวน้ำ ไม่ต่างไปจากท่อนไม้ไร้ค่าหมดความหมาย
ตู้ม!
เกาเฉิงฮั่นยกมือกุมหน้าอก ตัวคนกระเด็นตกจากท้องฟ้ากระแทกผิวน้ำสีแดงฉานเสียงดังสนั่น
“ตายซะเถอะ”
ผู้ที่ลงมือโจมตีเป็นขั้นเซียนตอนปลายจากจักรวรรดิต้าเกี๋ยน
มวลอากาศปั่นป่วน คลื่นพลังซึ่งรวมตัวกันเป็นรูปฝ่ามือขนาดใหญ่ยักษ์กระแทกลงมาสู่ผิวน้ำ
ผิวน้ำแตกกระจายเป็นรูปฝ่ามือยักษ์
ไม่ทราบเลยว่าชาวทะเลที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวน้ำบริเวณนั้นต้องเสียชีวิตไปมากมายเพียงใด ซากศพของพวกเขาลอยขึ้นมาบนผิวน้ำราวกับเป็นซากปลาตาย
เกาเฉิงฮั่นกระอักเลือดออกมาจากปาก โคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกาย สามารถรอดตายมาจากการโจมตีครั้งนี้ได้อย่างหวุดหวิด
เขาพยายามหลบหนีออกมาฟื้นฟูพลังของตนเอง
หูได้ยินเสียงหวีดหวิว
เมื่อโคจรพลังปราณธาตุน้ำในร่างกาย ผิวน้ำรอบตัวก็เปลี่ยนแปลงกลายเป็นพายุมีดสั้น พุ่งขึ้นไปโจมตีศัตรูที่ลอยตัวอยู่ในอากาศ
เกาเฉิงฮั่นต่อสู้มาทั้งวันแล้ว
ผู้มีพลังขั้นเซียนของฝ่ายกองทัพวิหารเทพพงไพรต้องตายด้วยน้ำมือของเกาเฉิงฮั่นนับร้อยคน
และผู้มีพลังขั้นเซียนตอนปลายก็ต้องเสียชีวิตด้วยน้ำมือของเขาอีกสามคน
นับเป็นจำนวนที่น่าทึ่ง
แม้ว่าเกาเฉิงฮั่นเพิ่งจะเลื่อนขึ้นมาอยู่ในขั้นเซียนระดับห้าเท่านั้น แต่เนื่องจากเขาฝึกฝนวิชาลับที่ถ่ายทอดโดยนักพรตหญิงชิน เกาเฉิงฮั่นจึงสามารถใช้งานพลังศักดิ์สิทธิ์เพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้จนมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นเซียนตอนปลาย
แต่ถึงอย่างนั้น พลังในร่างกายย่อมมีวันหมด
เกาเฉิงฮั่นรู้สึกว่าตนเองใช้พลังมาจนถึงขีดจำกัดแล้ว
การต่อสู้วันนี้ กำลังจะกลายเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเกาเฉิงฮั่น
แต่ก่อนที่ความตายจะมาเยือน เกาเฉิงฮั่นทราบดีว่าตนเองต้องต่อสู้ต่อไป
ห่างออกไปไม่ไกล บนเรือรบที่ใกล้จมลงไปใต้ผิวน้ำสีแดงเลือดรอมร่อ การต่อสู้ยังคงดำเนินไปไม่หยุดยั้ง
หลิงอู๋นำผู้ใต้บังคับบัญชาฆ่าฟันศัตรู
กระบี่เงินแปดเล่มลอยวนเวียนอยู่รอบร่างกายชายหนุ่ม และในมือของเขาก็ยังถือกระบี่ใหญ่คอยตวัดฟาดฟันอีกหนึ่งเล่ม ตลอดร่างกายของหลิงอู๋มีบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง ใบหน้าหล่อเหลาเปียกชุ่มด้วยโลหิต บาดแผลบางแห่งสามารถมองเห็นได้ถึงกระดูกสีขาวโพลน…
รอบกายหลิงอู๋มีแต่แม่ทัพชั้นนำที่ร่วมรบกันมาโดยตลอด
ทุกคนไม่ต่างไปจากครอบครัวของหลิงอู๋
แต่บัดนี้ กำลังพลของเขาเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งหนึ่งแล้ว
ฝ่ายศัตรูเป็นกลุ่มทหารจากจักรวรรดิหลิวชา อาวุธในมือคือกระบี่ใหญ่และโล่โลหะ จำนวนกำลังพลของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากเกินไป หลิงอู๋จึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบครั้งแล้วครั้งเล่า
“ท่านแม่ทัพ รับประทานยาก่อนขอรับ”
องครักษ์ผู้หนึ่งรีบวิ่งเข้ามายื่นโอสถเป่ยเฉินเม็ดสุดท้ายให้แก่หลิงอู๋พร้อมตะโกนว่า “ท่านแม่ทัพบาดเจ็บหนักมากเกินไป รีบล่าถอยไปรักษาอาการบาดเจ็บเถอะขอรับ ทางนี้พวกเราจะต้านทานเอาไว้เอง”
“ต้านทานมารดาเจ้าเถอะ”
หลิงอู๋ยัดโอสถเม็ดนั้นกลืนลงคอ ก่อนจะโคจรพลังฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและกระบี่ทั้งแปดเล่มของเขาก็สามารถพุ่งออกไปข้างหน้าได้อีกครั้ง
วูบ! วูบ! วูบ! วูบ! วูบ! วูบ! วูบ! วูบ!
แม่ทัพผู้นำของกองทัพจากจักรวรรดิหลิวชาทั้งแปดคนพลันถูกกระบี่ปักตรึงอยู่บนดาดฟ้าเรือ
แม่ทัพเหล่านี้ลงมือด้วยความดุดันอำมหิต แม้ร่างกายจะถูกกระบี่เสียบติดอยู่กับดาดฟ้าเรือ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ใช้สองมือยึดจับกระบี่ที่เสียบร่างของตนเองแนบแน่น เพื่อป้องกันไม่ให้หลิงอู๋เรียกคืนกระบี่กลับไปได้
“จงตายซะ”
ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน แม่ทัพใหญ่ของจักรวรรดิหลิวชานามว่าซาหลี่เฟยอาศัยโอกาสนี้ร้องตะโกนออกมา
ทันใดนั้น กระบี่สีเหลืองเล่มหนึ่งก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ภายในกระบี่บรรจุด้วยพลังปราณธาตุทรายเปี่ยมล้น และกระบี่นี้ก็กำลังพุ่งตรงเข้าไปหาหลิงอู๋ด้วยความดุดัน
หลิงอู๋ระเบิดเสียงคำรามไม่ต่างจากสัตว์ร้าย
เขาล้มเลิกการเรียกคืนกระบี่ทั้งแปดเล่มของตนเอง หลิงอู๋ยกกระบี่ยักษ์ในมือขึ้นรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด นี่คือการเคลื่อนไหวที่ต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาล โลหิตไหลทะลักออกมาจากบาดแผลของเขา รอยแผลเป็นบนใบหน้าเกิดการปริแตก โลหิตไหลซึมออกมา แต่เสียงคำรามของหลิงอู๋ยิ่งช่วยเพิ่มพละกำลังของเขามากขึ้น
เคร้ง!
กระบี่ยักษ์ในมือหลิงอู๋ปะทะเข้ากับกระบี่สีเหลืองนั้น
สะเก็ดไฟสาดกระจายสว่างไสวไม่ต่างจากดอกไม้ไฟยามพลบค่ำ
นี่คือการต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน
พลังกดดันครอบคลุมบรรยากาศ
หลิงอู๋แขนชา ร่างกายเจ็บปวดแสนสาหัส แต่ตัวคนกลับยืนหยัดอย่างตั้งมั่น ไม่ล่าถอยไปแม้แต่ก้าวเดียว
เพราะพวกเขารับหน้าที่คุ้มกันท่าเรือประจำนครเจาฮุย
แม่น้ำแห่งนี้คือ ‘หลุมศพ’ ของพวกเขา เรือรบจำนวนมากต้องจมลงไปอยู่ใต้แม่น้ำ แต่โชคดีที่มีนักเวทของชาวทะเลคอยช่วยเหลือ ทัพเรือจึงยังสามารถรักษาท่าเรือประจำนครเจาฮุยมาได้จนถึงขณะนี้
หากพื้นที่ท่าเรือถูกตีแตกเมื่อไหร่ กองทัพศัตรูก็จะสามารถบุกทะลวงเข้าสู่ใจกลางค่ายที่พักของฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทันที และนั่นก็จะนำมาสู่ความพ่ายแพ้ของพวกเขา!
ความจริงนั้น พื้นที่รับผิดชอบของหลิงอู๋ไม่ใช่ที่นี่
ที่นี่เป็นพื้นที่รับผิดชอบของแม่ทัพใหญ่กวนเฟยตู้
น่าเศร้าที่แม่ทัพกวนเสียชีวิตไปแล้ว
และแม่ทัพรองลำดับสอง ลำดับสาม ลำดับสี่ ลำดับห้าไปจนถึงลำดับที่เจ็ดของกวนเฟยตู้ ต่างก็เสียชีวิตหมดสิ้นเช่นกัน ดังนั้น หลิงอู๋จึงต้องมารับหน้าที่นี้ไปโดยปริยาย
เขาไม่มีทางเลือกอื่น
การต่อสู้ครั้งนี้ กองทัพของเขาจะพ่ายแพ้ไม่ได้
นายทหารทุกคนจึงต่อสู้อย่างถวายชีวิต
หลิงอู๋ไม่ทราบเลยว่าตนเองจะต้านทานได้อีกนานเพียงใด
บัดนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
ตามแผนการเดิม เมื่อราตรีกาลมาเยือน กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรจะล่าถอยและนครเจาฮุยก็จะกลายเป็นแนวรบแห่งสุดท้ายในการต้านทานกองทัพจากวิหารเทพพงไพร
ห่างออกไป
หลิงฉือยืนอยู่บนเรือเหาะ เฝ้าดูสถานการณ์โดยรวมจากบนท้องฟ้า
ผู้คนตกตายลงสู่แม่น้ำซินเจียงราวกับใบไม้ร่วง ความตายของชาวทะเลและผู้คนจากแผ่นดินใหญ่ผสมร่วมกันจนเกิดเป็นบรรยากาศที่น่าสลดหดหู่ใจ…
“ออกคำสั่งให้ทุกคนถอนกำลัง…”
หลิงฉือพูดออกมาช้า ๆ
แต่คำพูดยังไม่ทันขาดหาย ความเปลี่ยนแปลงในสมรภูมิรบก็เกิดขึ้นอย่างไม่มีสัญญาณเตือน