เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1493 กำลังเสริมสุดแข็งแกร่ง
ตอนที่ 1,493 กำลังเสริมสุดแข็งแกร่ง
ด้านในวิหาร
เด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์กวักมือเรียก “เข้ามานี่สิ”
มือกระบี่สาวร่างเพรียวเดินเท้าเปล่าเข้าไปหาเด็กหนุ่ม นางเงยหน้าขึ้น จ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง
เด็กหนุ่มอัปลักษณ์ยื่นมือออกมาช้า ๆ
ฝ่ามือของเขาเรืองแสงเป็นสีน้ำเงินเลือนราง
แสงสีน้ำเงินนั้นอาบไล้ไปทั่วเรือนร่างของมือกระบี่สาว
“เจ้าชื่ออะไร?”
เขาถาม
เด็กสาวผมหางม้าตอบว่า “มู่ซินเยว่”
“นับเป็นชื่อที่ไพเราะนัก”
เด็กหนุ่มอัปลักษณ์หรี่ตาลงเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ เว่ยหมิงเฉินบอกว่าเจ้าตัดพันธะทั้งหมดทิ้งด้วยมือของตนเอง ไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่?”
มู่ซินเยว่รับคำในลำคอ เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มอัปลักษณ์ยังคงจ้องมองอย่างต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม นางจึงกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “ข้าน้อยสังหารบิดามารดา และสังหารผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือข้าน้อย รวมถึงสังหารผู้คนที่พาข้าน้อยมาจนถึงจุดนี้ด้วยมือของตนเอง ข้าน้อยได้ส่งพวกเขาไปสู่โลกแห่งความตายด้วยมือของตนเอง เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องทรมานอีกต่อไปเจ้าค่ะ”
“จิตใจเจ้าช่างอำมหิตเหลือเกิน”
แสงสว่างที่เรืองรองออกมาจากฝ่ามือของเด็กหนุ่มอัปลักษณ์เพิ่มความหนาแน่นมากขึ้น “เจ้าทรยศผู้อื่นจนติดเป็นนิสัย แล้วข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่ทรยศข้า?”
“มีเพียงผู้อ่อนแอเท่านั้นจึงกลัวว่าตนเองจะถูกทรยศ”
มู่ซินเยว่พูดเสียงเรียบ “ผู้แข็งแกร่งจะไม่หวาดกลัวเด็ดขาด”
“ฮ่า ๆๆ ปากคอช่างเราะร้าย”
เด็กหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “แต่เจ้าสอบผ่านแล้ว”
ขาดคำ
แสงสีน้ำเงินจากฝ่ามือของเด็กหนุ่มก็ไหลซึมเข้าสู่ร่างกายของมู่ซินเยว่
ใบหน้าที่สวยงามของนางพลันบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
ความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วร่างกาย
แต่มู่ซินเยว่ก็กัดฟันทน โดยไม่ส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่น้อย
“ฟังให้ดี เจ้าโชคดีมาก ร่างกายของเจ้ามีแกนดาราที่หายาก แม้แต่ผู้คนในภพภูมิอื่นก็ยากยิ่งที่จะมีความพิเศษของร่างกายเช่นเจ้า…”
“บัดนี้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้เปลี่ยนชีวิตของตนเอง จงหลอมรวมพลังที่ข้ามอบให้เจ้านี้เข้ากับโลหิตของเจ้าซะ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการหลอมรวมพลังแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายเจ้าได้อีกต่อไป”
“แต่หากเจ้าหลอมรวมพลังไม่สำเร็จ เจ้าก็ต้องตายทั้งเป็น”
“เพราะฉะนั้น อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
เด็กหนุ่มอัปลักษณ์พูดพลางก้าวถอยหลังออกไป
ในแววตาไม่ปรากฏความสงสัยต่อตัวของมู่ซินเยว่แม้แต่น้อย
ด้วยตลอดการเดินทางครั้งนี้ เขามีความทะเยอทะยานและจุดหมายอันยิ่งใหญ่ เด็กหนุ่มไม่เคยตัดสินใจผิดพลาด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของเขาเสมอ
มือกระบี่หญิงผู้นี้คือผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามที่เขาต้องการ
นี่คือโอกาสเดียวที่นางจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเอง
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าต้องทำอย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มอัปลักษณ์จึงเชื่อว่ามือกระบี่หญิงผู้นี้จะต้องพยายามทำให้ตนเองหลอมรวมพลังได้สำเร็จแน่นอน
ตุบ!
พลัน มู่ซินเยว่ล้มลงไปชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นหิน
ลำแสงสีน้ำเงินไหลซึมลงไปใต้ผิวหนัง
มู่ซินเยว่กัดริมฝีปาก โลหิตไหลซึมออกมา นางพยายามควบคุมสติ เช่นเดียวกับพยายามควบคุมมวลพลังสีน้ำเงินเข้มที่กำลังไหลเวียนอยู่ในร่างกาย…
มู่ซินเยว่รู้ดีว่าตนเองเป็นผู้ที่มาจากโคลนตม แม้พบเจอกับอุปสรรคขวากหนามเพียงใด นางก็ไม่เคยคิดยอมแพ้ และบัดนี้ โอกาสที่นางจะได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเองก็มาถึงแล้ว เพราะฉะนั้น นางจะมายอมแพ้เพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหวได้อย่างไร?
ก็แค่ความเจ็บปวดทางร่างกายเท่านั้น
ไม่ถึงตายสักหน่อย
เด็กหนุ่มอัปลักษณ์ผู้ถูกเรียกขานว่าเป็นโอรสสวรรค์จ้องมองการชักดิ้นชักงอของมือกระบี่หญิงด้วยแววตาคาดหวัง
เขาค่อย ๆ เดินออกไปนอกวิหาร
เดินมาหยุดยืนอยู่บนฐานหินหน้าประตู กวาดสายตาสำรวจมองพื้นที่รอบบริเวณยอดเขาลักชิว อาคารสิ่งปลูกสร้างจำนวนมากปรากฏขึ้นในสายตา อารยธรรมที่สิ่งมีชีวิตในดินแดนโสโครกแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นมานับว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ทันใดนั้น ลำแสงหลายสายก็พุ่งทะยานจากแท่นบูชา ณ อีกฝั่งหนึ่งของลานจัตุรัสพุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่…
พื้นดินใต้เท้าสั่นสะเทือน
พลังที่ลึกลับและแปลกประหลาดซึ่งมีจุดศูนย์กลางจากแท่นบูชาบนยอดเขาลักชิวพลันระเบิดรัศมีของมันปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดินตงเต้า…
ค่ายอาคมที่ถูกสร้างไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ถูกเปิดใช้งานโดยทันที
ในวันนี้ ผู้ที่ยังรอดชีวิตอยู่ในแผ่นดินตงเต้ากำลังจะได้พบเห็นกับความมหัศจรรย์พันลึกที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
ลำแสงเหล่านั้นยังคงพุ่งทะยานขึ้นมาจากใต้ดินอย่างต่อเนื่อง ลำแสงพุ่งสู่ท้องฟ้า ก้อนเมฆปั่นป่วน ลำแสงเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นม่านพลังขนาดใหญ่ที่ไม่มีผู้ใดสามารถพังทลายได้…
ม่านพลังเหล่านี้เริ่มเชื่อมต่อกันไปทั่วทั้งแผ่นดินตงเต้าแล้ว
…
ดินแดนทวยเทพ
สนามรบหน้าคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน
เมื่อธงรบวิหคดำปรากฏขึ้น สถานการณ์ก็พลิกผันโดยทันที
ด้วยพลังกดดันมหาศาลจากธงผืนนั้น ม่านพลังที่ปกคลุมอยู่ทั่ววิหารของเจี๋ยนเซียวเหยาก็ปรากฏรอยแตกร้าวขึ้นอย่างรวดเร็ว…
ในอากาศ ได้ยินเสียงถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
เป็นใต้เท้าซินจริง ๆ
ใต้เท้าใหญ่สาวสวยผู้เกียจคร้านปรากฏกายขึ้นบนท้องฟ้าในที่สุด
นางยกมือขึ้น
แล้วลำแสงหกสายก็พุ่งใส่ธงรบวิหคดำราวกับเป็นลูกศรมฤตยู
พลังกดดันจากผืนธงเริ่มเบาบางลง
สีของตัวนกบนผืนธงเริ่มเจือจางลงไปอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้ พลังกดดันจากธงรบวิหคดำได้สลายหายไปหมดสิ้น เสาธงสั่นไหวคล้ายกับว่าพร้อมที่จะร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าได้ทุกเมื่อ
“ข้าช่วยได้เท่านี้แหละนะ”
เสียงของใต้เท้าซินดังกังวาน
ไม่มีผู้ใดทราบว่านางอธิบายให้ใครฟัง
หลังจากนั้น ร่างของใต้เท้าสาวสวยก็หายวับไปจากท้องฟ้าเหนือสนามรบ
“ฆ่ามัน!”
บัดนี้ เทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ก็กลับมาได้สติอีกครั้ง จึงกระทืบเท้าลงมาจากท้องฟ้าอย่างรุนแรง
ฝ่าเท้าหินขนาดใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้นในอากาศ ก้อนเมฆกระจัดกระจาย พลังทำลายล้างหนักหน่วงถาโถมลงมาสู่คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนพร้อมด้วยบรรดาผู้คนที่อยู่ด้านล่าง
การโจมตีของเทพสงครามผู้โกรธแค้นมีพลังทำลายล้างน่าหวาดกลัวจริง ๆ
เฉียนหลงและพรรคพวกไม่สามารถต้านทานพลังเหล่านี้ได้อีกแล้ว
ม่านพลังของพวกเขาที่ยังเหลืออยู่อีกสิบแปดชั้นพลันถูกฝ่าเท้าหินขนาดใหญ่ยักษ์ของเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ทะลุทะลวงชั้นแล้วชั้นเล่า…
ทันใดนั้นเอง…
วูบ!
ลำแสงสายหนึ่งพุ่งเข้ามาในอากาศ
ฝ่าเท้าหินขนาดใหญ่ยักษ์หยุดชะงักก่อนที่จะถูกมวลพลังศักดิ์สิทธิ์ระเบิดใส่กลายเป็นเศษหินกระจัดกระจายร่วงกราวลงมาจากกลางอากาศ
“เป็นผู้ใด?”
เทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ตกตะลึงและตะโกนออกไปด้วยความเกรี้ยวกราด
ลำแสงที่พุ่งเข้ามาเมื่อสักครู่นี้ลอยย้อนกลับไปทางเดิมและเปลี่ยนแปลงกลายเป็นไม้เท้าด้ามหนึ่ง ไม้เท้าด้ามนั้นลอยเข้าไปอยู่ในมือของหญิงชราผมขาวซึ่งไม่มีผู้ใดทราบเลยว่านางมาปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้าเหนือสนามรบตั้งแต่เมื่อไหร่
หญิงชราผู้นี้มีร่างกายอวบอ้วน สวมใส่เสื้อผ้าราบเรียบธรรมดา มีใบหน้าธรรมดาไม่โดดเด่นสะดุดตาและไม้เท้าที่อยู่ในมือของนางก็เป็นไม้เท้าธรรมดาด้ามหนึ่งเช่นกัน
รูปลักษณ์ของหญิงชราผู้นี้ไม่ต่างไปจากชาวบ้านธรรมดา
แต่นางกลับสามารถลอยตัวอยู่ในอากาศทั้ง ๆ ที่พื้นที่บริเวณนี้มีการสร้างค่ายอาคมห้ามเหาะเหินเดินอากาศจากคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน มิหนำซ้ำ คลื่นพลังกดดันจากเทพสงครามทั้งสามคนกลับยังไม่สามารถทำให้เส้นผมของนางสั่นไหวได้แม้แต่เส้นเดียว
“เป็นนางเองหรือ?”
เฉียนหลงเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
เขารู้จักหญิงชรานางนี้เป็นอย่างดี
หญิงชราร่างอ้วนผู้มีใบหน้ายิ้มแย้ม
เพราะว่านางคือผู้ป่วยโรคบุปผามรณะที่เข้ารับการทดลองรักษาด้วยยาจากสำนักโอสถเป่ยเฉิน
หญิงชราร่างอ้วนที่เคยเกือบเสียชีวิตผู้นี้จึงรอดชีวิตมาได้…
เฉียนหลงยกมือขยี้ตาของตนเองอีกครั้ง
ใช่แล้ว
ไม่ผิดแน่
ว่าแต่หญิงชรานางนี้เป็นผู้ใดกันนะ?
คำถามนี้เกิดขึ้นในจิตใจของทุกผู้คน
แล้วลมหายใจต่อมา หญิงชราร่างอ้วนก็ลงมือโจมตี
นางควงไม้เท้าในมือฟาดใส่เทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ จนได้ยินเสียงโลหะปะทะกับทองคำดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของก้อนหินที่แตกสลาย…
นี่คือภาพที่แปลกประหลาดมาก
เนื่องจากหญิงชราร่างอ้วนเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า ไม้เท้าในมือก็หวดฟาดอย่างเชื่องช้า ไม่ว่ามองอย่างไรก็สามารถรับมือการโจมตีได้ทันเวลา แต่เทพเจ้าแห่งเหมืองแร่กลับไม่สามารถหลบหนีได้ จึงต้องถูกหญิงชราฟาดไม้เท้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า
“นางเฒ่าปีศาจ เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?”
เทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ร้องคำรามออกมาด้วยความร้อนรน
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าในดินแดนทวยเทพมีผู้ที่แข็งแกร่งถึงขั้นนี้อยู่ด้วย
ทุกครั้งที่ไม้เท้าหวดฟาดกระทบร่างกาย พลังศักดิ์สิทธิ์ในตัวของเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ก็จะลดน้อยลง หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาอาจจะตายก็ได้
เทพนภาและเทพอัคคีที่ยืนอยู่ด้านข้างเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีก็หันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“ฆ่านางซะ”
เทพอัคคีไม่ลังเลแม้แต่น้อย รีบลงมือโจมตีโดยเร็ว
ลูกไฟจำนวนมากตกลงมาจากท้องฟ้าไม่ต่างจากสายฝนโปรยปรายและลูกไฟเหล่านั้นก็พุ่งเข้ามาจากรอบทิศทางห้อมล้อมหญิงชราร่างอ้วนอยู่ตรงกลางกลายเป็นกรงขังขนาดใหญ่…
เมื่อเห็นเช่นนี้ เทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เพียงการต่อสู้สั้น ๆ เมื่อสักครู่ พลังในร่างกายของเขาก็ต้องสูญเสียไปถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว นับว่าหญิงชราร่างอ้วนผู้นี้มีความแข็งแกร่งน่าหวาดกลัวเหลือเกิน
แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อพลังของเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ยังไม่หมดไป เขาก็สามารถฟื้นฟูพลังกลับขึ้นมาใหม่ได้เสมอ
ตึง!
ทันใดนั้น ลานจัตุรัสหน้าคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เด็กหนุ่มร่างอ้วนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้ากรงขังลูกไฟ และเขาก็ใช้มือเปล่าของตนเองฉีกกระชากทำลายกรงขังลูกไฟนั้นลงไปได้อย่างง่ายดาย!
เทพสงครามทั้งสองอย่างเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่และเทพอัคคีถึงกับเบิกตาโต
เพราะนี่คือเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์
แม้แต่เทพเจ้าระดับสูงเมื่อสัมผัสเปลวไฟชนิดนี้ ร่างกายก็จะถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน
แล้วเด็กหนุ่มร่างอ้วนผู้นี้เป็นใครกัน จึงสามารถทำลายค่ายอาคมกรงขังลูกไฟได้อย่างง่ายดายเช่นนี้?
ในเวลาเดียวกันนี้ กลุ่มของเฉียนหลงที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดจากพื้นดินเบื้องล่าง ก็ต้องพบกับความตกตะลึงจนแทบจะทรุดลงไปนั่งอยู่กับพื้น
เป็นเจ้าอ้วนเอง
เจ้าเด็กโง่คนนี้… มีความแข็งแกร่งถึงขั้นที่สามารถต่อสู้กับเทพสงครามได้เชียวหรือ?
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
พวกเขาต่างก็พิศวงสงสัย เช่นเดียวกับฉู่เหินที่ยืนดูเหตุการณ์จากระยะไกล
ใช่แล้ว เจ้าอ้วนและมารดาคือกำลังเสริมที่หลี่อี้เทียนไปตามตัวมานั่นเอง
บอกตามตรง ฉู่เหินเคยพบเจอกับแม่ลูกคู่นี้มาแล้ว
และเขาก็สังเกตเห็นว่าแม่ลูกคู่นี้ไม่ใช่คนธรรมดา
แต่ฉู่เหินคิดไม่ถึงเลยว่าสองแม่ลูกจะซ่อนเร้นความแข็งแกร่งเอาไว้ถึงเพียงนี้
“ใต้เท้าเจี๋ยนพูดเอาไว้ไม่ผิดจริง ๆ ด้วย เจ้าอ้วนกับมารดามีคุณสมบัติดีพอที่จะต่อสู้กับเทพสงคราม…” นักเวทสาวในชุดนักรบหลี่อี้เทียนพูดด้วยความตื่นเต้น “นี่หมายความว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของใต้เท้าใช่หรือไม่? สมแล้วที่เขาเป็นผู้นำของพวกเราทุกคน”
ขณะนี้ นางได้เคารพเทิดทูนเจี๋ยนเซียวเหยาอย่างหมดหัวใจ
เขาซุกซ่อนความลับเอาไว้มากมายเหลือเกิน
และความลับเหล่านี้ก็เป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดใจหลี่อี้เทียนได้มากกว่ารูปลักษณ์อันหล่อเหลาของเจี๋ยนเซียวเหยาเสียอีก
“ยังเหลือเทพนภาอีกคน ท่านช่วยจัดการได้หรือไม่?”
เด็กสาวพลันหันหน้ามาถามวิญญาณของท่านแม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้น