เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1495 จะหยุดยั้งมันได้อย่างไร
ตอนที่ 1,495 จะหยุดยั้งมันได้อย่างไร?
แผ่นดินตงเต้า
ยอดเขาลักชิว
ลำแสงขนาดใหญ่ยังคงถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง ม่านพลังปกคลุมเหนือชั้นเมฆหนา เกิดเป็นภาพที่สวยงามตระการตาอย่างน่ามหัศจรรย์
เว่ยหมิงเฉินยืนอยู่บนแท่นบูชาเก้าชั้น สีหน้าพึงพอใจและเต็มไปด้วยความคาดหวัง
อีกเพียงก้าวเดียวก็จะถึงเป้าหมายขั้นสุดท้ายของเขาแล้ว
เหลือยอดเขาแห่งสุดท้ายที่อยู่ห่างไกลออกไปเท่านั้น
ม่านพลังบนท้องฟ้าปกคลุมทั่วแผ่นดินตงเต้า คอยดูดซับพลังปราณบริสุทธิ์ที่ลอยอยู่ในอากาศตลอดเวลา
เมื่อถึงกำหนดเวลา โอรสสวรรค์ก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการและนั่นก็หมายถึง ‘โอสถโลหิตอมตะ’ ซึ่งหลอมรวมขึ้นมาจากเลือดเนื้อและวิญญาณผู้คนหลายร้อยล้านชีวิต และผู้ใดก็ตามที่ได้รับประทานโอสถเม็ดนี้เข้าไป ชะตาชีวิตก็จะเปลี่ยนไปตลอดกาล แม้แต่การเดินทางไปสู่ภพภูมิอื่นก็ไม่เป็นปัญหาอีกแล้ว…
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง
“คารวะนายท่าน”
เด็กสาวตัวเล็กหน้าอกใหญ่ในชุดมือกระบี่สีขาวก้าวเดินมาหยุดยืนทางด้านหลัง ก่อนประสานมือทำความเคารพเล็กน้อย “การเฝ้าระวังยุติแล้ว”
“หืม? เจ้าพบเจอเบาะแสของหลินเป่ยเฉินแล้วหรือ?”
เว่ยหมิงเฉินสอบถาม
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา กลุ่มสัมพันธมิตรเก็บตัวเงียบ โดยเฉพาะหัวหน้าใหญ่อย่างหลินเป่ยเฉินที่ไม่เคยปรากฏกายออกมาเลยสักครั้ง
ก็เล่นถูกหอกแห่งโชคชะตาแทงเข้าไปเสียอย่างนั้น แน่นอนว่าต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว
แต่เพราะมีสตรีผู้เสียสติผู้นั้นอยู่ด้วย หลินเป่ยเฉินจึงเพียงได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่ได้เสียชีวิตไปตามที่เว่ยหมิงเฉินปรารถนา
และครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินก็เลือกที่จะไม่ปรากฏตัวออกมาเพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้แก่มวลชน…
ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ผิดปกติเล็กน้อย
แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมในตอนนี้ ต่อให้หลินเป่ยเฉินไม่ได้รับบาดเจ็บเขาก็คงยังเคลื่อนไหวมากไม่ได้ แต่การที่หลินเป่ยเฉินเลือกเก็บตัวเงียบเช่นนี้ นับเป็นพฤติกรรมที่ไม่ใช่นิสัยของเด็กหนุ่มจอมเสเพลผู้นี้เลย
“ตามที่ท่านหัวหน้านักบวชรายงานมา หยกเซียนทั้งสิบหกชิ้นได้ถูกทำลายลงแล้ว แต่ก็ยังไม่พบเจอเบาะแสของหลินเป่ยเฉินเลยเจ้าค่ะ”
ไป๋ชินอวิ๋นก้มหน้ารายงาน
หลังผ่านการต่อสู้กับหลินเป่ยเฉิน นางก็ได้รับความเชื่อใจจากเว่ยหมิงเฉินเป็นอย่างสูง บัดนี้ เด็กสาวจึงได้รับมอบหมายภารกิจที่สำคัญมากกว่าเดิม
“ดูเหมือนเขาคงกำลังซ่อนตัวอยู่สินะ”
เว่ยหมิงเฉินขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “แต่เจ้าทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้น เป็นไปได้หรือที่เขาจะซ่อนตัวอยู่โดยที่พวกเราหาไม่เจอ?”
ไป๋ชินอวิ๋นตอบด้วยเสียงอันมั่นใจว่า “ตราบใดที่เขาซ่อนตัวอยู่ในแผ่นดินตงเต้า ก็ไม่มีทางที่จะรอดพ้นการตรวจจับของม่านพลังพวกเราได้เด็ดขาด ดังนั้นความเป็นไปได้เดียวก็คือเขาหลบหนีออกไปจากแผ่นดินนี้แล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยหมิงเฉินพยักหน้าอย่างใช้ความคิด
“จริงหรือ? งั้นหมายความว่าเขาก็หนีไปที่ดินแดนทวยเทพน่ะสิ? ฮ่า ๆๆ เจ้าสุนัขจนตรอกเอ๋ย ถึงกับหลบหนีหัวซุกหัวซุนเชียว… เจ้าไม่ต้องสนใจคนผู้นี้อีกแล้ว ช่วยข้าควบคุมแกนพลังค่ายอาคมนี้ให้ดีก็พอ”
เขายกมือโบกสะบัด
“รับทราบเจ้าค่ะ”
ไป๋ชินอวิ๋นหมุนตัวถอยหลังจากไป
เว่ยหมิงเฉินกวาดสายตาชำเลืองมองกลุ่มก้อนเมฆบนท้องฟ้า ในใจกำลังวางแผนการอะไรบางอย่าง
…
ณ เวลาเดียวกันนี้
เหตุการณ์ที่มีลำแสงขนาดใหญ่ถูกยิงขึ้นสู่บนท้องฟ้าและเกิดเป็นม่านพลังครอบคลุมท้องนภาปรากฏขึ้นทั่วแผ่นดินตงเต้า
สิ่งมีชีวิตจำนวนมากร่างกายระเบิดกระจายตกตายนับไม่ถ้วน พลังชีวิตและโลหิตจากร่างไร้วิญญาณเหล่านั้นถูกดูดขึ้นไปในม่านพลังบนท้องฟ้า…
พื้นดินแห้งแล้ง ต้นไม้ตายซาก
ดวงไฟสีเขียวที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจำนวนมหาศาลลอยขึ้นมาจากป่าใหญ่ ทุ่งหญ้า ทะเลทรายและทะเลสาบ ดวงไฟสีเขียวเหล่านั้นต่างก็ลอยตรงไปหาลำแสงที่ถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า…
พื้นดินที่เขียวชอุ่มกลับกลายเป็นทะเลทราย
น้ำที่เคยอยู่ในแม่น้ำ ทะเลสาบและมหาสมุทรถูกดูดขึ้นไปสู่ท้องฟ้า
เกิดพายุหมุนมฤตยูทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ต่างจากการสะบัดรัดเลื้อยของอสรพิษจากนรก
สัตว์ป่าและสัตว์อสูรส่งเสียงร้องโหยหวน
บรรดาผู้ฝึกยุทธ์ช่วยกันหลบลี้หนีภัย ก่อสร้างค่ายอาคมขึ้นมาซ่อนตัวจากอันตราย…
…
ในเมืองหยุนเมิ่ง
ค่ายอาคมศักดิ์สิทธิ์ถูกเปิดใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อปกป้องพื้นที่ในรัศมีหลายพันลี้…
เยว่เว่ยหยางยืนอยู่บนยอดเขาอันเป็นที่ตั้งของวิหารประจำเมือง ร่างกายของนางเปล่งพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นลำแสงสีเงิน พลังศักดิ์สิทธิ์ของนางหลั่งไหลเข้าสู่ค่ายอาคมที่ปกป้องพลังทำลายล้างทั้งพื้นที่ด้านในเมืองและด้านนอกเมือง
…
ค่ายที่พักของชาวทะเล
นักเวทจากเผ่ามนุษย์เงือกสร้างค่ายอาคมและบริกรรมคาถา
เก้าอี้ล้อเลื่อนของเหยียนอิงลอยตัวอยู่กลางอากาศ ร่างกายของนางปกคลุมด้วยลำแสงสีแดง ไม่ต่างจากดวงตะวันสีเลือดที่ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้า ปลดปล่อยรัศมีครอบคลุมทั่วพื้นที่ค่ายที่พักชาวทะเล…
…
นครเจาฮุย
ค่ายอาคมจำนวนมากที่เคยถูกเปิดใช้งานเพื่อต้านทานกองทัพเทพอสูรนั้น บัดนี้มันได้ถูกเปิดใช้งานขึ้นอีกครั้ง เพื่อป้องกันคลื่นพลังแห่งการทำลายล้างไม่ให้เข้าสู่ตัวเมือง
พื้นที่นอกกำแพงเมืองกลายเป็นทะเลทรายกว้างใหญ่
ติงซานฉือและพรรคพวกเห็นกับตาว่าผู้คนที่หลบหนีเข้ามาหลังกำแพงเมืองไม่ทัน เช่นเดียวกับสัตว์ป่า สัตว์อสูรและต้นไม้ที่อยู่นอกกำแพงเมือง ต่างก็ถูกคลื่นพลังดูดกินชีวิตจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของทะเลทรายไปต่อหน้าต่อตา
“มีคนกำลังทำพิธีบูชายัญสิ่งมีชีวิตในแผ่นดินตงเต้า”
ติงซานฉือผู้มาจากเผ่าจันทราทมิฬรู้ดีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น หลังจากหายตกตะลึง เขาก็คำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น “นี่ต้องเป็นฝีมือของเว่ยหมิงเฉิน… ต้องเป็นมันผู้นั้นแน่นอน!”
ไม่มีสิ่งใดจะโหดร้ายอำมหิตมากไปกว่านี้อีกแล้ว
ความคิดจำนวนมากผุดขึ้นมาในหัวของติงซานฉือ
ทันใดนั้น เขาเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดหุ่นเหล็กมฤตยูถึงถูกสร้างขึ้นมา นี่ไม่ใช่เพราะว่าเว่ยหมิงเฉินสร้างพวกมันขึ้นมาเพื่อสังหารศัตรู แต่เป็นเว่ยหมิงเฉินสร้างพวกมันขึ้นมาเพื่อใช้สร้างค่ายอาคมบูชายัญเหล่านี้ต่างหาก…
“เราต้องหาทางหยุดยั้งมันให้ได้”
ติงซานฉือมีเม็ดเหงื่อผุดพราวเย็นเยียบเต็มใบหน้า
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่เกินห้าวันเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในแผ่นดินตงเต้าก็จะสูญสลายหายไปกับตา เมื่อเวลานั้นมาถึง ที่นี่ก็คงเป็นดินแดนแห่งความตายโดยสมบูรณ์
แต่เขาจะหยุดยั้งมันได้อย่างไร?
…
มหานครต้าเกี๋ยน
เซียวปิง เฉียนเหมย เฉียนเจินและคนอื่น ๆ ขึ้นมายืนอยู่บนกำแพงเมือง มหานครแห่งนี้ได้รับการคุ้มครองโดยค่ายอาคมแน่นหนาและพวกเขาก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะต้านทานคลื่นพลังแห่งการดูดกลืนชีวิตระลอกล่าสุด…
“คงทนได้อีกไม่นานแล้ว”
ฉินโซวเฝ้ามองพายุหมุนที่เชื่อมต่อระหว่างท้องฟ้ากับพื้นดินซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปไม่ต่างจากงูยักษ์ตัวใหญ่ ลำแสงหลายสิบสายยังคงถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสม่ำเสมอ “นี่คือค่ายอาคมที่กำลังหลอมรวมพลังชีวิตจากทั่วแผ่นดิน หากเราไม่รีบหยุดยั้งมันมีหวังได้ตายกันหมดแน่… แต่หากต้องการจะหยุดยั้งค่ายอาคมบูชายัญชนิดนี้ เราก็มีแต่ต้องทำลายแกนพลังของมันก่อนเท่านั้น”
เขาตัดสินใจมาร่วมมือกับหลินเป่ยเฉินตามคำสั่งของผู้เป็นนายท่าน
แต่น่าเสียดายที่ฉินโซวมาช้าเกินไปจึงไม่มีโอกาสได้พบหลินเป่ยเฉิน
“แกนพลังของมันคืออะไรขอรับ? สามารถรับประทานได้หรือไม่?”
เซียวปิงถาม ดวงตาลุกวาว
พักหลังเขามักจะรู้สึกว่ารสชาติชีวิตช่างจืดชืด น่องไก่ย่างไม่ได้อร่อยอีกแล้ว ดังนั้นเซียวปิงจึงเริ่มเกิดความรู้สึกอยากรับประทานอย่างอื่นบ้าง
“จี๊ด”
อากวงส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
มันนั่งอยู่บนแผ่นหลังของเสืออสูรผู้เป็นบุตรบุญธรรม
เสืออสูรตัวนี้เมื่อได้รับประทานโลหิตของกิ้งก่าทะเลทรายทองคำเข้าไปแล้ว ร่างกายของมันก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ขนบนตัวกลายเป็นสีเหลืองทองคาดลายสีดำ ร่างกายที่เคยใหญ่ยักษ์ก็กลับมามีขนาดเท่ากับเสือปกติ ดูสง่างามน่าเกรงขาม แต่ก็แฝงไว้ด้วยพลังทำลายล้างอันสูงส่ง
ส่วนหมาป่าน้ำแข็งซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของสองสาวรับใช้เฉียนเหมยกับเฉียนเจิน พวกมันก็มีร่างกายหดเล็กลงจนมีขนาดเท่ากับแมวตัวหนึ่ง ขนบนลำตัวเปลี่ยนเป็นสีส้มอมทองคำ หากมองดูผ่าน ๆ ก็จะนึกว่า สัตว์เลี้ยงที่เกาะอยู่บนไหล่ของสองสาวนั้นเป็นเพียงแมวส้มธรรมดาคู่หนึ่ง