เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1486 เล่นงานเทพไม้เขียว 2
ตอนที่ 1,486 เล่นงานเทพไม้เขียว 2
นี่คือครั้งแรกที่นักเวทสาวทั้งสองคนผนึกกำลังกันเล่นงานศัตรู
พลังเวทของหลี่อี้เทียนนอกจากจะช่วยลดทอนความสามารถในการต่อสู้ของเทพไม้เขียวได้แล้ว ยังทำให้เทพไม้เขียวสติฟุ้งซ่านอีกด้วย…
ส่วนพลังเวทของฮันลั่วเซวี่ยก็ช่วยเพิ่มพูนพลังในการต่อสู้ของฉู่เหินได้อีกหลายเท่า…
ขณะนี้ เทพไม้เขียวได้รับบาดเจ็บสาหัส
พลังโดยรวมจึงตกเป็นรองฉู่เหิน
แต่เทพไม้เขียวได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีร่างกายอึดถึกทนมากที่สุดในดินแดนทวยเทพ ร่างกายจึงแข็งแกร่งมากกว่าเทพเจ้าระดับสูงทั่วไป หากต้องการจะสังหารเทพไม้เขียว ก็ต้องโจมตีไปที่จุดตายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ในการลอบโจมตี พวกเขาต้องรีบลงมือให้รวดเร็ว
ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่ พรรคพวกของเทพไม้เขียวก็จะยิ่งรู้ตัวมากเท่านั้น หากเทพสงครามคนอื่น ๆ รับทราบถึงเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเทพอัคคี เทพนภา หรือเทพเหมืองแร่ ต่างก็ต้องรีบรุดมาช่วยเหลือเทพไม้เขียวอย่างแน่นอน…
และเมื่อถึงตอนนั้น กลุ่มกองกำลังของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนก็จะต้องพ่ายแพ้ไป…
เทพไม้เขียวเองก็รับทราบในข้อนี้เช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงเลิกล้มความคิดที่จะต่อสู้ และหันกลับมาพยายามถ่วงเวลาแทน
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเทพสงครามผู้สูงส่ง เทพไม้เขียวได้ระเบิดเสียงคำรามออกมาอีกครั้งด้วยความโกรธแค้นว่า “พวกเจ้าเป็นเพียงเทพเจ้าหน้าใหม่ชั้นต่ำ ถึงกับกล้าลอบโจมตีเทพสงคราม ข้าขอสาบานเลยว่าข้าจะต้องบดขยี้พวกเจ้าให้กลายเป็นผุยผงให้ได้…”
ฉู่เหินไม่ตอบรับคำใด นอกจากกระแทกหมัดออกไปรัว ๆ
แขนกลเทพเจ้าดาวเหนือของเขาผ่านการวิวัฒนาการมาแล้วหลายครั้ง พลังกำปั้นที่ต่อยออกไปนี้เกิดเป็นคลื่นพลังพุ่งทะยานในอากาศและเมื่อได้รับการเพิ่มพลังจากเวทมนตร์ของฮันลั่วเซวี่ย พลังทำลายล้างจากฤทธิ์กำปั้นทมิฬก็เพิ่มมากขึ้น…
“สองขาไร้หลักยึด”
หลี่อี้เทียนพลันพูดออกมา
คำสาปมีผลโดยทันที
เทพไม้เขียวที่ยืนหยัดอย่างมั่นคง อยู่ดี ๆ สองขาก็ลื่นล้มพุ่งเข้ามาหากำปั้นของฉู่เหิน
พลั่ก!
ศีรษะของเทพไม้เขียวระเบิดกระจาย
“อ๊ากกกก…”
แต่ลมหายใจต่อมา ศีรษะก็งอกกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เทพไม้เขียวคำรามด้วยความโกรธแค้น เขาส่งเสียงร้องโหยหวนฟังดูน่าขนลุก
“แขนซ้ายไร้เรี่ยวแรง…”
หลี่อี้เทียนร่ายคำสาปต่อเนื่อง
ทันใดนั้น เทพไม้เขียวพบว่าตนเองไม่สามารถใช้งานแขนซ้ายได้อีกแล้ว
ฉู่เหินอาศัยจังหวะนี้บุกเข้าไปประชิดตัวและซัดกำปั้นใส่ชายโครงของเทพไม้เขียว ส่งผลให้ร่างกายท่อนบนของเทพไม้เขียวระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด
“พลังหมัดฟื้นฟู”
ฮันลั่วเซวี่ยพูดออกมาเช่นกัน
พลัน ฉู่เหินรู้สึกว่ามวลพลังที่ถูกใช้ออกไปนั้นได้รับการเติมเต็มกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว เขาจึงสามารถรัวพายุกำปั้นออกไปได้อย่างบ้าคลั่งและรุนแรง
เทพไม้เขียวได้แต่สาปแช่งพรสวรรค์ในการใช้พลังเวทของหลี่อี้เทียนกับฮันลั่วเซวี่ย ในสถานการณ์นี้ เขาทำได้เพียงเป็นฝ่ายตั้งรับและร่างกายก็ถูกระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ถึงกระนั้น ด้วยความที่มีพลังชีวิตและร่างกายแข็งแกร่งผิดไปจากเทพเจ้าระดับสูงคนอื่น ๆ เทพไม้เขียวจึงสามารถฟื้นฟูร่างกายกลับมาใหม่ได้เสมอ
เพียงพริบตาเดียว เทพไม้เขียวก็สามารถถ่วงเวลาได้ถึงหนึ่งก้านธูป
“ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่”
หลี่อี้เทียนขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งเครียด
“แต่นี่เป็นแผนการของเจ้าไม่ใช่หรือ? อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ได้คาดการณ์เอาไว้?”
ฮันลั่วเซวี่ยถามด้วยเสียงเย็นชา “หากเจ้าคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้า เจ้าก็ต้องมีวิธีแก้ปัญหาสิ”
แผนการลอบสังหารเทพไม้เขียวในครั้งนี้ หลี่อี้เทียนเป็นผู้รับผิดชอบในการวางแผนทั้งหมด
แม้ว่าสี่องครักษ์ซึ่งเป็นเทพเจ้าระดับสูงของเผ่าเทพไม้เขียวจะถูกฆ่าตายทั้งหมด แต่เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคือการสังหารเทพไม้เขียวต่างหาก ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่พวกเขายังทำไม่สำเร็จ
หลี่อี้เทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นก็… คงต้องลงมือแล้ว”
ทันใดนั้น
มู่เจินซินที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ด้านข้างก็พุ่งตัวออกมาข้างหน้าราวกับเป็นนักวิ่งที่ได้ยินเสียงสัญญาณยิงปืนเริ่มการแข่งขัน พลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่ง คลื่นพลังทำลายล้างแผ่กระจายไปรอบบริเวณ…
นางวิ่งเข้าร่วมวงต่อสู้ด้วยความมุ่งมั่น
หลี่อี้เทียนโบกมือพลางร่ายคำสาป “ปิดผนึกในความมืด”
ทันใดนั้น ม่านลำแสงก็ปรากฏขึ้นกลายเป็นกรงขังเทพไม้เขียวอีกครั้ง และในเวลาเดียวกันนี้ คลื่นพลังในกรงขังก็หลอมรวมกันโจมตีใส่เทพไม้เขียว…
“กำปั้นมหาวินาศ”
ฉู่เหินระเบิดเสียงคำรามขานชื่อท่าไม้ตายของตนเองออกมา
ทันใดนั้น แขนกลขนาดใหญ่ทั้งสองข้างของเขาก็มีเปลวไฟลุกโชนสว่างไสว เปลวไฟเหล่านั้นลามเลียไปถึงด้านหลังและแยกออกกลายเป็นแขนไฟอีกแปดข้าง ซึ่งแขนไฟเหล่านั้นก็กำลังรัวกำปั้นปล่อยคลื่นพลังทำลายล้างใส่เทพไม้เขียวเป็นหนึ่งเดียว
ไม่ว่าจะเป็นคำสาปจากหลี่อี้เทียนหรือการโจมตีด้วยท่าไม้ตายของฉู่เหิน สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้พลังปราณธาตุไม้ของเทพไม้เขียวไม่สามารถฟื้นฟูได้ทันเวลา…
เมื่อสัมผัสได้ถึงความตายที่คืบคลานใกล้เข้ามา เทพไม้เขียวก็ระเบิดพลังศักดิ์สิทธิ์ แสดงให้เห็นถึงอสูรประจำตำแหน่งเทพเจ้าของตนเอง ภาพมายาของมนุษย์ต้นไม้สีเขียวมรกตปรากฏขึ้นในกรงขังแห่งความมืดมิดนั้น…
“เจ้าพวกมดปลวกผู้ต่ำต้อย… พวกเจ้าทำให้ข้าโมโหแล้วสิ!”
ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเทพไม้เขียวเป็นเช่นเดียวกับใบหน้าของภาพมายาที่ปรากฏขึ้นด้านหลัง
แต่นั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มู่เจินซินผู้มีเปลวไฟลุกโชนทั่วร่างกายพุ่งเข้าไปกอดรัดเทพไม้เขียวเอาไว้ราวกับต้องการจะถูกเผาไหม้ไปด้วยกัน
“ไสหัวไปซะ อย่ามายุ่งกับข้า”
เทพไม้เขียวคำรามด้วยความตื่นตระหนกและได้แต่ถามด้วยความไม่อยากเชื่อ “เหตุไฉนเจ้าถึงทรยศข้า เพราะเหตุใดกัน…”
แต่มู่เจินซินกลับกอดรัดเทพไม้เขียวแนบแน่นมากกว่าเดิม “ข้าเป็นสาวกของใต้เท้าเจี๋ยน เจ้าคิดตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา เจ้าก็ต้องถูกลงทัณฑ์… ฮ่า ๆๆ ตายซะเถอะ เจ้าโง่”
มู่เจินซินระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง รอยยิ้มสะใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า ราวกับว่านางไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่นิด เมื่อพลังปราณธาตุไม้ถูกเปลวไฟเผาไหม้ มันก็ไม่ต่างจากโยนก้านไม้ขีดติดไฟลงไปในบ่อน้ำมัน ได้ยินเสียงระเบิดดังตูมตาม แล้วร่างของเทพไม้เขียวก็มีเปลวไฟลุกไหม้…
ทั้งสองร่างกอดรัดกันแน่น ตัวคนกลายเป็นลูกไฟสีเขียว
“วิธีนี้ฆ่าได้แต่เทพเจ้าทั่วไปเท่านั้น”
ฮันลั่วเซวี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างส่งเสียงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “แต่เทพไม้เขียวเป็นถึงเทพสงคราม ย่อมไม่สามารถฆ่าตายได้แน่ ๆ”
ดวงตาของหลี่อี้เทียนเป็นประกายวาวโรจน์ เสียงของนางยามร่ายคำสาปเริ่มแหบแห้ง คลื่นพลังเวทขยายตัวปกคลุมแผ่นดินแผ่นฟ้า รวมตัวกันเกิดเป็นค่ายอาคมขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว
ไม้คทาในมือถูกโบกสะบัดอย่างเร่งร้อน
คลื่นพลังจำนวนมากระเบิดออกมาจากปลายไม้คทารุนแรง แล้วเปลวไฟสีเขียวที่ลุกไหม้บนร่างกายของเทพไม้เขียวก็ยิ่งทวีความร้อนระอุมากกว่าเดิมหลายเท่า ได้ยินเสียงกิ่งไม้ระเบิดแตกหักดังต่อเนื่อง นี่คือเปลวไฟมฤตยูที่แท้จริง
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในแสงสว่างวูบวาบและเปลวไฟโชติช่วง
สุดท้าย คลื่นพลังอัคคีจากกำปั้นมหาวินาศก็ทะลวงเข้าใส่ร่างกายที่ลุกเป็นไฟของเทพไม้เขียวอย่างหนักหน่วง…
เศษไม้ปลิวกระจาย เปลวไฟสีเขียวยังคงเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง
ร่างของเทพไม้เขียวสลายหายไปแล้ว
“เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย”
ในที่สุด สีหน้าเคร่งเครียดของหลี่อี้เทียนก็ผ่อนคลายลง นางถอนหายใจออกมาช้า ๆ หันหน้ากลับมามองฮันลั่วเซวี่ย ก่อนยักคิ้วใส่อย่างยั่วโมโหพร้อมกับกล่าวว่า “เป็นไงเล่า แผนการที่ข้าวางเอาไว้ไร้ที่ติใช่หรือไม่…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
“พรวด!”
ใบหน้าที่แดงก่ำของฮันลั่วเซวี่ยพลันมีโลหิตไหลทะลักออกตาออกจมูกออกหูออกปาก ร่างระหงกระตุกเฮือก ก่อนที่จะร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า
หลี่อี้เทียนรีบพุ่งปราดเข้าไปช้อนรับร่างนางไว้ด้วยความตกตะลึง
เมื่อร่างของบุตรสาวอดีตเจ้าของโรงเตี๊ยมมาอยู่ในอ้อมแขนของหลี่อี้เทียน นางจึงได้มีโอกาสพิจารณาโฉมหน้าของฮันลั่วเซวี่ยในระยะใกล้ และนั่นก็ทำให้หลี่อี้เทียนได้ตระหนักชัดเจนว่าอีกฝ่ายเองก็มีโฉมหน้าที่งดงามไม่แพ้ตนเองเช่นกัน
แต่เนื่องจากต่างฝ่ายต่างก็เป็นนักเวทด้วยกันทั้งคู่ พวกนางจึงเกิดความรู้สึกเป็นคู่แข่งกันมาตั้งแต่แรก ดังนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงคอยประชดประชันกันอยู่เสมอ แต่เมื่อเห็นฮันลั่วเซวี่ยบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ หลี่อี้เทียนก็อดรู้สึกร้อนใจขึ้นมาไม่ได้…
แย่ละสิ
เพื่อที่จะสังหารเทพไม้เขียวให้สำเร็จ ฮันลั่วเซวี่ยจึงทุ่มเทพลังทั้งหมดออกมาจนร่างกายรับไม่ไหว
หลี่อี้เทียนซึ่งเป็นนักเวทเช่นกันย่อมรู้ดีว่าอาการเช่นนี้หมายถึงความหนักหนาสาหัสเพียงใด
นี่ไม่ใช่เพียงการได้รับบาดเจ็บทั่วไปเท่านั้น
แต่เป็นไปได้ว่าวิญญาณอาจแตกสลายและฮันลั่วเซวี่ยก็จะต้องเสียชีวิตอย่างแท้จริง
หลินเป่ยเฉินมีค่ามากถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
หลี่อี้เทียนอดตั้งคำถามขึ้นมาในใจไม่ได้
ขณะนี้ ค่ายอาคมรอบบริเวณเริ่มสลายตัวลงไปอย่างช้า ๆ
การรักษาค่ายอาคมให้ใช้งานต่อไปเป็นสิ่งที่เผาผลาญพลังอย่างสูง
ในเวลาเดียวกันนี้ เกิดเสียงสั่นระฆังเตือนภัยดังออกมาจากคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนที่อยู่ห่างออกไป
ฉู่เหินลดกำปั้นลงและหันหน้ามองไปยังทิศทางของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน
สงครามที่แท้จริงได้เริ่มขึ้นแล้ว
“พวกเรารีบกลับกันเถอะ”
ชายวัยกลางคนเคลื่อนกายเข้ามารับร่างฮันลั่วเซวี่ยผู้สลบไสลไม่ได้สติ ก่อนจะหันมาถามหลี่อี้เทียนว่า “นางเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลี่อี้เทียนกำลังจะตอบคำถาม
“พวกเจ้ากระทำความผิดมหันต์ถึงเพียงนี้ ยังคิดหลบหนีไปที่ใดอีก”
เสียงคำรามดังขึ้นในอากาศ พลังเทพเจ้าแผ่ปกคลุมรอบบริเวณไม่ต่างจากคลื่นทะเลซัดใส่ชายฝั่ง ทำให้พวกฉู่เหินรู้สึกหนักอึ้งหายใจไม่สะดวกขึ้นมาทันที
เสียงที่เย็นชานั้นดังกังวานต่อไปว่า “เจี๋ยนเซียวเหยามีความผิดโทษฐานก่อกบฏ แต่งตั้งตนเองเป็นหนึ่งในห้าใต้เท้าใหญ่โดยมิชอบ เพราะฉะนั้น สาวกของเขาจึงถือเป็นกบฏเช่นกัน และความผิดของการเป็นกบฏ… ก็คือต้องยอมรับความตายสถานเดียว!”