เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1523 บาปที่ให้อภัยไม่ได้
ตอนที่ 1,523 บาปที่ให้อภัยไม่ได้
สิ่งที่หลินเป่ยเฉินนำออกมาคือรองเท้าแตะที่ถักสานมาจากหญ้าฟางคู่หนึ่ง
มันคือรองเท้าแตะหน้าตาธรรมดา สภาพเก่าแก่และเต็มไปด้วยรอยขาด เกรงว่าหากทิ้งไว้ข้างทาง แม้แต่ขอทานก็ไม่สนใจเหลือบตามองให้เสียเวลาด้วยซ้ำ
แต่ทันทีที่เห็นรองเท้าแตะคู่นี้ สีหน้าของเว่ยหมิงเฉินก็แปรเปลี่ยนไป
“เจ้า… รองเท้าคู่นี้ไปอยู่ในมือเจ้าได้อย่างไร?”
เสียงของเขาสั่นเครือ
แควก!
หลินเป่ยเฉินพลันฉีกกระชากรองเท้าแตะหญ้าฟางขาดกระจุยกระจาย
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็นำรองเท้าหนังสัตว์ ผ้าห่มที่เต็มไปด้วยรอยปะชุน ชุดเกราะหนังสัตว์ เสื้อคลุมขนสัตว์และเบ็ดตกปลาออกมาทำลาย เขาฉีกและบดขยี้ทุก ๆ อย่างลงไปทีละชิ้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ
อาการบาดเจ็บบนร่างกายของเว่ยหมิงเฉินเริ่มฟื้นฟูขึ้นมา เขาร้องตะโกนว่า “หยุดนะ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้”
น้ำเสียงบอกชัดถึงความเจ็บปวดใจและตื่นกลัว
“นี่คือสมบัติล้ำค่าของเจ้าไม่ใช่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะและกล่าวต่อ “เช่นเดียวกับคนที่ข้ารักและห่วงใยเหล่านั้น ข้าเดาเอาว่าเศษขยะเหล่านี้น่าจะมีความหมายสำหรับเจ้า เพราะเจ้าอุตส่าห์เก็บพวกมันไว้ในห้องเก็บสมบัติเลยนี่นา”
เว่ยหมิงเฉินกัดฟันพูดด้วยความโกรธแค้น “เจ้าแอบเข้าไปในห้องเก็บสมบัติของข้าอย่างนั้นหรือ? เจ้าเข้าไปได้อย่างไร เว้นแต่ว่า…”
ทันใดนั้น เขาหันขวับไปจ้องมองเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เทพีขี้เมากำลังรักษาอาการบาดเจ็บ เมื่อเห็นสายตาของเว่ยหมิงเฉินที่มองมา นางจึงพยักหน้ายิ้มแย้มด้วยความร่าเริง “ใช่แล้ว เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ข้าเป็นคนพาน้องชายตัวเหม็นผู้นี้เข้าไปที่นั่นเอง ฮ่า ๆๆ”
เว่ยหมิงเฉินกล่าวอย่างเกลียดชังว่า “วันนั้นข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่รอดเลย”
“เฮอะ ถึงอย่างไรวันนั้นเจ้าก็ฆ่าข้าไม่ได้อยู่ดี”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงสวนกลับเสียงแข็งกระด้าง
เว่ยหมิงเฉินหันกลับมาจ้องมองที่หลินเป่ยเฉิน ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ ก่อนสอบถาม “เจ้า… ได้อะไรมาอีกบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “ลองเดาดูสิ? ข้าได้มาทั้งหมดนั่นแหละ ฮ่า ๆๆ และเจ้าคงกำลังนึกถึงชุดกระโปรงสีเขียวปักลวดลายนกบินตัวนั้นใช่หรือไม่? มันคงเป็นของมีค่าสำหรับเจ้ามากเลยสินะ?”
เด็กหนุ่มนำชุดกระโปรงสีเขียวเก่าแก่ออกมาและทำท่าจะฉีกมันทิ้งไป
“ไม่นะ อย่าทำอย่างนั้น…”
เว่ยหมิงเฉินร้องตะโกนด้วยความตื่นตระหนก “อย่าทำลายมัน… ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด ข้ารับปากว่าจะทำตามนั้น ข้ายินดีคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนต่อหน้าเจ้า เจ้าจะทำอย่างไรกับข้าก็ได้… แต่ได้โปรดเถอะ”
เว่ยหมิงเฉินรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าและโขกศีรษะกับพื้นดิน ขอร้องอ้อนวอนหลินเป่ยเฉินโดยไม่สนใจเรื่องศักดิ์ศรีของตนเองอีกแล้ว
เพราะชุดกระโปรงตัวนั้นเป็นของภรรยาเขา
นานมาแล้ว ภรรยาได้มอบชุดกระโปรงสีเขียวตัวนี้ให้เป็นของที่ระลึก เพราะเว่ยหมิงเฉินต้องออกเดินทางหาปลาตามเมืองต่าง ๆ ชุดกระโปรงจึงเก่าขาดตามกาลเวลา เขาพยายามซ่อมแซมมันด้วยตนเองหลายครั้งและตั้งใจว่าจะนำมันกลับไปคืนภรรยาเมื่อถึงเวลากลับบ้าน…
แต่ใครเลยจะคิดว่าตนเองกลับถูกปลายักษ์กลืนกินและรู้สึกตัวอีกทีก็มาโผล่ที่ดินแดนทวยเทพเสียแล้ว ดังนั้น กระโปรงชุดนี้จึงเป็นของต่างหน้าชิ้นสุดท้ายจากภรรยาของเขา
เว่ยหมิงเฉินรู้ดีเช่นกันว่าเวลาล่วงเลยมาถึงบัดนี้ ภรรยาของตนเองอาจเสียชีวิตไปแล้ว แม้แต่บุตรชายของเขาก็อาจเสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน แต่กระโปรงตัวนี้เป็นเสมือนตัวตายตัวแทนของภรรยา ทุกครั้งที่เขาเห็นกระโปรงตัวนี้ เว่ยหมิงเฉินก็มักจะคิดถึงภรรยาเสมอ โดยเฉพาะลวดลายวิหคบินที่ภรรยาเป็นคนเย็บปักด้วยตนเอง ทุกครั้งที่เว่ยหมิงเฉินได้ลูบชายกระโปรงตัวนี้ เขาก็เหมือนได้สัมผัสและดมกลิ่นภรรยาของตนเองอีกครั้ง
แม้จะได้ข่าวว่าวิหารต้องห้ามถูกทำลาย แต่เว่ยหมิงเฉินก็มั่นใจว่าห้องเก็บสมบัติของตนเองยังคงปลอดภัย ดังนั้น เขาจึงรอให้แผนการทุกอย่างสำเร็จลุล่วงเสียก่อน แล้วค่อยกลับไปเอาสิ่งของส่วนตัวที่ตนเองเก็บไว้ในห้องเก็บสมบัติออกมาในภายหลัง
แผนการของเว่ยหมิงเฉินไม่มีสิ่งใดซับซ้อน เขาจะนำชุดกระโปรงและข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดกลับไปสู่โลกใบเดิมของเขาและค้นหาทายาททางสายเลือดของตนเอง…
แม้ว่าภรรยาและบุตรชายจะตายแล้ว แต่สายเลือดที่เป็นลูกหลานของเขาน่าจะยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง
ด้วยเหตุนี้ เว่ยหมิงเฉินจึงเลือกที่จะไม่เดินทางกลับโลกต้นกำเนิด เขาตัดสินใจหลอมรวมพลังให้ตนเองแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะเมื่อถึงเวลาที่ได้กลับไปยังโลกใบเดิมของตนเอง เว่ยหมิงเฉินก็จะได้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องทุกข์ทรมานเหมือนสมัยอยู่กินกับภรรยาอีกแล้ว…
และเมื่อเว่ยหมิงเฉินหลอมรวมพลังจากโอสถวิเศษได้สำเร็จ แผนการทั้งหมดก็จะลุล่วงด้วยดี
เพียงแต่ว่าบัดนี้ทุกอย่างพังทลายลงไปแล้ว
แต่ถึงกระนั้น ต่อให้เว่ยหมิงเฉินต้องตาย เขาก็ไม่อยากเห็นกระโปรงตัวนี้ถูกฉีกกระชากขาดไปต่อหน้าต่อตา หากจะทำเช่นนี้ สู้ฆ่าเขาเลยเสียยังจะดีกว่า
กระโปรงตัวนี้คือจิตวิญญาณของเขา
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ฉีกกระโปรงทิ้ง แต่ถามว่า “เจ้ามาจากภพภูมิอื่นใช่หรือไม่?”
เว่ยหมิงเฉินพยักหน้ายอมรับด้วยความร้อนรน
หลินเป่ยเฉินนำแผนที่หนังสัตว์ออกมาถามว่า “หากข้าเดาไม่ผิด นี่คือแผนที่บ้านเกิดของเจ้าใช่หรือไม่?”
สีหน้าของเว่ยหมิงเฉินแปรเปลี่ยนไปในทันที
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอดและพูดเน้นย้ำทีละคำว่า “กาลเวลาล่วงเลยมาจนถึงขณะนี้ ญาติพี่น้องของเจ้าคงตายกันหมดแล้ว แต่แน่นอนว่าย่อมมีลูกหลานของพวกเขาสืบทอดสายเลือดต่อไป และพวกเขาเหล่านั้นก็คงเป็นคนที่เจ้าอยากจะปกป้อง เพราะฉะนั้น ข้าจะเดินทางไปที่นั่น และข้าจะไล่ล่าสังหารพวกเขาให้หมดสิ้น เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
“ไม่นะ อย่าได้ทำเช่นนั้น…”
เว่ยหมิงเฉินมีสีหน้าตื่นตระหนก หวาดกลัวจนวิญญาณแทบหลุดลอยออกจากร่าง
เขานึกเสียใจ
สาเหตุที่เว่ยหมิงเฉินวาดแผนที่นี้ขึ้นมาก็เพื่อย้ำเตือนความทรงจำของตนเอง เพราะเขากลัวว่าสักวันหนึ่งตนเองจะลืมเลือนเส้นทางกลับบ้าน
แต่สุดท้าย แผนที่ฉบับนี้กลับย้อนมาทำร้ายเขาเสียเอง
“บอกมา เจ้าอยากให้ข้าทำสิ่งใด?”
เว่ยหมิงเฉินผู้โด่งดังยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี คุกเข่าอยู่ด้านหน้าหลินเป่ยเฉิน หน้าผากแนบชิดกับพื้นดิน ขอร้องอ้อนวอนว่า “ตราบใดที่เจ้าไว้ชีวิตลูกหลานของข้าและไม่ทำลายชุดกระโปรงของภรรยาข้า ไม่ว่าสิ่งใด ข้าล้วนทำให้เจ้าได้ทั้งสิ้น…”
“ป้ายไม้ไผ่แผ่นนี้เอาไว้ใช้ทำอะไร?”
หลินเป่ยเฉินถามพร้อมกับนำป้ายไม้ไผ่ออกมา ของสิ่งนี้เขาก็ได้มันมาจากห้องเก็บสมบัติของท่านมหาเทพเช่นกัน
“นี่คือป้ายประจำตัวผู้มีพรสวรรค์แห่งสำนักกระบี่เหินฟ้า ผู้ใดก็ตามที่ถือป้ายชิ้นนี้ เมื่อมีอายุและคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ ก็จะสามารถบรรจุเข้าเป็นศิษย์ในสำนักได้ทันที…” เว่ยหมิงเฉินรีบคายความลับออกมาโดยไม่กล้าปิดบังแม้แต่น้อย “ข้าได้มันมาโดยบังเอิญ ตอนแรกตั้งใจจะเก็บเอาไว้ให้แก่บุตรชาย แต่ใครเลยจะรู้ว่า…”
ทุกสิ่งทุกอย่างกลับจบลงอย่างเปล่าประโยชน์
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ถามคำถามอีกแล้ว
ข้อมูลเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“คิดไม่ถึงเลยนะว่าปีศาจชั่วช้าอย่างเจ้า ก็ยังรักครอบครัวเหมือนกัน”
เด็กหนุ่มอดหัวเราะออกมาไม่ได้
เว่ยหมิงเฉินพยายามอธิบายว่า “ในสายตาของข้า มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินตงเต้าล้วนไม่ต่างไปจากมดปลวกต่ำต้อย… หากเจ้าได้มีโอกาสเดินทางไปที่โลกของข้า เจ้าจะเข้าใจ”
“ข้าคงไม่มีทางเข้าใจหรอก”
หลินเป่ยเฉินพูดพร้อมกับฉีกกระโปรงสีเขียวชุดนั้นขาดออกจากกันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ย้าก…”
เว่ยหมิงเฉินตื่นตระหนก ระเบิดเสียงคำรามดุร้ายและวิ่งเข้ามาต่อยหมัดใส่หลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินยกเท้าเตะเว่ยหมิงเฉินล้มลง ก่อนจะเดินเข้าไปเหยียบหน้าอกเว่ยหมิงเฉินด้วยเท้าข้างเดียว และจุดเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์เผากระโปรงที่ฉีกขาดตัวนั้น
“ข้าจะเผาพวกมันส่งไปให้เจ้าในนรกก็แล้วกัน”
พลังศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออกจากใต้เท้าของหลินเป่ยเฉิน
แล้วร่างกายของเว่ยหมิงเฉินก็ระเบิดกระจายเป็นม่านหมอกเลือด
“หลินเป่ยเฉิน ข้าอุตส่าห์ยอมแพ้และยอมทำตามคำสั่งของเจ้าทุกอย่าง แต่เจ้ากลับไม่ให้โอกาสข้าเลย ฮ่า ๆๆ ข้าขอสาปแช่งเจ้า ข้าจะสาปแช่งเจ้าตลอดไป…” วิญญาณของเว่ยหมิงเฉินลอยตัวขึ้นมาตะโกนกึกก้องในอากาศ พลังชั่วร้ายแผ่ปกคลุมรอบบริเวณ
“การสาปแช่งของเจ้าคงเป็นการอวยพรสำหรับข้า”
หลินเป่ยเฉินตอบรับกลับไปอย่างไม่หวาดหวั่น “หากข้าสงสารเจ้าและให้อภัยเจ้า ผู้คนมากมายในแผ่นดินตงเต้าที่ต้องตายด้วยฝีมือของเจ้าคงไม่ให้อภัยข้าแน่ ๆ”
เด็กหนุ่มชูแผนที่หนังสัตว์ขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจะใช้แผนที่ฉบับนี้ตามหาลูกหลานของเจ้า หวังว่าข้าคงไม่เจอพวกเขาก็แล้วกัน มิเช่นนั้น ข้าจะกวาดล้างสายเลือดของเจ้าให้สาบสูญไปตลอดกาล”
ทันใดนั้น วิญญาณของเว่ยหมิงเฉินก็ทิ้งตัวลงมาคุกเข่าคร่ำครวญ ขอร้องอ้อนวอนหลินเป่ยเฉินบนพื้นดินอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินยังคงมีสีหน้าเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง
วิญญาณของเว่ยหมิงเฉินเริ่มมีเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ลุกโชนร้อนแรง
“อ๊าก อ๊าก…”
เสียงร้องโหยหวนฟังดูน่าขนลุก ใช้เวลาเพียงไม่นาน วิญญาณของเว่ยหมิงเฉินก็ถูกเผาไหม้สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ดวงจิตดับสูญ ไม่มีทางฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีก
สุดท้าย เหตุการณ์ก็จบลงเช่นนี้เอง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงความเศร้าโศกในจิตใจของตนเอง
เขาคือผู้ชนะและเป็นผู้รอดชีวิต
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลินเป่ยเฉินต้องการ
เด็กหนุ่มเดินออกมาจากสนามพลังพร้อมด้วยนักพรตหญิงชินและเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
ทันทีที่เดินออกมา ทั้งหมดก็ได้พบเจอกับภาพที่แปลกประหลาด ด้วยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น… ทำให้แผ่นดินตงเต้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว!