เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1552 เขาเนี่ยนะท่านประมุข
ตอนที่ 1,552 เขาเนี่ยนะท่านประมุข
“หากตงฟางติงประมุขคฤหาสน์เซินซุยอยู่แถวนี้จริง ๆ พวกเราเจอปัญหาใหญ่แน่”
อวี้อู๋เฉียนกระซิบแผ่วเบา “คนผู้นี้น่าจะมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 5 เช่นกัน ก่อนที่เขาจะมาถึง พวกเรารีบหนีกันก่อนดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “ข้ากลัวซะที่ไหน… รอให้เขามาจริง ๆ เถอะ เดี๋ยวข้าจะบดขยี้เขาให้ท่านลุงดูเอง”
เด็กหนุ่มกล่าวด้วยความมั่นใจ
เขาเคยพบตงฟางติงมาแล้วที่นอกชายป่าฝนเขียวและสิ่งแรกที่จดจำได้เกี่ยวกับชายชราผู้นี้ก็คือ ตงฟางติงเป็นคนบอกให้ผ่าท้องพวกเขา เพื่อนำผลเซียนเหนือฟ้าออกมา…
หากชายชรากล้ามาที่นี่ หลินเป่ยเฉินก็เตรียมปืน AK47 เอาไว้รอต้อนรับอยู่แล้ว
อีกอย่าง บุคคลระดับประมุขเช่นนี้ น่าจะพกของมีค่าติดตัวอยู่ไม่น้อย
อวี้อู๋เฉียนพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป
นี่คือความคิดที่บ้าระห่ำมากเกินไป
“ประเด็นสำคัญก็คือใบไม้คืนวิญญาณชนิดนี้ ท่านลุงเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
อวี้อู๋เฉียนตอบด้วยการส่ายหน้า “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ดูเหมือนมันจะเป็นสิ่งของที่มาจากภพภูมิอื่น”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น ก่อนจะหันหน้าไปมองสองศรีพี่น้อง หัวใจกระตุกวูบขณะออกคำสั่งว่า “ท่านลุงอวี้ ข้าจะให้โอกาสท่านได้ประพฤติตนเป็นคนดี ไปดูเด็กชายผู้นั้นหน่อยว่าได้รับบาดเจ็บหนักเพียงใดและทำการรักษาให้เขาด้วย…”
“แล้วคุณชายเล่า?”
อวี้อู๋เฉียนถามกลับมา
“ข้าก็ต้องไปดูแลพี่สาวของเขาน่ะสิ”
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านลุงไม่เห็นหรืออย่างไร? นางถูกพวกลูกสมุนของหนานกงอันจื่อข่มขู่จนขวัญเสียไปหมดแล้ว หน้าที่ของข้าคือปลอบประโลมนางให้กลับมามีจิตใจสงบลงอีกครั้ง”
กล่าวจบ หลินเป่ยเฉินก็เดินตรงเข้าไปหาเด็กสาวผิวขาวผู้นั้น
อวี้อู๋เฉียนถามไล่หลังไปว่า “ทำไมไม่ให้ข้าไปปลอบโยนนางบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามโดยไม่ต้องเหลียวมองกลับมา “ท่านลุงอวี้ ท่านนี่มันไม่รู้จักประเมินตนเองเลยจริง ๆ ท่านอัปลักษณ์ถึงเพียงนี้ มีแต่จะทำให้นางขวัญเสียมากขึ้นก็เท่านั้น”
อวี้อู๋เฉียนใบหน้ากระตุก
เขามั่นใจว่าตนเองไม่ได้มีหน้าตาอัปลักษณ์สักหน่อย
แต่อวี้อู๋เฉียนก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า ตนเองไม่สามารถแข่งขันด้านความหล่อเหลากับคุณชายหลินเป่ยเฉินได้เลย
ดังนั้น ชายวัยกลางคนจึงเข้าไปช่วยเหลือเด็กชายและรักษาอาการบาดเจ็บให้โดยเร็ว แม้เด็กชายจะได้รับบาดเจ็บค่อนข้างหนัก แต่ก็ใช่ว่าจะรักษาไม่ได้ อวี้อู๋เฉียนนำโอสถรักษาอาการบาดเจ็บประจำสำนักกระบี่เหินฟ้าออกมาให้เด็กชายรับประทาน หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ถ่ายเทพลังปราณปรับสมดุลในร่างกาย
ใบหน้าซีดขาวของเด็กชายจึงเริ่มกลับมามีสีเลือดฝาดอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ เด็กสาวผู้เป็นพี่สาวของเขาก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจและขอบคุณผู้ช่วยเหลือครั้งแล้วครั้งเล่า
หลินเป่ยเฉินย่อกายลงและถามพร้อมกับยิ้มกว้าง “น้องสาว ช่วยบอกข้าหน่อยสิว่าใบไม้คืนวิญญาณสามารถชุบชีวิตคนตายได้หรือไม่?”
เด็กสาวผิวขาวกลับมาได้สติแล้ว นางไม่ได้ประหม่าเหมือนก่อนหน้านี้ จึงพยักหน้า ตอบอย่างแช่มช้าว่า “มัน… ไม่สามารถชุบชีวิตคนตายได้เจ้าค่ะ แต่มันสามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณในร่างกาย และก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของโอสถสมานวิญญาณด้วยเช่นกัน นับเป็นวัตถุดิบที่หาได้ยากยิ่ง…”
อ้อ เข้าใจแล้ว
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างใช้ความคิด
และอดรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้
ดูเหมือนใบไม้คืนวิญญาณใบนี้จะไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเสียทีเดียว
แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและเป็นเบาะแสที่สำคัญมาก
“พี่ชาย… ท่านพี่ ท่านช่วยมอบ… ใบไม้ใบนี้ให้กับเราได้หรือไม่ เราต้องการมันจริง ๆ พวกเรา…”
เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้
แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของนางจริง ๆ นั่นยิ่งทำให้เด็กสาวดูน่าสงสารและน่าเวทนามากยิ่งขึ้น ต่อให้มีหัวใจหยาบกระด้างดั่งหินผา หัวใจก็ต้องหลอมละลายลงบ้างแล้ว
หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมา
“หากเป็นผู้อื่นมาพูดเช่นนี้ ข้าคงปฏิเสธโดยไม่ลังเล แต่ในเมื่อน้องสาวเป็นคนพูดออกมาเอง คำตอบของข้านั้นก็คงต้องบอกว่า…” เด็กหนุ่มหยุดชะงัก
ดวงตาของเด็กสาวเป็นประกายระยิบระยับด้วยความคาดหวัง
“คำตอบก็คือ… ไม่”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจเด็ดขาดฉับไวไม่ลังเล
ใบไม้คืนวิญญาณก็มีความสำคัญกับเขาเช่นกัน
จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด
เด็กสาวผิวขาวมีท่าทางงงงวย นางคิดว่าตนเองหูฝาดไป
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนแล้วหันไปหาเจ้าของร้านขายสมุนไพร “เถ้าแก่ ร้านท่านมีใบไม้คืนวิญญาณอยู่ทั้งหมดกี่ใบ?”
เจ้าของร้านสวมใส่เสื้อคลุมปิดบังหน้าตา เสียงที่แหบแห้งตอบกลับมาว่า “มีเพียงใบเดียวเท่านั้น”
“ท่านได้มาจากที่ใด?”
หลินเป่ยเฉินสอบถามต่อเนื่อง
เจ้าของร้านขายสมุนไพรตอบว่า “ได้มาจากภพภูมิอื่นและได้มาด้วยความบังเอิญ ไม่สามารถหามาได้อีกแล้ว”
“ท่านกำลังหลอกข้าอยู่ใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย
เจ้าของร้านหยุดพูดอย่างกะทันหัน
“ข้าต้องการใบไม้ใบนี้”
หลินเป่ยเฉินชูใบไม้คืนวิญญาณในมือขึ้นสูงและหันหน้ามาทางด้านข้าง “ท่านลุงอวี้ ช่วยมาจ่ายเงินด้วยขอรับ”
อวี้อู๋เฉียนเดินหน้าบึ้งเข้ามาโยนเงินสิบตำลึงลงบนผ้าปูสีดำบนพื้นดิน
เขารู้ดีอยู่แล้วว่าตนเองต้องเป็นคนจ่าย
“ไม่พอ”
เจ้าของร้านกล่าวเสียงแหบ เห็นได้ชัดว่านี่คือการดัดเสียง
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต “ข้าขอแนะนำให้ท่านประพฤติตนดี ๆ หน่อย… ในเมื่อสองพี่น้องคู่นั้นซื้อหาได้ในราคาสิบตำลึงเงิน แล้วทำไมข้าจะซื้อในราคานั้นไม่ได้?”
เจ้าของร้านตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “มูลค่าของสินค้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวสินค้า แต่ขึ้นอยู่กับผู้ซื้อหาต่างหาก”
“อ้อ ที่แท้ท่านก็ต้องการขูดเลือดขูดเนื้อข้านี่เอง”
หลินเป่ยเฉินยกปืนในมือขึ้นเล็งไปที่เจ้าของร้านและกล่าวว่า “ท่านแน่ใจแล้วใช่หรือไม่?”
แม้ผู้อื่นจะมองไม่เห็นปืนในมือของหลินเป่ยเฉิน แต่พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังกดดันจากการกระทำของเด็กหนุ่ม
เพราะทุกคนล้วนเห็นว่าหลินเป่ยเฉินทำท่าทางเช่นนี้เองก่อนที่จะปลิดชีพหนานกงอันจื่อ
เจ้าของร้านนิ่งเงียบไปในทันใด ก่อนตอบว่า “เพียงพอแล้ว”
หลินเป่ยเฉินลดปืนในมือลง “ประเสริฐ”
เขากำลังจะหมุนตัวเดินออกมา
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่ดังขึ้น เช่นเดียวกับเสียงของชายเสื้อปะทะสายลม
“ประมุขคฤหาสน์เซินซุยมาแล้ว”
ใครบางคนอุทานออกมา
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้ยินเสียงฮือฮาดังขึ้นรอบกาย กลุ่มคนผู้รับชมเหตุการณ์โดยรอบรีบถอยหลังออกไป เจ้าของร้านขายของที่อยู่ใกล้เคียงถึงกับม้วนผ้าปูและหอบข้าวของวิ่งหนีไปทันที ราวกับกลัวว่าหากหลบหนีช้าเกินไป ตนเองก็อาจจะถูกลูกหลงเข้าก็เป็นได้
ท่านประมุขคฤหาสน์เซินซุย!
ตำแหน่งนี้มีอิทธิพลใหญ่หลวง
เพราะนี่คือหนึ่งในผู้นำสำนักยุทธ์ระดับสูงสุดของเมืองชิงอวี้
ผู้คนจำนวนมากหันมาจ้องมองที่หลินเป่ยเฉิน
คล้ายกับคิดว่าเด็กหนุ่มพบเจอเคราะห์หนักเข้าให้เสียแล้ว
“ถอยไป ถอยไปให้หมด…”
“ไสหัวไปซะ อย่ามาขวางทางพวกข้า”
“ท่านประมุขมาถึงแล้ว”
บรรดาศิษย์ของคฤหาสน์เซินซุยทำหน้าที่เปิดทางด้วยความหยิ่งผยอง ผู้คนที่ยืนขวางทางถูกผลักไสออกไป บางคนเชื่องช้ามากเกินไป ถึงกับถูกฝักกระบี่ฟาดใส่จนผิวหนังบวมช้ำ ต้องร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวด…
หลังจากนั้น เกี้ยวสีแดงหลังหนึ่งที่มีผู้แบกหามเป็นยอดฝีมือขั้นจอมเทพระดับ 3 ก็ร่อนลงมาจอดบนพื้นดินอย่างนุ่มนวล
“ท่านประมุขมาถึงแล้ว”
หญิงสาวหน้าตางดงามสองคนทำหน้าที่โปรยปรายกลีบดอกไม้หน้าเกี้ยวสีแดงหลังนั้น กลิ่นบุปผาหอมฟุ้ง บรรยากาศผ่อนคลายลงทันที
สมแล้วที่เป็นคนใหญ่คนโตในยุทธจักร
“ได้ยินว่ามีผู้เสียสติไม่กลัวตายฆ่าคนของคฤหาสน์เราไปถึงสองคนใช่หรือไม่? พวกมันเป็นใคร? ไสหัวออกมาพบหน้าเราเดี๋ยวนี้”
น้ำเสียงที่ดุร้ายและเหี้ยมโหดดังออกมาจากด้านในเกี้ยวสีแดง
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
เพราะนี่ไม่ใช่เสียงของตงฟางติง
หลินเป่ยเฉินก้าวเดินออกไปข้างหน้าพร้อมกับกล่าวว่า “เป็นข้าเอง”
บุคคลที่อยู่ภายในเกี้ยวเงียบงันไปเล็กน้อย แล้วม่านหน้าประตูเกี้ยวก็ถูกเลิกขึ้น ใบหน้าที่มีเคราสามแฉกยื่นออกมาด้วยความคุ้นเคย “เป็นนายน้อยเองหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตะลึงลาน
หวัง… หวังจง?
อย่าบอกนะว่าตาเฒ่านี่ได้ขึ้นเป็นประมุขคฤหาสน์เซินซุยแล้ว?
มิเช่นนั้น หวังจงจะเข้าไปอยู่ในเกี้ยวหลังนี้ได้อย่างไร?