เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1525 จักจั่นทองคำเก้าปีก
ตอนที่ 1,525 จักจั่นทองคำเก้าปีก
หลินเป่ยเฉินรู้สึกมึนงงสับสนไม่น้อย
หลังจากที่ตนเองถูกองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ระบุว่าเป็นผู้ที่มีความบกพร่องทางสมอง หลินเป่ยเฉินก็ถูกขับไล่ออกจากจวนตระกูลหลิน และไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลย จนกระทั่งภายหลังจวนตระกูลหลินตกอยู่ในมือของผู้อื่น แต่ที่นี่ก็ไม่มีผู้อยู่อาศัยมานานแล้ว
กล่าวโดยสรุปก็คือ สถานที่นี้ควรจะเป็นบ้านร้าง
คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้
ลองเข้าไปสำรวจดูด้านในดีกว่า
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ผลักประตูทางเข้าจวนเปิดออก
และทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไป หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกตัวเบามากขึ้น
ไม่มีการปกคลุมของค่ายอาคมปิดผนึก
ในลานหน้าคฤหาสน์ไม่มีการหยุดเวลา
แต่กลับมีพลังพิเศษชนิดอื่นแทนที่
“จี๊ด”
ได้ยินเสียงอากวงร้องเรียก
“พี่ใหญ่?!”
เซียวปิงกำลังนั่งยอง ๆ รับประทานขาหมูทอดอยู่ที่หน้าทางเข้าจวนหลังใหญ่ เมื่อเขาเห็นหน้าหลินเป่ยเฉินก็รีบลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น
“ฮื่อ นายน้อย ในที่สุดนายน้อยก็กลับมาแล้ว หวังจงคิดถึงนายน้อยแทบตายแล้ว”
หวังจงวิ่งเข้ามากอดขาหลินเป่ยเฉิน เช็ดน้ำมูกกับน้ำตาเข้ากับขากางเกงของเด็กหนุ่ม
“เจ้ายังไม่ตายอีกหรือ?”
หลินเป่ยเฉินสะบัดขาของตนเองและถีบหน้าอกจนหวังจงหงายหลังไป
หวังจงหมุนตัวกลิ้งไปตามแรงถีบหลายตลบ ร้องครวญครางด้วยความสุขสม “อ๊า ความรู้สึกที่คุ้นเคย ช่างดีงามเหลือเกิน… นายน้อย บ่าวเกือบเข้าใจว่านายน้อยเสียชีวิตไปเสียแล้ว”
“บัดซบ เจ้าพูดสิ่งที่เป็นมงคลหน่อยได้หรือไม่”
หลินเป่ยเฉินไม่ได้อารมณ์เสียตามที่เขาแสดงออกจริง ๆ หรอก
แต่เขากำลังดีใจมากเกินไปต่างหาก
อากวง เซียวปิงและหวังจงเป็นกลุ่มคนสนิทที่สุดของเขา เมื่อพบว่าทั้งสามยังไม่ได้กลายเป็นรูปปั้นหิน นี่จึงนับว่าเป็นข่าวดีมากที่สุดแล้ว
“ว่าแต่พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบตัว “ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น?”
“จี๊ด…”
อากวงยกขาหน้าของมันขึ้นเพื่ออธิบาย
เพียะ!
หลินเป่ยเฉินตบหัวสัตว์เลี้ยงของตนเองเสียงดังสนั่น “คิดว่าข้าฟังเจ้ารู้เรื่องหรืออย่างไร… เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยวเข้าให้เลยนี่”
“โฮก!”
เสียงคำรามดังมาจากเสี่ยวหู เจ้าเสืออสูรกลายพันธุ์
หืม?
เจ้าเสือตัวนั้นก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?
และมันยังกล้าส่งเสียงขู่เขาอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปตบหัวมันเหมือนในอดีต
อากวงและเสี่ยวหูสองพ่อลูกกอดกันกลมตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“กราบเรียนนายน้อย บ่าวไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บ่าวพักอยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง แต่อยู่ดี ๆ ก็ถูกคลื่นพลังพาตัวมาอยู่ที่จวนตระกูลหลินหลังนี้แล้ว ก่อนหน้านี้เราเปิดประตูไม่ได้ ทำให้บ่าวไม่สามารถออกไปสำรวจดูโลกภายนอก…”
หวังจงรีบตอบอย่างรวดเร็ว
สีหน้าท่าทางบอกถึงความไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เซียวปิงรีบเก็บขาหมูที่ตนเองกำลังรับประทานอยู่พร้อมกล่าวว่า “กราบเรียนพี่ใหญ่ อากวงกับเสี่ยวหู แล้วก็ตัวข้านั้นกำลังจะเดินทางออกไปตามหาแท่นบูชา แต่เราก็พบเจอปรากฏการณ์น่าสะพรึงกลัวที่ทุกคนกลายเป็นรูปปั้นหิน แล้วเรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น ข้าได้ยินเสียงจักจั่น พอรู้ตัวอีกที ข้าก็มาปรากฏตัวขึ้นในจวนแห่งนี้พร้อมกับพ่อบ้านหวังแล้วขอรับ”
เซียวปิงก็มีสีหน้าพิศวงสงสัยเช่นกัน
แต่มีเบาะแสหนึ่งที่น่าสนใจ…
เสียงจักจั่น
นี่น่าจะเป็นเบาะแสสำคัญ
ทันใดนั้น
เสียงจักจั่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นจังหวะไพเราะเสนาะหู นอกจากฟังดูไม่น่ารำคาญแล้ว ยังช่วยปรับอารมณ์ความรู้สึกทำให้บรรยากาศผ่อนคลายอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินเดินตามเสียงจักจั่นไปทางด้านหลังจวนตระกูลหลิน
เขาผลักประตูเปิดออกแล้วเดินเข้าไป
นักพรตหญิงชินและคนอื่น ๆ ถูกม่านพลังที่มองไม่เห็นขวางกั้นเอาไว้
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงใช้ไม้เท้าฟาดม่านพลังด้วยความเกรี้ยวกราด
สุดท้าย นางก็ถูกพลังดีดสะท้อนกระเด็นกลับออกมาล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้นดิน
“ทุกคนรอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน”
หลินเป่ยเฉินทิ้งประโยคนี้เอาไว้ขณะเดินเข้าไปในส่วนลึกของลานด้านหลัง
พละกำลังและขั้นพลังของเขาแข็งแกร่งมากขึ้น หลินเป่ยเฉินจึงไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามใด ๆ
จวนตระกูลหลินเป็นอย่างจวนประจำตำแหน่งข้าราชการทั่วไปในจักรวรรดิเป่ยไห่ ดังนั้น พื้นที่ทางด้านหลังจวนที่พักจึงมีขนาดกว้างใหญ่ มีสวนดอกไม้กว้างขวาง มีการประดับตกแต่งเป็นทัศนียภาพที่งดงาม
เด็กหนุ่มเดินตามเสียงจักจั่นลึกเข้าไปตามเฉลียงทางเดินที่วกวนคดเคี้ยว จนกระทั่งมาหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนด้านหลัง
นี่คือต้นอู๋ถง
ในความทรงจำอันเลือนราง หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ว่าตนเองมีความผูกพันกับต้นไม้ต้นนี้อยู่ไม่น้อย
จากปากคำของบ่าวรับใช้ในจวนเล่าขานว่า หลังจากหลินเป่ยเฉินเกิด บิดาของเขาอย่างหลินจิ้นหนานก็ใช้เงินจำนวนมากนำเข้าต้นไม้ต้นนี้มาปลูกไว้ที่ลานด้านหลัง มันแผ่กิ่งก้านสาขากว้างใหญ่ ยืนต้นตระหง่านไม่ต่างไปจากต้นไม้ร้อยปี
ตามตำนานระบุว่าต้นอู๋ถงเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์สามารถดึงดูดให้หงส์เพลิงมาสร้างรัง อีกทั้งยังถือเป็นต้นไม้มงคล ซึ่งช่วยส่งเสริมวาสนาของลูกหลานในตระกูล
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าบิดาของหลินเป่ยเฉินนำต้นไม้ต้นนี้มาปลูกไว้ เพราะหวังจะให้บุตรชายเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ อุดมไปด้วยปัญญาและโชคลาภวาสนา
เสียงจักจั่นปริศนาดังออกมาจากต้นไม้ต้นนี้เอง
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปยืนอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้และเงยหน้ามองอย่างพิจารณา
เขาเห็นดวงไฟทองคำดวงเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มใบไม้ดกหนา แต่มันก็ยังโดดเด่นสะดุดตาอยู่ดี
จักจั่นตัวนี้มีขนาดเท่ากับฝ่ามือมนุษย์
เป็นจักจั่นทองคำ
นอกจากสตรีแล้ว หลินเป่ยเฉินไม่สามารถประเมินค่าความงามของสิ่งมีชีวิตในรูปแบบอื่น ๆ ได้อีก
แต่เขากลับรู้สึกว่าจักจั่นทองคำตัวนี้มีความสวยงามมาก
ปีกทองคำของจักจั่นมีความเบาบางจนตาเปล่าแทบมองไม่เห็น ไม่ว่าลำตัว เส้นหนวด หางหรือขาของมัน ต่างก็เป็นสีทองหมดทั้งสิ้น
สีทองคำที่เป็นประกายระยิบระยับสะท้อนในดวงตา
คลื่นพลังที่ช่วยหยุดยั้งค่ายอาคมปิดผนึกแผ่ออกมาจากตัวของมัน
แต่สิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินตกใจมากที่สุดก็คือ พลังปราณซึ่งกำลังไหลทะลักออกมาจากตัวของจักจั่นทองคำนั้น ไม่ใช่พลังปราณจากโลกใบนี้ เพราะมันเป็นพลังที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน
หรือว่ามันจะมาจากภพภูมิอื่น?
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความเป็นกังวล
หลังจากได้เผชิญหน้าเว่ยหมิงเฉิน โอรสสวรรค์และคนอื่น ๆ แล้ว หลินเป่ยเฉินก็แทบไม่ได้พบเจอสิ่งมีชีวิตจากภพภูมิอื่นอีกเลย
“ในที่สุดเจ้าก็มาสักที”
จักจั่นทองคำกรีดปีกบินขึ้นมาจากกิ่งไม้ เมื่อบินมาถึงเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน ปีกบาง ๆ ของมันก็กระพือพัดด้วยความเร็วสูง ส่งผลให้ในอากาศเกิดเป็นคลื่นพลังสีทองคำบางตา
“เป็นท่านเองหรือ?”
หลินเป่ยเฉินตกตะลึง
เขาเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน
นี่เป็นอดีตสมาชิกคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางที่เคยช่วยเหลือเขาไว้หลายครั้ง แม่นางหลิน
ก่อนองค์หญิงอวี่เค่อจะเสียชีวิต นางเคยบอกเขาว่าสตรีนางนั้นก็คือพี่สาวของหลินเป่ยเฉินเอง
หลินถิงซาน
แต่ทำไมนางถึงกลายเป็นจักจั่นทองคำไปแล้วล่ะ?
“เจ้าได้ยินเสียงข้าด้วยหรือ?”
จักจั่นน้อยลอยตัวอยู่ในอากาศและกล่าวต่อ “น้องชายสุดที่รักของข้า ดูเหมือนเจ้าจะประหลาดใจมากเลยสินะ… อย่าได้ประหลาดใจเลย นี่คือร่างกายที่แท้จริงของพี่สาวเจ้าเอง ข้าเป็นอสูรจากเผ่าจักจั่นทองคำเก้าปีก ข้ามาจากภพภูมิอื่น ส่วนร่างกายที่เจ้าเคยเห็นก่อนหน้านี้ เป็นเพียงเปลือกนอกของข้าเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ
หากเป็นเช่นนี้ พี่สาวแท้ ๆ ของหลินเป่ยเฉินผู้เคยลงมือสังหารเขากับขื่อบ้าน ที่แท้นางก็เป็นอสูรจากเผ่าจักจั่นทองคำเก้าปีก!
คำถามใหม่ตามมาทันที
หากพี่สาวของเขาเป็นอสูรจักจั่น แล้วบิดาของหลินเป่ยเฉินเป็นตัวอะไรกันแน่?
เมื่อความคิดมากมายผุดขึ้นมาในหัว หลินเป่ยเฉินก็ไม่รู้อีกแล้วว่าตนเองสมควรถามอย่างไร
เขาใช้เวลาสงบสติอารมณ์ชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย หลังจากนั้น จึงสูดหายใจลึกและถามว่า “ท่านตั้งใจส่งเสียงเรียกข้าให้มาหาที่นี่ใช่หรือไม่?”
จักจั่นทองคำกระพือปีกบินวนเวียนรอบกายหลินเป่ยเฉินด้วยความเร็วสูง หัวเราะคิกคัก ก่อนตอบว่า “ดูเหมือนเจ้าจะพัฒนาขึ้นไม่น้อยเลยนะ… น้องชาย มีบางอย่างที่ข้าควรบอกให้เจ้ารู้ ได้เวลาที่เจ้าจะต้องออกไปจากบ่อน้ำโสโครกแห่งนี้แล้ว”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินถาม
บอกตามตรง เขาเริ่มวิตกกังวลขึ้นมาพอสมควร
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าความลับสำคัญกำลังจะถูกเปิดเผยออกมา
และในภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์หลาย ๆ เรื่อง เวลาที่ความลับอันยิ่งใหญ่กำลังจะถูกเปิดเผยออกมานั้น ผู้ที่กำลังจะเปิดเผยความลับก็มักจะต้องจบชีวิตลงเสมอ… โชคดีที่ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินเพียงมีหน้าที่เป็นผู้รับฟังเท่านั้น!