เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1528 ความเปลี่ยนแปลงในดินแดนทวยเทพ
ตอนที่ 1,528 ความเปลี่ยนแปลงในดินแดนทวยเทพ
หลินเป่ยเฉินประหลาดใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในดินแดนทวยเทพ
ในดินแดนทวยเทพขณะนี้ เหมือนมีเขากับนักพรตหญิงชินเพียงสองคนเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหวได้เป็นปกติ
ค่ายอาคมปิดผนึกจากวงแหวนอันธการนั้นน่ากลัวมาก
หากหลินเป่ยเฉินยังไม่ได้เลื่อนขั้นพลังแข็งแกร่งอย่างในปัจจุบัน เกรงว่าเขาก็คงต้องกลายเป็นรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งไปแล้วเช่นกัน
หลังจากไม่ได้กลับที่นี่มานานปี นักพรตหญิงชินก็กวาดสายตามองรอบบริเวณด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
ในอดีต นางยอมตัดพ่อตัดลูกกับท่านมหาเทพ สละตำแหน่งเทพเจ้า เดินทางไปยังแผ่นดินตงเต้าด้วยฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และไม่เคยคิดที่จะกลับมาเหยียบดินแดนทวยเทพอีก
แต่ครั้งหนึ่งในชีวิตนางก็เคยอาศัยอยู่ที่นี่ สถานที่แห่งนี้เก็บความทรงจำของนักพรตหญิงชินเอาไว้มากมาย เมื่อเห็นสถานที่แล้วก็อดนึกถึงผู้คนขึ้นมาไม่ได้ ประตูที่กักเก็บความทรงจำของนักพรตหญิงชินจึงถูกเปิดออกอีกครั้ง
“นี่คือสิ่งที่ไป๋เสี่ยวเซียวบอกให้ข้านำมามอบให้เจ้าให้ได้”
นักพรตหญิงชินนำหอกกระดูกเล่มหนึ่งออกมาพลางกล่าวว่า “นางกำชับให้ข้ามอบหอกเล่มนี้ให้กับเจ้าเมื่ออยู่กับเจ้าตามลำพัง เจ้าจะได้เก็บมันเอาไว้”
หอกเล่มนี้ทำขึ้นมาจากกระดูกสีขาวโพลนสวยงามราวกับหยกขาว มันมีความยาวเท่ากับกระบี่สามเล่มต่อเรียงกัน นับเป็นอาวุธวิเศษระดับสูง เป็นอาวุธคู่กายที่ไป๋เสี่ยวเซียวพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา และหอกเล่มนี้ก็เคยช่วยนางให้รอดพ้นจากอันตรายมานับครั้งไม่ถ้วน
หลินเป่ยเฉินย่อมทราบดีว่าไป๋เสี่ยวเซียวหลงรักเขา นางจึงอยากมอบสิ่งของที่ระลึกเอาไว้ให้เขาดูต่างหน้า ทันใดนั้น เมื่อนึกถึงเด็กสาวจากเผ่าจันทราขาวผู้ร้อนแรงกล้าได้กล้าเสีย หลินเป่ยเฉินก็อดถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้าไม่ได้
เผ่าจันทราขาวล่มสลายลงแล้ว
หลินเป่ยเฉินติดหนี้บุญคุณพวกเขามากมายนัก
“ข้าอยากจะออกสำรวจที่นี่ตามลำพัง”
นักพรตหญิงชินกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา เส้นผมสีเงินยวงปลิวไสว ก่อนเดินช้า ๆ ออกไปจากประตูคฤหาสน์ของหลินเป่ยเฉิน “เจ้ารออยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องตามข้ามาหรอก”
กล่าวจบ นางก็หายตัวไป
หลินเป่ยเฉินสามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดี
หากเขาได้กลับสู่โลกมนุษย์ใบเก่าของตนเอง และพบว่าพ่อแม่พี่น้องรวมไปถึงเพื่อนสนิททุกคนต่างก็เสียชีวิตกันหมดแล้ว หลินเป่ยเฉินก็คงอยากจะหาที่เงียบ ๆ นั่งสงบสติอารมณ์เช่นกัน
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมาจ้องมองชิงเล่ยผู้นั่งอยู่ในสวนหย่อมหน้าคฤหาสน์อีกครั้ง
หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
อาวุธระดับสูงอย่างวงแหวนอันธการมาอยู่ในมือของนางได้อย่างไร?
น่าจะเกี่ยวข้องกับนักเวทชราอู่จิวเป็นแน่แท้
น่าเสียดายที่นักเวทชราอู่จิวเสียชีวิตไปแล้ว จึงไม่สามารถลากตัวขึ้นมาตอบคำถามได้อีก
ว่าแต่จะลองขุดหลุมศพดูดีไหมนะ เผื่อตาเฒ่านั่นอาจจะไม่ได้ตายจริง ๆ ก็ได้?
อีกอย่าง นักเวทชราอู่จิวเป็นผู้ติดตามของใต้เท้ากั้ว การที่มาช่วยเหลือชิงเล่ยจนตัวตายเช่นนี้ค่อนข้างน่าสงสัยไม่น้อย บางทีนักเวทชราอาจกำลังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งและกำลังวางแผนร้ายอยู่ก็เป็นได้
หลังพบกับความเปลี่ยนแปลงมากมายระหว่างการต่อสู้กับเว่ยหมิงเฉิน หลินเป่ยเฉินก็เริ่มเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดมากขึ้น จิตใจของเขาเริ่มหวาดระแวง ไม่อาจไว้วางใจผู้ใดง่าย ๆ ได้อีก
เขาเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าหลุมศพของนักเวทชราอู่จิว กำลังจะลงมือขุดหลุมศพ…
“นายท่าน?”
เสียงที่อ่อนหวานดังกังวานในสวนหย่อม
หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ หันมองรอบกายด้วยความร้อนรน “นั่นใครน่ะ?”
หลังจากตั้งสติได้ เขาก็รู้สึกว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นหู นี่เป็นเสียงของชิงเล่ยไม่ใช่หรือ?
เขาหันขวับกลับไปมองร่างของสาวงามซึ่งยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตามเดิม
“เป็นข้าเอง นายท่าน”
ใบหน้าของชิงเล่ยยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่มันกลับดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
หรือว่าวิญญาณของนางยังคงอยู่?
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
หากสามารถสื่อสารกันได้ เขาก็จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในดินแดนทวยเทพใช่หรือไม่?
แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
เขาจึงถามคำถามส่วนตัวหลายคำถาม
“เป็นเจ้าจริง ๆ หรือ? เสี่ยวชิง? แต่ช่วงหลัง ข้าถูกหลอกลวงมานับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นจึงต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ก่อน ข้าอยากจะทดสอบเจ้า…”
“เจ้าตอบคำถามของข้ามาเดี๋ยวนี้ ท่าที่เจ้าชื่นชอบมากที่สุดคือท่าใด? ไฝที่เอวของข้าสามจุดอยู่ตรงไหนบ้าง? พวกเราฝึกวิชาด้วยกันมานานเพียงใด? และครั้งแรกของพวกเรา…”
หลินเป่ยเฉินถามคำถามส่วนตัวออกมามากมายในรวดเดียว
หลังจากนั้น ใบหน้าที่เรียบเฉยเป็นสีขาวราวกับกระดาษของชิงเล่ยก็ค่อย ๆ กลายเป็นสีแดงระเรื่อ ไม่ต่างจากหุ่นขี้ผึ้งที่ถูกแดดเผานานมากเกินไป
เสียงของนางดังขึ้นอีกครั้ง
สามารถตอบคำถามได้ครบถ้วน
คำตอบถูกต้องทุกข้อ
มีรายละเอียดบางอย่างที่แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ
เมื่อได้รับฟังดังนั้น ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็สามารถถอนหายใจออกมาได้ด้วยความโล่งอก
แน่นอนว่าชิงเล่ยที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ไม่ใช่ตัวปลอม และไม่มีผู้ใดควบคุมนางอยู่ทั้งสิ้น และผู้ที่จะสามารถตอบคำถามเหล่านั้นของหลินเป่ยเฉินได้ ย่อมมีแต่ชิงเล่ยเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้นในดินแดนทวยเทพกันแน่? เสี่ยวชิง วงแหวนอันธการมาอยู่ในการครอบครองของเจ้าได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินถามคำถามที่เขาสงสัยมากที่สุด
ชิงเล่ยตอบกลับโดยละเอียด
หลินเป่ยเฉินถึงกับมึนงงและตกตะลึง
คิดไม่ถึงเลยว่านักเวทชราอู่จิวกลับมีพื้นเพไม่ธรรมดา เขาซ่อนเร้นพลังที่แท้จริงเอาไว้ตลอดมา เรียกได้ว่านักเวทชราผู้นี้คือหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่สุดแห่งดินแดนเทพเลยไม่ใช่หรือ?
และชายชราก็เคยเป็นถึงพ่อบ้านรับใช้ประจำตัวเทพเจ้าหวง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองต้องประเมินเทพเจ้าหวงผู้นี้ใหม่เสียแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าหวงทั้งสิ้น และเทพเจ้าหวงก็เป็นผู้ที่ทำให้ดินแดนทวยเทพเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
หลินเป่ยเฉินนึกย้อนไปถึงภาพยนตร์สั้นที่เขาดาวน์โหลดในแอปสวิ่นเล่ย ตอนนั้นเทพเจ้าหวงในร่างของเด็กทารกถูกตามล่า บิดามารดาที่แท้จริงของเขาคงไม่รอดชีวิตอยู่อีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินได้รับทราบจากการอธิบายของชิงเล่ยว่า เดิมทีนั้น ใต้เท้ากั้วตั้งใจจับตัวพวกของอันอันเพื่อดูดกลืนพลังวิญญาณ แต่ภายหลังใต้เท้ากั้วก็เกิดเปลี่ยนใจ ก่อนที่ใต้เท้ากั้วจะเดินทางลงไปยังแผ่นดินตงเต้า เขาได้ตัดสินใจปล่อยตัวกลุ่มเด็กหญิงทั้งหมด ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกของอันอันตกมาอยู่ในการดูแลของฉางจิ้งคง ซึ่งฉางจิ้งคงก็เห็นแก่หน้าหลินเป่ยเฉิน นางจึงยอมทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กแต่โดยดี…
หากไม่ใช่เพราะว่ามีฉางจิ้งคงคอยดูแล กลุ่มเด็กหญิงทั้งหมดรวมถึงอันอันกับฉินเฉียนเซวียนก็คงเสียชีวิตไปนานแล้ว
ดังนั้น นี่จึงเท่ากับว่าหลินเป่ยเฉินไม่เพียงแต่ช่วยเหลือดินแดนทวยเทพเอาไว้เท่านั้น แต่เขายังช่วยชีวิตอันอันในทางอ้อมอีกด้วย
ชิงเล่ยบอกเล่าให้หลินเป่ยเฉินฟังว่า หลังจากที่นางหลอมรวมพลังกับวงแหวนอันธการได้สำเร็จ นางก็รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่แผ่นดินตงเต้า ดังนั้นชิงเล่ยจึงปลดปล่อยพลังจากวงแหวนวงนี้สร้างค่ายอาคมปิดผนึกขึ้นมา เพื่อคุ้มครองรูปปั้นหินจากฝีมือของเว่ยหมิงเฉินไม่ให้แตกสลายลงไป
เพื่อที่จะได้หาหนทางชุบชีวิตทุกคนกลับคืนมาในภายภาคหน้า
แม้มันจะเป็นความหวังอันเลือนรางก็ตาม
ชิงเล่ยพยายามปลดปล่อยพลังอย่างเต็มที่ก่อนหลินเป่ยเฉินจะกลับมา
นางทำทุกอย่างนี้เพื่อหลินเป่ยเฉิน
“ความเปลี่ยนแปลงที่นายท่านนำมาสู่ชีวิตของข้าคือเรื่องราวที่งดงามที่สุดในโลกใบนี้ นายท่านช่วยฉุดดึงข้าขึ้นมาจากบ่อน้ำที่ดำมืด ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่าตนเองต้องตอบแทนนายท่าน และบัดนี้ ข้าก็ได้ทำสิ่งนั้นแล้ว”
เสียงของชิงเล่ยกล่าวอย่างมีความสุขและพึงพอใจในตนเอง
แต่หลินเป่ยเฉินเพิ่งรับรู้ได้ถึงอีกสิ่งหนึ่ง
สิ่งที่โหดร้ายต่อชิงเล่ย
สำหรับผู้คนที่ตกอยู่ในค่ายอาคมปิดผนึก ชีวิตของพวกเขาจะถูกหยุดชั่วคราว ทุกคนจะไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่โลกภายนอก ผิดกับชิงเล่ยซึ่งเป็นผู้ควบคุมวงแหวนอันธการ นางจึงสามารถรับรู้เรื่องราวทุกอย่างได้ตลอดเวลา
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชิงเล่ยต้องรอคอยหลินเป่ยเฉินผ่านความโดดเดี่ยวและช่วงเวลาที่ยากลำบากมาอย่างยาวนาน
ไม่ต่างไปจากการเสียสละของไป๋ชินอวิ๋น
“ข้าติดหนี้บุญคุณพวกเจ้ามากมายเหลือเกิน…”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมา
เขารู้สึกว่าตนเองไม่มีค่ามากมายถึงเพียงนั้น
ด้วยเหตุนี้ หลินเป่ยเฉินจึงสาบานอยู่ในใจว่าไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องเดินทางไปยังภพภูมิใหม่และหาวิธีช่วยเหลือทุกคนให้ได้
ในไม่ช้า เสียงพูดของชิงเล่ยก็ขาดหายไป
ขณะที่ต้องควบคุมวงแหวนอันธการ เป็นเรื่องยากที่นางจะแบ่งแยกพลังมาสื่อสารกับหลินเป่ยเฉินในเวลาเดียวกัน ดังนั้น นางจึงทุ่มเทสมาธิกลับไปยังการควบคุมวงแหวนต่อจากเดิม…
หลินเป่ยเฉินไม่ได้เดินจากมา
เขานั่งลงข้างกายชิงเล่ยคอยอยู่เป็นเพื่อนนางในความเงียบ
ในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่ามวลพลังในร่างกายของตนเองยังคงเกิดความปั่นป่วนโกลาหล จำเป็นต้องใช้เวลาหลอมรวมพลังให้มั่นคง และดูเหมือนว่าดินแดนทวยเทพจะเป็นปฏิปักษ์กับร่างกายของเขาเสียแล้ว…
เด็กหนุ่มรู้ว่าเวลาที่เขาควรออกเดินทางใกล้มาถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ยังคงมีอันตรายซุกซ่อนอยู่ในดินแดนทวยเทพรวมไปถึงในแผ่นดินตงเต้า ซึ่งหน้าที่ของเขาก็คือการกำจัดอันตรายเหล่านั้นให้สิ้นซาก
หลินเป่ยเฉินทราบดีว่าตนเองคงหลีกหนีการฆ่าฟันในชนิดสงครามนองเลือดไม่พ้นอีกแล้ว!