เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1542 โจรร้ายออกอาละวาด
ตอนที่ 1,542 โจรร้ายออกอาละวาด
“คุณชายหลิน คุณชายหลิน มีคนตายอยู่หน้าบ้านพักของท่าน รีบออกมาดูเร็วเข้า เกิดอะไรขึ้น?”
เสียงอุทานของผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนดังขึ้นจากหน้ารั้ว
“มาเร็วจริงนะ”
หลินเป่ยเฉินรับประทานผลไม้ชิ้นสุดท้ายกลืนลงคอและตะโกนถามว่า “ท่านลุงอวี้ อย่าเพิ่งตื่นตกใจไป…”
เด็กหนุ่มเดินออกไปต้อนรับผู้มาเยือนด้วยความสงบ
และเขาก็พบว่าผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนกำลังยืนมองศพชายฉกรรจ์ชุดดำบนพื้นดินด้วยสีหน้าตกตะลึง
“เขาเป็นใคร? เหตุไฉนจึงมาตายอยู่ที่นี่?”
อวี้อู๋เฉียนสอบถาม
หลินเป่ยเฉินพิจารณาอย่างระมัดระวัง อาการตกตะลึงของผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนคงไม่ใช่การแสดงแน่ ๆ มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนจะไม่รู้จักคนตายจริง ๆ
“ไม่รู้เหมือนกันขอรับ ตื่นมาเช้านี้ ข้ากำลังนั่งพักผ่อนอย่างสบายใจ อยู่ดี ๆ คนผู้นี้ก็บุกเข้ามาข่มขู่ข้า เขาเชื่อว่าข้ายังมีผลเซียนเหนือฟ้าเก็บเอาไว้อยู่กับตัว เขาข่มขู่ให้ข้าส่งผลเซียนเหนือฟ้าให้เขา มิเช่นนั้นแล้ว เขาจะสังหารข้าด้วยความโหดร้ายอำมหิต…”
หลินเป่ยเฉินอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่ผู้ใดจะคิดเลยว่าชายผู้นี้กลับมีสายตาย่ำแย่ ขณะที่เขากำลังจะเดินเข้ามาทำร้ายข้านั้น เขากลับเดินสะดุดเท้าตนเองจนล้มลงไปกระแทกพื้นอย่างแรง ส่งผลให้แขนข้างหนึ่งกับศีรษะครึ่งซีกระเบิดหายไปกับตาเลยขอรับ”
อวี้อู๋เฉียนเลิกคิ้วสูงด้วยความพิศวง
ผู้ใดเชื่อคำอธิบายของหลินเป่ยเฉินก็คงเป็นคนเสียสติแล้ว
นี่ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด
ผู้ตายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นจอมเทพระดับ 3 ต่อให้ตายระหว่างการต่อสู้ก็ยังเป็นไปได้ยาก
แล้วคนเราจะเดินสะดุดเท้าตนเองล้มลงไปทำให้แขนกับศีรษะระเบิดตัวได้อย่างไร?
เห็นได้ชัดว่าผู้ตายถูกโจมตีอย่างโหดเหี้ยมต่างหาก
ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนเป็นคนฉลาด เมื่อหลินเป่ยเฉินเอ่ยคำแก้ตัวออกมาเช่นนี้ เขาก็ไม่คิดถามอะไรอีกและไม่ซักถามด้วยซ้ำว่าเด็กหนุ่มยังมีผลเซียนเหนือฟ้าเหลืออยู่จริงหรือไม่
ทั้งสองคนเดินเข้าสู่ลานโล่งหน้ากระท่อม หลินเป่ยเฉินผายมือไปที่กองฟางกองหนึ่งและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเชิญนั่ง ไม่ต้องเกรงใจ”
อวี้อู๋เฉียนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เขากำลังคิดว่าหลินเป่ยเฉินเป็นคนไม่ปกติ
คนบางคนเมื่อตรวจพบว่าตนเองไม่มีทางฝึกวิทยายุทธ์ได้เด็ดขาด อารมณ์ความรู้สึกก็มักจะจมตัวอยู่กับความเศร้าและความหมดหวัง แต่สำหรับเด็กหนุ่มคนนี้ ตลอดเวลาที่พักอาศัยอยู่บนยอดเขาหลิวหลี่แห่งสำนักกระบี่เหินฟ้า หลินเป่ยเฉินไม่เคยแสดงความเศร้าเสียใจออกมาเลยสักครั้ง
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลก
และเพราะความที่หลินเป่ยเฉินไม่เคยแสดงความเสียใจใด ๆ ออกมาเลย ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนจึงมักจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้
“คุณชายหลิน ข้ามีข่าวดีมาแจ้งให้ท่านทราบ”
อวี้อู๋เฉียนนั่งลงบนกองฟางตามคำเชิญและกล่าวต่อ “คุณชายเซียวปิงน้องชายของท่านคือยอดอัจฉริยะแห่งสำนักกระบี่เหินฟ้าที่แท้จริง เขาคิดถึงท่านมากและอยากจะพบท่านมานานแล้ว ในที่สุด ท่านเจ้าสำนักก็อนุญาตให้คุณชายหลินได้เข้าร่วมการฝึกวิทยายุทธ์เป็นกรณีพิเศษขอรับ”
“หา?”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ “เขาจะให้ข้าฝึกวิชาใดหรือ?”
หลินเป่ยเฉินไม่ได้พบเจอเซียวปิงนานนับเดือน แต่เจ้าเด็กอ้วนผู้นี้ก็ไม่เคยลืมเลือนพี่ชายร่วมสาบานเลยจริง ๆ
“ท่านเจ้าสำนักอนุญาตให้คุณชายหลินฝึกวิชาสำรวจจิตขอรับ”
อวี้อู๋เฉียนกล่าว “นี่คือวิชาฝึกสมาธิขั้นพื้นฐานของสำนักกระบี่เหินฟ้า มีความเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ต่อให้ไม่มีผู้ชี้นำก็สามารถฝึกฝนด้วยตนเองได้ เหมาะสมสำหรับผู้ที่เริ่มฝึกวิทยายุทธ์ แต่ว่า…”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของชายวัยกลางคนก็ปรากฏความลำบากใจขึ้นมา
“แต่ว่าอะไร?”
หลินเป่ยเฉินถาม
อวี้อู๋เฉียนตอบด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วนใจ “เดิมที นี่คือมติที่ได้รับการอนุมัติจากสมาชิกในสำนักแล้ว แต่ปรากฏว่าผู้ที่ดำรงตำแหน่งรองเจ้าสำนักอย่างท่านชิวเหิงกลับคัดค้านไม่เห็นด้วย”
“เฮอะ ในเมื่อนี่เป็นการอนุญาตจากท่านเจ้าสำนัก แล้วรองเจ้าสำนักจะคัดค้านได้อย่างไร” หลินเป่ยเฉินอดรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้
พวกผู้ติดตามที่ไม่มีมันสมองสมควรจับมาตีให้ตายจริง ๆ
“ท่านชิวเหิงเป็นผู้อาวุโสระดับสูงในสำนักกระบี่เหินฟ้า นอกจากดำรงตำแหน่งรองเจ้าสำนักแล้ว เขายังรับผิดชอบเรื่องการฝึกวิทยายุทธ์ให้แก่ศิษย์ในสำนักอีกด้วย เมื่อท่านชิวเหิงส่งเสียงคัดค้าน จึงไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธ” อวี้อู๋เฉียนตอบด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “สุดท้าย ท่านเจ้าสำนักจึงต้องเรียกประชุมบรรดาผู้อาวุโสใหญ่อีกครั้งและผลการประชุมก็ออกมาว่าในอีกสามวันหลังจากนี้ คุณชายหลินจะต้องเข้ารับการทดสอบก่อน หากคุณชายสามารถผ่านการทดสอบได้สำเร็จ คุณชายก็จะได้รับอนุญาตให้ฝึกวิชาสำรวจจิตต่อไป”
“ข้าต้องเข้ารับการทดสอบอะไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
เขาอยากจะลองฝึกวิชาสำรวจจิตอะไรนั่นดูสักครั้ง เพราะอยากรู้นักว่าวิชาของผู้คนในแดนมหาแผ่นดินนั้น จะแตกต่างจากพวกวิชายุทธ์ที่เขาเคยฝึกมาก่อนหน้านี้หรือไม่
“บัดนี้ข้าก็ยังไม่รู้เช่นกัน แต่มันเป็นการทดสอบที่ท่านชิวเหิงเป็นผู้ควบคุมด้วยตนเอง” อวี้อู๋เฉียนกล่าวและพยายามปลอบใจหลินเป่ยเฉินว่า “ข้าขอแนะนำให้คุณชายลองเข้ารับการทดสอบดู เพราะนี่คือโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง”
“ได้สิ งั้นข้าจะลองดูสักตั้ง”
หลินเป่ยเฉินตอบรับอย่างกระตือรือร้นและถามต่อไป “ว่าแต่ว่าเหตุไฉนท่านรองเจ้าสำนักชิวเหิงถึงต้องคัดค้านเรื่องนี้ด้วย? ข้าไปทำอะไรให้เขาโกรธแค้นหรืออย่างไร? ทำไมถึงต้องจ้องจะขัดขวางข้าเช่นนี้?”
“ฮื่อ คุณชายอย่าได้พูดจาเช่นนั้น”
อวี้อู๋เฉียนสะดุ้งโหยงและกระซิบว่า “หากคำพูดเหล่านี้ล่วงรู้ไปถึงหูผู้อาวุโสชิว รับรองได้ว่าคุณชายถูกไล่ออกจากสำนักกระบี่เหินฟ้าแน่นอน…”
หลังจากหยุดชะงักไปเล็กน้อย ชายวัยกลางคนก็กล่าวต่อ “อันที่จริงนั้น เหตุผลไม่มีอะไรซับซ้อน คุณชายเซียวปิงน้องชายของท่านมีสายเลือดขั้นสูงสุด เมื่อได้เข้าสำนักจึงกลายเป็นคนโปรดของท่านเจ้าสำนักโดยทันที บรรดาสมุนไพรวิเศษและทรัพยากรทั้งหมดที่ควรจะถูกส่งมอบให้แก่หลานสาวของผู้อาวุโสชิวนั้น กลับตกเป็นของคุณชายเซียวปิงหมดสิ้น หลานสาวของท่านรองเจ้าสำนักมีนามว่าชิวลั่วเหยา นางเป็นคุณหนูน้อยที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก บัดนี้ ปู่กับหลานจึงรู้สึกไม่พอใจพวกท่านสองพี่น้องเป็นอย่างยิ่ง”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
หลินเป่ยเฉินเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
ที่ไหนมีผู้คน ที่นั่นย่อมมีความอิจฉาริษยา
“น่าเสียดายที่ข้ามีตำแหน่งต่ำต้อย จึงไม่สามารถกล่าวอะไรเพื่อคุณชายหลินได้เลย มีเพียงคุณชายเซียวปิงเท่านั้นที่พอจะช่วยออกหน้าแทนท่านได้บ้าง… ช่างน่าอาย ช่างน่าอายเหลือเกิน”
อวี้อู๋เฉียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจ
หลินเป่ยเฉินพูดว่า “ไม่เป็นไร ท่านลุงอวี้ ท่านอย่าได้โทษตนเองเลย ความจริงข้าก็รู้อยู่แล้วว่าท่านเป็นเพียงผู้อาวุโสระดับปลายแถวในสำนักเท่านั้น”
อวี้อู๋เฉียนกะพริบตาปริบ ๆ
ที่เขาพูดออกไปเช่นนั้นก็เพื่อตั้งใจจะปลอบโยนหลินเป่ยเฉินและไม่ได้หมายความตามที่พูดจริง ๆ สักหน่อย
“คุณชายรู้ได้อย่างไร?”
อวี้อู๋เฉียนถาม
“หากท่านเป็นผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งสูงส่ง สำนักกระบี่เหินฟ้าก็คงไม่ส่งท่านเข้าไปสำรวจบึงน้ำดำในป่าฝนเขียวหรอก ที่นั่นอันตรายจะตาย มีแต่พวกลูกสมุนชั้นปลายแถวเท่านั้นแหละที่ถูกส่งตัวเข้าไป”
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยสีหน้าร่าเริง
“ข้า…”
อวี้อู๋เฉียนแทบจะกระอักเลือดออกมาด้วยความช้ำใจตาย
หัวใจของเขาเหมือนถูกคมมีดกรีดแทง
อวี้อู๋เฉียนไม่อยากพูดคุยอีกต่อไป เพราะคำพูดของหลินเป่ยเฉินสามารถฆ่าคนได้จริง ๆ
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มและกล่าวต่อไปว่า “ท่านอย่าได้เป็นกังวลไปเลย ท่านลุงอวี้ยังหนุ่มยังแน่น อนาคตยังอีกยาวไกล ตอนนี้ท่านอาจจะมีตำแหน่งต่ำต้อย ไม่แน่ว่าอีกหน่อยอาจได้ไต่เต้าขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงส่งก็เป็นได้”
“ขอบคุณคุณชายที่ให้กำลังใจ”
อวี้อู๋เฉียนกล่าวด้วยความซาบซึ้ง
“ด้วยความยินดี… ว่าแต่ว่าในเมื่อข้ากำลังจะได้เริ่มฝึกวิทยายุทธ์แล้ว ท่านลุงอวี้ ไม่ทราบว่าพวกท่านแบ่งแยกขั้นพลังกันอย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินรีบล้วงข้อมูลทันทีที่มีโอกาส
อวี้อู๋เฉียนยังไม่หายเจ็บใจกับคำพูดของหลินเป่ยเฉิน แต่ก็ยังอธิบายด้วยความอดทนว่า “ในแดนมหาแผ่นดิน กลุ่มสำนักผู้ฝึกยุทธ์เช่นสำนักกระบี่เหินฟ้านั้น เราจะแบ่งขั้นพลังเป็นระดับชั้นตามนี้…จอมเทพระดับ 1 คือผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่ จอมเทพระดับ 2 คือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นผู้ชำนาญ จอมเทพระดับ 3 คือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยอดฝีมือ จอมเทพระดับ 4 คือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นคนเหนือคน จอมเทพระดับ 5 คือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเพชรยอดมงกุฎ… แน่นอนว่าในเมืองชิงอวี้ของพวกเรา มีผู้ที่สามารถบรรลุถึงขั้นจอมเทพระดับ 5 ได้ในจำนวนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น”
โฮะๆๆ ขั้นสูงสุดอยู่ที่ระดับ 5 เองหรือนี่
“แล้วบรรดายอดฝีมือในสำนักกระบี่เหินฟ้าขณะนี้มีพลังอยู่ในขั้นใดบ้างขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความอยากรู้
อวี้อู๋เฉียนตอบว่า “ผู้อาวุโสชิวเหิงสามารถบรรลุขั้นจอมเทพระดับ 4 ได้ตั้งแต่สองร้อยปีก่อน แม้จะยังขึ้นไม่ถึงขั้นจอมเทพระดับ 5 แต่ก็ถือเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองของสำนักเรา แม้จะทำตัวน่ารังเกียจในบางครั้ง แต่คุณชายก็ไม่อาจปฏิเสธความแข็งแกร่งของเขาได้เลย”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากเล็กน้อย “แล้วผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับหนึ่งล่ะขอรับ?”
“แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นท่านเจ้าสำนักหลิวอู่เหยียน ท่านสามารถบรรลุขั้นจอมเทพระดับ 5 ได้เมื่อร้อยปีก่อน และด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงได้ขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าสำนักของพวกเรา”
ข้อมูลครบถ้วนไม่มีขาดตกบกพร่อง
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ ก่อนกล่าวว่า “ท่านลุงอวี้ ข้าว่าท่านเป็นคนดีมากเลยนะ เหตุไฉนจึงต้องมาเป็นลูกสมุนคนอื่นเช่นนี้หนอ? หากท่านได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ เรื่องการฝึกวิทยายุทธ์ของข้าก็คงง่ายดายแล้ว”
อวี้อู๋เฉียนเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเศร้าสลดขึ้นมาในทันใด
“ข้าเองก็เคยคิดเช่นนี้เหมือนกัน… เฮ้อ แต่อดีตผ่านไปแล้ว ข้าไม่อยากพูดถึงมันอีก”
เขาถอนหายใจออกมา
หลินเป่ยเฉินได้ยินเช่นนี้ก็พอจะคาดเดาเรื่องราวบางอย่างได้เช่นกัน
ถ้าเดาไม่ผิด ตระกูลอวี้น่าจะไม่ใช่ตระกูลธรรมดา
หลินเป่ยเฉินพยายามหลอกถามข้อมูลต่อไป แต่อวี้อู๋เฉียนก็ไม่ยอมพูดอะไรอีกแล้ว
“จริงด้วยสิ ไม่นานมานี้สำนักของเราเกิดเหตุประหลาดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คุณชายหลิน ท่านพักอยู่ที่นี่อย่าได้ออกไปไหนเด็ดขาด หากมีเรื่องเดือดร้อนใด ก็ให้เรียกหาข้าได้ทุกเมื่อ”
ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนมอบแผ่นหยกสำหรับส่งข้อความให้แก่หลินเป่ยเฉิน เพื่อที่ยามใดหลินเป่ยเฉินตกอยู่ในอันตราย ขอแค่เขาทุบแผ่นหยกนี้ทิ้งเท่านั้น อวี้อู๋เฉียนก็จะได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือทันที
“เหตุประหลาดอันใดหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย
อวี้อู๋เฉียนกัดฟันตอบว่า “มีโจรร้ายออกอาละวาดน่ะสิ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าโจรร้ายผู้นี้เป็นใคร แต่ผู้อาวุโสหกคนในสำนักกระบี่เหินฟ้าถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ทรัพย์สินมีค่าในตัวถูกขโมยไปหมดสิ้น จนกระทั่งถึงบัดนี้ เราก็ยังจับตัวโจรร้ายผู้นี้ไม่ได้เลย”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทำไมเขาจึงนึกถึงใครบางคนขึ้นมาชอบกลแฮะ
อวี้อู๋เฉียนพลันผุดลุกขึ้นยืนและขอตัวอำลา “คุณชายเตรียมตัวให้พร้อมไว้เถอะ อีกสามวันหลังจากนี้ ข้าจะมารับตัวท่านไปเข้าร่วมการทดสอบ”