เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1454 งานคืนสู่เหย้าชมรมตำหนักไม้ไผ่
ตอนที่ 1,454 งานคืนสู่เหย้าชมรมตำหนักไม้ไผ่
วันต่อมา ในที่สุดโทรศัพท์ก็อัปเดตระบบเสร็จสิ้น
ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินได้รับโอกาสในการคัดเลือกแอปแบบสุ่ม เช่นเดียวกับการอัปเกรดแอปพลิเคชันในเครื่องอย่างแอป QQ และแอปแท็กซี่ตี๋น้อย
ถือว่าไม่เลวนัก
เพียงแต่ว่าแอปพลิเคชันอย่างแอป QQ และแอปแท็กซี่ตี๋น้อยนั้น ยังจะมีอะไรให้อัปเกรดอีกหรือ?
หลินเป่ยเฉินกดข้ามการอัปเกรดแอปไปก่อน
มาเลือกสุ่มแอปใหม่กันก่อนดีกว่า
‘นายท่านอยากเลือกแอปพลิเคชันใหม่เลยไหมเจ้าคะ?’
เสียงของเสี่ยวจี้ ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะดังขึ้นในหัวของหลินเป่ยเฉิน
“เลือกได้เลย”
หลินเป่ยเฉินตอบรับกลับไปอย่างไม่ลังเล
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ
ในรายชื่อแอปพลิเคชันที่สามารถดาวน์โหลดได้ในโทรศัพท์มือถือของเขา พลัน ปรากฏโลโก้ของแอปพลิเคชันที่เป็นรูปรถบรรทุกสีส้มสดใส มีตัวอักษรกำกับอยู่ด้านล่างว่า ‘บริการขนส่งพัสดุ’
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความเหลือเชื่อ
เพราะนี่คือแอปลาล่ามูฟ
คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะได้แอปพลิเคชันนี้
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับพร้อมกับคิดสงสัยว่า ‘แอปขนส่งพัสดุเช่นนี้ยังจะมีประโยชน์อะไรในโลกแห่งวรยุทธ์อีก?’
ทว่า เมื่อผ่านการดัดแปลงในโทรศัพท์มือถือของเขา แอปลาล่ามูฟจะสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง?
ขนส่งและรับพัสดุ?
ขนส่งเสบียงทหาร?
หรือถ้าเป็นในสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่แน่ว่าความสามารถของแอปลาล่ามูฟอาจจะช่วยขนส่งสินค้าไปกลับระหว่างแผ่นดินตงเต้ากับดินแดนทวยเทพก็เป็นได้ และนั่นก็จะทำให้หลินเป่ยเฉินมีช่องทางการหาเงินมหาศาลทีเดียว…
‘นายท่านจะให้ดาวน์โหลดเลยไหมเจ้าคะ?’
“ดาวน์โหลดมาได้เลย”
‘การดาวน์โหลดครั้งนี้ต้องใช้อัตราการโอนถ่ายข้อมูล 80 GB กรุณาตรวจสอบให้แน่ใจว่าระหว่างการดาวน์โหลด…’
คำเตือนที่ไม่มีเนื้อหาสำคัญอะไรดังขึ้นอีกครั้ง
แอปลาล่ามูฟถูกดาวน์โหลดอยู่ในพื้นหลัง
หลินเป่ยเฉินแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เปิดเข้าไปในเกมสัตว์เลี้ยงแสนสนุก และเริ่มต้นเลือกลูกแก้วเทพเจ้าเพื่อนำมาปลดผนึกพลังปราณธาตุชนิดที่สี่ของตนเอง
เดิมที ในศูนย์เพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงของหลินเป่ยเฉินมีลูกแก้วเทพเจ้ากว่าสามร้อยใบ แต่เมื่อรวมกับลูกแก้วเทพเจ้าซึ่งได้มาจากบรรดาเทพเจ้าที่เขาสังหารทิ้งเมื่อกลับมาถึงแผ่นดินตงเต้า บัดนี้ หลินเป่ยเฉินจึงมีลูกแก้วเทพเจ้าเกือบสี่ร้อยใบแล้ว
แม้จะมีลูกแก้วบางลูกบรรจุตำแหน่งเทพเจ้าระดับสูงที่หายาก
แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้มีตำแหน่งเทพเจ้าระดับชนชั้นเจ้าชีวิต
ตำแหน่งเทพเจ้าเกือบทั้งหมดที่เคยถูกเก็บรักษาอยู่ในวิหารต้องห้ามนั้น บัดนี้ พวกมันมาอยู่ในมือของหลินเป่ยเฉินหมดสิ้น นี่จึงแสดงให้เห็นว่าในดินแดนทวยเทพขาดแคลนตำแหน่งเทพเจ้าชนชั้นเจ้าชีวิตจริง ๆ
แต่โชคดีที่หลินเป่ยเฉินไม่ได้ต้องการตำแหน่งที่สูงส่งถึงขนาดนั้น
สุดท้าย เขาก็เลือกลูกแก้วเทพเจ้าที่บรรจุตำแหน่งยมทูตทะเลทรายออกมาเพื่อหลอมรวมพลัง
ภาพอสูรที่บรรจุอยู่ในลูกแก้วเป็นปีศาจหัวสุนัขร่างยักษ์ รอบกายปกคลุมด้วยเปลวไฟสีเหลืองส้ม มันยืนอยู่กลางทะเลทรายที่เวิ้งว้างกว้างไกล ในมือถือขวานขนาดใหญ่ ลักษณะท่าทีคุกคามขู่ขวัญผู้คนเป็นอย่างยิ่ง
กระบวนการหลอมรวมพลังนำมาสู่ความเจ็บปวดที่คุ้นเคย
หลินเป่ยเฉินใช้เวลาหลอมรวมพลังจากลูกแก้วเทพเจ้าใบนี้หนึ่งวันหนึ่งคืน
ด้วยว่ายามอยู่ในแผ่นดินตงเต้า หลินเป่ยเฉินสามารถโคจรพลังปราณธาตุได้อย่างเปิดเผย ดังนั้นกระบวนการหลอมรวมพลังจึงดำเนินไปรวดเร็วกว่าตอนที่อยู่บนดินแดนทวยเทพ
และความพยายามของหลินเป่ยเฉินก็ไม่ทำให้ตัวเขาเองต้องผิดหวัง
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังปราณธาตุชนิดที่สี่ไหลเวียนในร่างกาย หัวใจของหลินเป่ยเฉินก็รู้สึกหนักอึ้งผิดปกติ เช่นเดียวกับร่างกายของเขาที่เกิดพลังกดดันไหลทะลักออกมาจากข้างใน
หลินเป่ยเฉินร่างกายกระตุกวูบ
ลำแสงสีเหลืองส้มเปล่งประกายเจิดจ้า
ข้อมูลที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนล้นทะลักเข้าสู่สมองและจิตใจ
ล้วนแต่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับพลังของเทพเจ้าตำแหน่งยมทูตทะเลทราย
นั่นทำให้หลินเป่ยเฉินรู้ว่าพลังปราณธาตุดินที่ตนเองปลดผนึกออกมาได้นั้น นอกจากจะช่วยทำให้เขาสามารถควบคุมพื้นดินและดำดินได้เหมือนเดิมแล้ว ยังมีอีกสองความสามารถสำคัญเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
หนึ่งนั้นคือการยืมพลังมาจากพื้นดินได้มากขึ้น
และสองนั้นคือการควบคุมแรงโน้มถ่วง
“เชี่ย! นี่มันสกิลโคตรขี้โกงเลยนี่หว่า”
หลินเป่ยเฉินซึมซับข้อมูลเหล่านั้นอยู่ในใจ ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นอย่างลืมตัว
การยืมพลังมาจากพื้นดินในที่นี้ หมายถึงว่าหลินเป่ยเฉินสามารถดึงพลังจากพื้นดินเพื่อขยายร่างกายของตนเองให้ใหญ่ขึ้นได้ เหมือนพวกยอดมนุษย์ในหนังแปลงร่างที่ขยายตัวใหญ่ยักษ์ได้นั่นเอง ส่วนความสามารถในการควบคุมแรงโน้มถ่วงนั้น นับเป็นความสามารถที่ผิดหลักทางวิทยาศาสตร์ทุกประการ นี่จึงหมายความว่าหลินเป่ยเฉินสามารถใช้แรงโน้มถ่วงจู่โจมศัตรูได้ตามใจชอบ
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับเคล็ดวิชาลับอีกด้วย…
เป็นเคล็ดวิชาเกี่ยวกับพลังจิตและการเสริมสร้างพลังวิญญาณให้แข็งแกร่ง
ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของหลินเป่ยเฉินอยู่พอดี
และเขาไม่จำเป็นต้องฝึกฝนด้วยข้อมูลในคัมภีร์ลับเหล่านั้น ขอเพียงจดจำให้ขึ้นใจก็สามารถใช้งานได้ทันที
แต่มันจะง่ายดายเช่นนั้นจริง ๆ หรือ?
ย่อมไม่ง่ายขนาดนั้น
หลินเป่ยเฉินเก็บตัวอยู่ในห้องลับ รู้สึกได้ถึงพลังปราณธาตุดินที่ปั่นป่วนอยู่ในร่างกาย ซึ่งเขาก็พยายามควบคุมมันอย่างสุดความสามารถ
ทว่า เด็กหนุ่มใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาก็สามารถควบคุมพลังปราณธาตุดินได้อย่างคล่องแคล่ว นั่นทำให้ในขณะนี้ หลินเป่ยเฉินปลดผนึกพลังปราณธาตุในร่างกายของตนเองได้สี่ชนิด และทุกชนิดก็ยังสามารถไหลเวียนร่วมกันได้อย่างไหลลื่นกลมเกลียว
“ทีนี้ก็เหลือแค่พลังปราณธาตุไม้เท่านั้น ถ้าเราสามารถปลดผนึกได้สำเร็จ นี่ก็หมายความว่าเรามีพลังปราณธาตุอยู่ในตัวครบทั้งห้าชนิด เมื่อไปต่อสู้กับเว่ยหมิงเฉิน โอกาสที่เราจะชนะก็เพิ่มมากขึ้น”
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความปลาบปลื้ม
ทันใดนั้น…
เสียงเพลงที่เขาตั้งไว้แทนเสียงนาฬิกาปลุกก็ดังกังวานขึ้นมา
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ
และสิ้นสุดการหลอมรวมพลังของตนเองเพียงเท่านี้
…
ยามบ่าย
ตำหนักไม้ไผ่มีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง
บุรุษและสตรีจำนวนมากมาร่วมงานเลี้ยงตามเทียบเชิญ
งานเลี้ยงที่มีหลินเป่ยเฉินเป็นเจ้าภาพกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินเชิญสหายเก่าจากสถานศึกษากระบี่ที่สาม รวมไปถึงผู้ที่เคยเข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองหยุนเมิ่ง อย่างเช่น เยว่หงเซียง มี่หรู่หยาน หวังซินอวี่ โจวเค่อ คังซานเสว่ เซวี่ยจิน มู่จินหาน คังเยว่ โจวฉุยหวูซวง และคนอื่น ๆ ไม่เว้นแม้แต่บุตรสาวของกงกงอย่างกงเมิ่งก็มาร่วมงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน
รวมไปถึงเถียนเถียน ฉุยหมิงโหลวและผู้ติดตามคนอื่น ๆ ก็ได้รับเชิญครบถ้วน
มิตรสหายของหลินเป่ยเฉินต่างก็เติบโตกันมากแล้ว
บางคนต้องเสียชีวิตไปในสงครามที่เกิดขึ้น
บางคนอย่างเช่นไป๋ชินอวิ๋นยังคงหายสาบสูญ
ตำหนักไม้ไผ่ได้เตรียมอาหารเลิศรสและสุราชั้นดีไว้รับรองแขกเหรื่อมากมาย… อาหารบางชนิดเป็นอาหารขึ้นชื่อจากดินแดนทวยเทพ ผู้คนในแผ่นดินตงเต้าไม่เคยได้รับประทานมาก่อน ซึ่งหลินเป่ยเฉินได้เตรียมเอาไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ตอนแรกแขกทุกคนก็ออกอาการประหม่า
เพราะต้องอย่าลืมว่าสถานะของหลินเป่ยเฉินในขณะนี้สูงส่งเทียบเท่าเทพเจ้าโดยแท้จริง
แต่ในไม่ช้า เมื่อสุราเริ่มออกฤทธิ์ ทุกคนก็ผ่อนคลายมากขึ้น
ความทรงจำในอดีตหวนคืนกลับมา
ผู้ที่ได้รับเทียบเชิญในงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ ล้วนแต่เป็นสมาชิกที่เคยมารวมตัวครั้งสุดท้ายในตำหนักไม้ไผ่ ก่อนที่ทุกคนจะเข้าร่วมกองทัพและเดินทางออกจากเมืองหยุนเมิ่ง ภายหลังพวกเขาถึงกับก่อตั้งชมรมตำหนักไม้ไผ่ขึ้นมา แม้ว่าความซื่อสัตย์ภักดีที่ทุกคนมีให้ต่อหลินเป่ยเฉินจะยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มผู้นี้ บรรดาแขกเหรื่อก็พลันรู้สึกว่าตนเองช่างต่ำต้อยและน่าอับอายสิ้นดี
จนกระทั่งมีผู้คนเอ่ยถึงชื่อของฮันปู้ฟู่ขึ้นมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ในงานเลี้ยงครั้งสุดท้ายเมื่อคราวก่อน ฮันปู้ฟู่เป็นหนึ่งในพระเอกคนสำคัญของงาน
“ศิษย์พี่ฮันยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะต้องพาตัวเขากลับมาให้ได้”
หลินเป่ยเฉินดื่มสุราหมดถ้วยและพูดเสียงดัง “ต่อให้เขาอยู่ในโลกแห่งความตาย ข้าก็จะไปพาเขากลับมา สักวันหนึ่ง ข้าจะพาศิษย์พี่ฮันกลับมาที่ตำหนักไม้ไผ่แห่งนี้ และมาดื่มกินร่วมกับพี่น้องทุกท่านอย่างมีความสุขอีกครั้ง”
ทุกคนส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ
บางคนมีน้ำตาคลอเต็มเบ้า
“ศิษย์พี่หลิน งานเลี้ยงครั้งสุดท้าย ท่านขับร้องบทเพลงที่ชื่อว่า ‘เสียงหัวเราะในฝุ่นแดง’ นับเป็นบทเพลงที่ไพเราะจับใจพวกเราไม่รู้ลืม ไม่ทราบว่าท่านพอจะช่วยขับร้องอีกสักครั้งได้หรือไม่…” มี่หรู่หยานจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกายสดใส
หลินเป่ยเฉินฉีกยิ้มอย่างผู้ชนะและตอบว่า “ข้ามีสิ่งที่ดีมากกว่านั้นอีก พวกเจ้าอยากฟังหรือไม่?”