เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1544 ลอบโจมตี
ตอนที่ 1,544 ลอบโจมตี
นี่คือคำท้าทายที่อยู่นอกเหนือความคาดคิดของทุกคน
“สตรีนางนี้มีนามว่าชิวลั่วเหยา เป็นหลานสาวของผู้อาวุโสชิว”
อวี้อูู๋เฉียนกระซิบข้างหูหลินเป่ยเฉิน “ก่อนที่คุณชายเซียวปิงจะเข้าสำนักของเรา นางได้รับยกย่องให้เป็นยอดอัจฉริยะรุ่นใหม่อันดับหนึ่งแห่งสำนักกระบี่เหินฟ้ามาโดยตลอด ทรัพยากรที่ดีที่สุดของพวกเราเคยตกเป็นของนางมาก่อน”
เพราะแบบนี้เองสินะ
หลินเป่ยเฉินเข้าใจได้ไม่ยาก
สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่เซียวปิงซึ่งยังคงยืนรับประทานขาหมูทอดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวและไม่สนใจชายตามองชิวลั่วเหยาแม้แต่นิดเดียว
“เซียวปิง เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่?”
ชิวลั่วเหยาพูดเสียงแข็ง “หรือว่าเจ้ากลัว?”
“ถูกต้องแล้ว ข้ากลัว”
เซียวปิงพยักหน้าตอบรับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เจ้า…”
ชิวลั่วเหยาโกรธแค้นจนใบหน้าแดงก่ำ
ถึงกับยอมรับอย่างไร้ยางอายเชียวหรือ?
“หากเจ้ากลัวก็ลาออกไปจากสำนักกระบี่เหินฟ้าซะ สำนักเราไม่มีที่ยืนสำหรับคนขี้ขลาดอย่างเจ้า”
“ใช่ เจ้าจงไสหัวไปซะ”
“สำนักกระบี่เหินฟ้าไม่ต้อนรับคนขี้ขลาด”
ในกลุ่มผู้คน บรรดาศิษย์รุ่นใหม่ต่างก็อาศัยโอกาสนี้แสดงความไม่พอใจของตนเองออกมา นี่คือการเติมเชื้อไฟได้อย่างถูกจุด เพราะหลังจากนั้น ผู้คนก็พากันส่งเสียงพูดไปในทิศทางเดียวกัน
แต่หลินเป่ยเฉินสามารถบอกได้เลยว่านี่คือพฤติกรรมที่จัดเตรียมกันมาก่อนแล้ว
บรรดาศิษย์ที่แสดงความไม่พอใจต่างก็ร่วมมือกับชิวลั่วเหยา หรืออย่างน้อย พวกเขาก็พยายามประจบเอาใจชิวลั่วเหยาอยู่นั่นเอง
และความพยายามในการปลุกปั่นสถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าผู้อาวุโสใหญ่ระดับรองเจ้าสำนักอย่างชิวเหิงจะไม่รู้ไม่เห็น มิเช่นนั้น ศิษย์กลุ่มนี้จะกล้าก่อความวุ่นวายได้อย่างไร?
หลินเป่ยเฉินอ่านสถานการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
แต่หลังจากนั้น เขาก็หยุดชะงัก
เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ?
ทำไมเขาถึงคาดเดาทุกอย่างได้เช่นนี้ล่ะ?
ดูเหมือนเขาจะฉลาดขึ้นอีกแล้วสิ
“เซียวปิง ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์สำนักกระบี่เหินฟ้าไม่เคยหลบหนีคำท้าประลอง เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่ออกมาสู้จริง ๆ?”
ผู้อาวุโสชิวเหิงกล่าว “จงออกมาสู้กับชิวลั่วเหยาซะเถอะ ไม่ว่าเจ้าจะชนะหรือแพ้ แต่อย่างน้อยก็ถือว่ายังรักษาเกียรติภูมิของสำนักกระบี่เหินฟ้าเอาไว้”
เซียวปิงยังคงยืนรับประทานขาหมูทอดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อไป
“เซียวปิงเพิ่งบรรจุเข้าสำนักเราได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น และเพิ่งเริ่มฝึกวิชาจริงจังก็เมื่อสิบวันที่แล้วนี่เอง เขาจะไปเป็นคู่ต่อสู้กับชิวลั่วเหยาที่ฝึกวิชามาเป็นสิบปีได้อย่างไร?”
ท่านเจ้าสำนักหลิวอู่เหยียนกล่าว “เลื่อนการประลองของพวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ รอให้เซียวปิงมีขั้นพลังแข็งแกร่งกว่านี้ค่อยประลองกันอีกครั้งก็ยังไม่สาย”
น้ำเสียงของชายชราค่อนข้างอ่อนโยน
เนื่องจากต้องการให้เซียวปิงฝึกวิชาได้อย่างสงบราบรื่น ไม่ต้องตกเป็นจุดสนใจของผู้ใด เรื่องที่เด็กหนุ่มร่างอ้วนมีสายเลือดขั้นสูงสุดจึงถูกปกปิดเป็นความลับ นอกจากหลิวอู่เหยียน อวี้อูู๋เฉียนและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่อยู่ร่วมการตรวจสอบสายเลือดในวันนั้น ก็ไม่มีผู้ใดรับทราบถึงความจริงข้อนี้อีก แม้แต่สมาชิกระดับสูงในสำนักอย่างชิวเหิงก็ยังไม่ระแคะระคาย นี่เองจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผู้คนคิดอิจฉาริษยาเซียวปิง
“กราบเรียนท่านเจ้าสำนัก ผู้น้อยขอคัดค้าน” ชิวลั่วเหยากัดฟันกรอด เช็ดหน้าขึ้นและกล่าวว่า “ผู้น้อยจะปรับระดับพลังของตนเองลดลงมาให้เท่ากับขั้นพลังของเซียวปิง เราจะต่อสู้กันอย่างยุติธรรม อย่างน้อยนี่ก็จะเป็นการแสดงฝีมือให้ทุกคนได้เห็นว่าเซียวปิงสมควรถูกยกย่องเช่นที่ผ่านมาหรือไม่”
หลิวอู่เหยียนขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งเครียด
“ท่านเจ้าสำนักอย่าไปฟังที่นางพูด ข้าน้อยเพิ่งฝึกวิชาได้เพียงไม่กี่วัน ส่วนนางฝึกวิชามาเป็นสิบปี ต่อให้ปรับขั้นพลังลงมา ข้าก็ไม่มีทางเอาชนะนางได้อยู่แล้ว”
เซียวปิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เหตุผลง่าย ๆ ก็คือเขาไม่อยากต่อสู้
“เฮอะ เซียวปิง เจ้านี่มันช่างขี้ขลาดตาขาวเสียจริง หากเจ้ากลัว เจ้าก็จงออกมายอมรับต่อหน้าทุกคนซะว่าเจ้าสู้ข้าไม่ได้… แล้วข้าจะไม่บังคับเจ้าอีก”
ชิวลั่วเหยายิ้มเหยียดหยาม
หลิวอู่เหยียนค่อย ๆ กล่าวออกมาว่า “ปิงเอ๋อร์ เจ้าออกไปประลองกับศิษย์พี่ชิวเถอะ ผลการประลองเป็นอย่างไรค่อยว่ากันอีกที”
“ข้าน้อยไม่อยากประลองขอรับ”
เซียวปิงส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ประลองไม่ได้”
หลิวอู่เหยียนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เหตุผลสำคัญก็คือหากเซียวปิงปฏิเสธคำท้าประลองเช่นนี้ต่อไป ภาพลักษณ์ของเด็กหนุ่มก็จะเสื่อมเสีย ทำให้การสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักกระบี่เหินฟ้าในอนาคตอาจมีปัญหาขึ้นมาได้
“ไม่ได้หรือขอรับ?”
เซียวปิงลดขาหมูทอดลงจากริมฝีปากและถามว่า “ท่านเจ้าสำนักอยากให้ข้าออกไปประลองจริงหรือ?”
“ถูกต้องแล้ว”
หลิวอู่เหยียนตอบเสียงดังฟังชัดเจน
เซียวปิงถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย “กราบเรียนท่านเจ้าสำนัก ข้าไม่ได้กลัวว่าตนเองจะบาดเจ็บ แต่ข้ากลัวว่าตนเองจะเผลอสังหารศิษย์พี่ชิวต่างหาก”
“สามหาว”
ชิวเหิงหัวเราะในลำคอเย้ยหยัน
“เฮ้อ ทำไมถึงไม่เชื่อกันบ้างเลยนะ”
เซียวปิงเดินเข้าสู่ลานประลองอย่างช้า ๆ และวางขาหมูทอดลงไปบนโต๊ะหินที่อยู่ด้านข้างอย่างทะนุถนอม
“ก็ได้ งั้นพวกเรามาประลองกันเลย”
เขากวักมือเรียกชิวลั่วเหยา “ท่านรีบโจมตีเข้ามา เดี๋ยวขาหมูทอดของข้าจะเย็นชืดหมด”
ให้ตายสิ
ช่างโอหังเหลือเกิน
ชิวลั่วเหยาระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะเผลอสังหารข้าได้อย่างไร”
ชิวลั่วเหยาหัวเราะเยาะและโคจรพลังลมปราณ ลำแสงสีเงินแผ่ออกมาครอบคลุมร่างกาย และเมื่อนางตวัดขาเตะ ลำแสงสีเงินนั้นก็พุ่งเข้าไปหาเซียวปิงไม่ต่างจากคมหอกแหลมคม
มวลอากาศปั่นป่วน
เซียวปิงยังคงยืนกอดอกไม่หลบหนี
ตู้ม!
คลื่นพลังระเบิดตัว
มวลอากาศปั่นป่วนรอบทิศทาง บรรดาลูกศิษย์รุ่นใหม่ที่ยืนรับชมการประลองอยู่ด้านข้างต้องซวนเซถอยหลัง สีหน้าแปรเปลี่ยนไป
เซียวปิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหว
ชิวลั่วเหยาชักสีหน้าด้วยความเดือดดาล พยายามโจมตีต่อไปด้วยกระบวนท่าหมัดเท้า ลำแสงสีเงินพุ่งเข้าหาเซียวปิงยิ่งกว่าฝนดาวตก
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
คลื่นพลังระเบิดตัวอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปสี่ลมหายใจ
เงาร่างของผู้คนก็แยกออกจากกัน
“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก…”
ชิวลั่วเหยายืนตัวงอหอบหายใจ หน้าอกภูเขาไฟไหวกระเพื่อมขึ้นลง มุมปากมีโลหิตไหลซึมออกมา ดวงตาของนางจ้องมองไปที่เซียวปิงด้วยความเคียดแค้น “เจ้า… เจ้าแข็งแกร่ง… ถึงขั้นนี้ได้อย่างไร… เจ้าเพิ่งเข้าสำนักเราไม่ใช่หรือ? เหตุไฉนจึงมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 3 แล้ว…”
ชิวลั่วเหยาตกตะลึงและไม่อยากยอมรับความจริง
เด็กหนุ่มร่างอ้วนมีร่างกายที่แข็งแกร่งมากเกินไป ยากต่อการโจมตีได้สำเร็จ
เซียวปิงปัดเศษดินออกไปจากแขนเสื้อด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าอ่อนแอมากเกินไป เอาเวลาที่เหลือหลังจากนี้ไปตั้งใจฝึกฝนวิชาดีกว่านะ อย่ามาท้าประลองกับข้าให้เสียเวลาอีกเลย”
เขาหมุนตัวเดินกลับไปที่โต๊ะหินและหยิบขาหมูทอดขึ้นมารับประทาน
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
บรรดาศิษย์รุ่นใหม่ของสำนักกระบี่เหินฟ้ายืนปากอ้าตาค้างด้วยความตกตะลึง
เด็กหนุ่มร่างอ้วนผู้นี้เพิ่งบรรจุเข้าสำนักของพวกเขาได้ไม่เกินหนึ่งเดือนไม่ใช่หรือ? เหตุไฉนจึงมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้? เพียงต่อสู้ไม่กี่กระบวนท่า… ศิษย์พี่ชิวก็ต้องพ่ายแพ้เสียแล้ว!
หลิวอู่เหยียนดีใจจนพูดอะไรไม่ออก
นี่สินะสายเลือดขั้นสูงสุดที่แท้จริง
เวลาเพียงหนึ่งเดือน เท่ากับผู้อื่นฝึกฝนนับสิบปี
ชิวเหิงผู้เป็นรองเจ้าสำนักที่ยืนอยู่ด้านข้างตัวสั่นเทา ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ บัดนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดท่านเจ้าสำนักถึงดูแลเอาใจใส่เจ้าหนุ่มอ้วนผู้นี้เสียจริง ด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้ เกรงว่าคงจะต้องเป็นผู้ที่มีสายเลือดขั้นสูงสุดอย่างแน่นอน
ไม่ต้องแปลกใจที่เหยาเอ๋อร์จะพ่ายแพ้
แต่เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ ชายชราก็ได้ยินเสียงหลิวอู่เหยียนคำรามออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “บัดซบ… หยุดมือให้กับเรา!”
ชิวเหิงตื่นตกใจ
เมื่อเงยหน้ามอง เขาก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม
เพราะบนลานประลอง ใบหน้าของชิวลั่วเหยาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น นางอัญเชิญกระบี่ธาตุแท้ออกมาจากใต้วงแขนของตนเอง และเมื่อโคจรพลังลมปราณเข้าไป หญิงสาวก็ฟันกระบี่ใส่แผ่นหลังของเซียวปิงโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้มีเวลาตั้งตัว
“แย่แล้ว”
ชิวเหิงรีบพลิ้วกายเข้าสู่ลานประลองโดยทันที
แต่หลิวอู่เหยียนรุดหน้าไปเร็วมากกว่าเขาหนึ่งก้าวและถึงกับระเบิดพลังออกมาแล้ว
ตู้ม!
คลื่นพลังระเบิดตัวในอากาศ
ร่างของผู้คนกระเด็นออกจากกัน
ครืน!
มวลอากาศปั่นป่วน
เสียงร้องอุทานดังขึ้นรอบลานประลอง คลื่นพลังแผ่กระจายไปรอบทิศทาง ลูกศิษย์บางคนที่มีขั้นพลังต่ำต้อยทนรับไม่ไหวต้องกลิ้งกระเด็นไปตามแรงกระแทกของคลื่นพลังนั้น
แล้วคลื่นพลังก็สลายตัวลงไป
ทุกอย่างในลานประลองยังคงหยุดนิ่ง
ทันใดนั้น ดวงตาของหลินเป่ยเฉินผู้ยืนรับชมอยู่ด้านข้างก็เป็นประกายวาวโรจน์ด้วยจิตสังหารแรงกล้า!