เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1526 ยามดอกไม้เบ่งบาน
ตอนที่ 1,526 ยามดอกไม้เบ่งบาน
“เจ้าจำเป็นต้องเดินทางไปยังมหาแผ่นดินอันไกลโพ้นจากดินแดนอันต่ำต้อยแห่งนี้”
จักจั่นทองคำผู้กระพือปีกลอยตัวอยู่ในอากาศตรงเข้าประเด็นโดยทันที
“เพราะข้าจำเป็นต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้อย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมา
จักจั่นทองคำหัวเราะในลำคอเล็กน้อย “เจ้ากำลังพูดถึงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งใช่หรือไม่? ถูกต้องแล้ว อย่างน้อยมันก็จะทำให้เจ้าไม่ต้องรู้ความจริง”
“ความจริงอันใด?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย
“ความจริงเรื่องที่…”
จักจั่นทองคำเกือบจะหลุดปากออกมาแล้ว โชคดีที่ตั้งสติได้ทันจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวว่า “เจ้าจะหลอกถามข้าอย่างนั้นหรือ? ดูเหมือนการที่ข้าลงโทษเจ้าด้วยการจับแขวนไว้กับขื่อบ้านในวันนั้น คงเป็นการลงโทษที่เบาเกินไปสินะ?”
เบาเกินไปอย่างนั้นหรือ?
ตามความเป็นจริง นางฆ่าเขาไปแล้วด้วยซ้ำ
แต่เนื่องจากจักจั่นทองคำตัวนี้ดูไม่น่าจะจัดการได้ง่าย ๆ สักเท่าไหร่ และนางก็มีศักดิ์เป็นถึงพี่สาวของเขา ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงตัดสินใจไม่ถือสาหาความ
“ช่างเถอะ ไม่บอกก็ไม่เป็นไร… ว่าแต่ว่าท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินรีบเปลี่ยนเรื่องพูดโดยทันที
เพราะว่าเขาไม่ใช่หลินเป่ยเฉินตัวจริง เด็กหนุ่มจึงไม่สนใจหรอกว่าพี่สาวของตนเองกำลังปิดบังความจริงอะไรอยู่
“ท่านพ่อตายไปนานแล้ว ข้าเป็นคนฝังศพด้วยตนเอง”
จักจั่นทองคำตอบโดยไม่ลังเล
“ตายแล้ว… จริงหรือ?”
นี่คือคำตอบที่ทำให้หลินเป่ยเฉินประหลาดใจ เพราะเขาไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ก่อน
ในเมื่อพี่สาวของหลินเป่ยเฉินเป็นอสูรจักจั่น บิดาก็น่าจะมีชาติกำเนิดไม่ธรรมดาเช่นกัน หลินเป่ยเฉินเคยสงสัยด้วยซ้ำว่าชายชราปริศนาที่ปรากฏตัวออกมาช่วยเหลือเขาในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์นั้น บางทีอาจจะเป็นบิดาผู้หายสาบสูญไปก็เป็นได้
“ถูกต้อง ท่านพ่อตายแล้ว ร่างกายถูกสัตว์อสูรรุมกัดกินไม่เหลือชิ้นดี แต่ท่านพ่อตายเพราะถูกผู้คนสังหาร คนผู้นั้นหั่นร่างท่านพ่อให้ตายทั้งเป็น สภาพศพเละเทะแทบมองไม่ออกว่าเป็นผู้ใด… ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่าอนาถใจมากเท่านั้น”
จักจั่นทองคำบอกเล่าอย่างคล่องแคล่ว
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
เขาถามสิ่งที่ตนเองติดใจอยู่ออกไปทันที “สภาพศพเละเทะแทบมองไม่ออกว่าเป็นผู้ใด? แล้วอย่างนั้น ท่านจำได้อย่างไรว่านั่นคือศพท่านพ่อ?”
“เพราะศีรษะของท่านพ่อยังเหลืออยู่น่ะสิ…”
จักจั่นทองคำตอบรับเร็วไว “ช่างน่าสงสารนัก ท่านพ่อตายตาไม่หลับ ตอนที่ข้าฝังศพท่านพ่อ ดวงตาของท่านพ่อจ้องมองข้าเขม็งเชียว”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
เมื่อพี่สาวของเขากลายร่างเป็นจักจั่นทองคำ ก็ดูเหมือนว่านางจะโกหกไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่
หลินเป่ยเฉินไม่อยากจะเซ้าซี้ถามต่อไป เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าจักจั่นทองคำตัวนี้มีเจตนาโกหกเขาเพื่อความบันเทิง
“ก่อนหน้านี้ ข้าพบชายชราปริศนาผู้หนึ่ง เขามีพลังแข็งแกร่งมากทีเดียว…” หลินเป่ยเฉินอธิบายรูปร่างหน้าตาของชายชราผู้นั้นและถามว่า “ท่านรู้จักเขาหรือไม่?”
“ย่อมรู้จัก”
จักจั่นทองคำตอบอย่างไม่ลังเล “เขาคือหมายเลขหนึ่ง”
“หมายเลขหนึ่ง?”
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิดใจ “หมายเลขหนึ่งอันใด?”
การตอบคำถามเช่นนี้เหมือนไม่ได้ตอบเลยด้วยซ้ำ
“เขาคือคนที่คอยแอบคุ้มครองเจ้าอยู่ไงล่ะ หมายเลขหนึ่งได้ทำข้อตกลงกับข้าเอาไว้…”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ จักจั่นทองคำก็พูดด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “ให้ตายเถอะ เขาถึงกับต้องลงมือเชียวหรือ? แสดงว่าตอนนั้นเจ้าคงตกอยู่ในอันตรายจริง ๆ สินะ งั้นเขาก็มีปัญหาใหญ่แล้ว”
ในน้ำเสียงแฝงความเศร้าโศกอยู่เล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินพูดว่า “ทำข้อตกลงกับท่าน? แต่ท่านเป็นพี่สาวของข้านะ ตอนนั้นข้ากำลังจะตาย ทำไมท่านไม่ช่วยเหลือข้า?”
“ข้าไปช่วยไม่ได้”
จักจั่นทองคำยกปีกคู่หนึ่งขึ้นสูงทำท่าเหมือนคนยักไหล่ “ข้าต้องคอยคุ้มกันประตูมิติอยู่ที่นี่ เพราะหากมีคนล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของประตูมิติ ปัญหาใหญ่ที่ร้ายแรงมากกว่านี้ก็จะตามมา”
“ว่าไงนะ?”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าพิศวงสงสัยอีกครั้ง “ประตูมิติอะไรกัน?”
“ประตูมิติก็คือประตูมิติน่ะสิ”
จักจั่นทองคำกล่าว “มันจะช่วยพาเจ้าออกเดินทางสู่มหาแผ่นดิน แต่เจ้าวางใจเถอะ ประตูมิติแห่งนี้มีความปลอดภัยสูงมาก รับรองว่าไม่มีอันตรายระหว่างการเดินทางเด็ดขาด”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของหลินเป่ยเฉินก็เป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมาทันที
มีของดีเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?
มารดาของเจ้าอ้วนเคยบอกว่าการเดินทางข้ามภพภูมินั้น เป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายอย่างมาก แม้จะมีพลังศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองร่างกาย ก็ไม่ใช่สิ่งที่รับประกันว่าจะสามารถเดินทางถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย
“งั้นข้าขอใช้งานประตูมิติได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความคาดหวัง
“ไม่ได้”
จักจั่นทองคำปฏิเสธเสียงแข็ง
รอยยิ้มหายวับไปจากใบหน้าหลินเป่ยเฉินทันที
จักจั่นทองคำกระพือปีกและระเบิดเสียงหัวเราะ ตัวของมันกลิ้งไปกลิ้งมาในอากาศด้วยความขบขันเสียเต็มประดา
“ฮ่า ๆๆ ดูสีหน้าของเจ้าสิ ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้นเอง ประตูมิติแห่งนี้ก็เตรียมไว้ให้เจ้าอยู่แล้ว ไม่งั้นจะมาตั้งอยู่ในจวนตระกูลหลินเพื่ออะไร”
นี่คือเสียงหัวเราะเยาะเย้ย
นางกำลังเหยียดหยามเขา
เหยียดหยามความโง่เขลาของหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าพี่สาวของตนเองจะมีนิสัยเช่นนี้ ว่าแต่ทำไมนางถึงกลายร่างเป็นอสูรจักจั่นได้นะ? หรือว่าตัวตนของนางในร่างมนุษย์ถูกเปิดโปงเสียแล้ว?
“ประตูมิติอยู่ที่ใด?”
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบตัว ก่อนที่ดวงตาจะไปหยุดชะงักอยู่ที่ประตูศิลาทางเข้าสวนดอกไม้ด้านหลังจวนซึ่งตนเองเพิ่งเดินผ่านเข้ามา
“ไม่ใช่ประตูบานนั้น”
จักจั่นทองคำหยุดหัวเราะและพูดด้วยน้ำเสียงลึกลับ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในห้องใต้ดินของจวนตระกูลหลินมีแท่นบูชาตั้งอยู่?”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร…” หลินเป่ยเฉินตอบออกไปโดยไม่รู้ตัวจึงต้องหยุดชะงักอย่างกะทันหัน
เดี๋ยวก่อนนะ
เรื่องนี้เขารู้นี่นา
สมัยที่ทะลุมิติมาอยู่ในโลกแห่งนี้ใหม่ ๆ ทางการได้บุกตรวจค้นจวนตระกูลหลิน และพบเข้ากับแท่นบูชาปีศาจอยู่ในห้องใต้ดิน และนั่นก็ทำให้หลินเป่ยเฉินถูกใส่ความว่าเป็นสาวกปีศาจจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต
“หมายความว่าแท่นบูชานั่นคือประตูมิติใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามอย่างรวดเร็ว
จักจั่นทองคำตอบว่า “ไม่งั้นมันจะมาซ่อนอยู่ในบ้านของสาวกเทพีกระบี่ได้อย่างไร?”
“พาข้าไปดูหน่อยสิ”
หลินเป่ยเฉินแทบรอไม่ไหวอีกต่อไป “เคยมีคนใช้งานมันเดินทางไปที่ภพภูมิอื่นบ้างหรือไม่?”
“ในทางทฤษฎีก็เคยมีแล้วนั่นแหละ เพราะข้าเองก็เดินทางผ่านประตูมิติแห่งนี้มาเช่นกัน… แต่เจ้าไปดูตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ บัดนี้ ประตูมิติยังไม่สามารถเปิดใช้งานได้”
“เพราะเหตุใด?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความร้อนรน
“ก่อนหน้านี้เว่ยหมิงเฉินปลดปล่อยพลังดูดวิญญาณรุนแรงมากเกินไป ข้าจึงจำเป็นต้องซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพื่อคุ้มกันประตูมิติ… การจะเปิดใช้งานประตูมิติอีกครั้ง เจ้าต้องรอให้ต้นอู๋ถงต้นนี้ออกดอกบานสะพรั่งเต็มต้นเสียก่อน”
จักจั่นทองคำใช้ปีกทองคำข้างหนึ่งของมันชี้ไปยังต้นอู๋ถงที่อยู่ทางด้านหลัง “ตราบใดที่ดอกอู๋ถงบานสะพรั่ง ประตูมิติก็จะสามารถใช้งานได้ และเจ้าก็จะเดินทางไปยังภพภูมิมหาแผ่นดินได้ทุกเมื่อ”
ต้นไม้ต้นนี้เนี่ยนะ?
ต้นอู๋ถงที่บิดาซื้อมาปลูกด้วยราคาแพงลิบลิ่ว?
มันเองก็มีความลับซ่อนอยู่เช่นกันหรือ?
หลินเป่ยเฉินจำได้ดีว่าตอนที่ตนเองเพิ่งทะลุมิติมาใหม่ ๆ เขาได้ยินบ่าวรับใช้ในตระกูลแอบพูดคุยกันว่าต้นอู๋ถงต้นนี้ค่อนข้างแปลกประหลาดมากทีเดียว แม้มันจะมีต้นใหญ่และหยั่งรากลึก แต่ร้อยวันพันปีก็ไม่เคยออกดอกให้ผู้ใดได้เชยชม ผู้คนในเมืองหยุนเมิ่งจึงพากันตีความว่านี่คงเป็นเพราะความอัปมงคลของหลินเป่ยเฉิน และต้องรอให้เขาตายก่อนนั่นแหละ ต้นไม้ต้นนี้จึงจะออกดอกบานสะพรั่ง
แล้วต้นอู๋ถงต้นนี้กำลังจะออกดอกแล้วหรือไม่?
หลินเป่ยเฉินหรี่ตามองด้วยความพิจารณาและพบว่าตามกิ่งไม้เริ่มมีดอกสีขาวเล็ก ๆ งอกงามออกมาส่วนหนึ่งแล้ว ถือว่ายังพอให้หัวใจได้มีความหวังอยู่บ้าง
หลินเป่ยเฉินถามคำถามต่อไปอีกมากมาย
คำถามส่วนใหญ่จักจั่นทองคำจะตอบกลับมาอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไหร่
“ท่านพ่อตายแล้วจริง ๆ หรือ?”
ก่อนจบบทสนทนา หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้
จักจั่นทองคำพยักหน้าด้วยความหนักแน่น “ตายแล้วแน่นอน ตายแล้วตายลับไม่กลับมา… ถึงเจ้าออกไปตามหาตอนนี้หลุมศพก็คงไม่เหลือแล้ว เจ้าอย่าได้คิดถึงเรื่องนี้อีกเลย”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
เด็กหนุ่มเดินกลับออกมาจากสวนดอกไม้ทางด้านหลัง
“นายน้อย เป็นอย่างไรบ้าง?”
พ่อบ้านหวังจงรีบวิ่งเข้ามาถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ทางด้านหลังนั้นมีอะไรอยู่หรือขอรับ?”
นักพรตหญิงชินและคนอื่น ๆ ก็กำลังตั้งใจรับฟังเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินบอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ปิดบัง
หวังจงร้องไห้ออกมาโดยทันที “นายท่านต้องตายอย่างทุกข์ทรมานยิ่งนัก บ่าวไม่เชื่อ บ่าวจะไปถามจากเจ้าจักจั่นผีสางนั่นด้วยตนเอง… นายน้อยไม่ต้องมาห้ามบ่าว”