เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1556 เทียบเชิญทองคำบริสุทธิ์
ตอนที่ 1,556 เทียบเชิญทองคำบริสุทธิ์
ภูเขาอวิ๋นเจวี่ยนเปรียบเสมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกยุทธ์ เป็นสถานที่ซึ่งไม่ต้องมีรั้วรอบขอบชิดหรือกำแพงสูงปิดกั้น ที่นี่เป็นจุดศูนย์รวมของผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองชิงอวี้ ทั้งยังเป็นแหล่งรวบรวมผู้คนที่มีความสามารถในด้านต่าง ๆ อีกมากมาย…
สถานที่นัดพบขององค์ชายเจี้ยนอวี่ตั้งอยู่ห่างจากสำนักเฉาเทียนประมาณสองลี้มีชื่อเรียกขานว่าหอสุราซานซิง
ที่นี่เป็นหอสุราสูงสี่ชั้นตั้งอยู่ในอาณาเขตภูเขาอวิ๋นเจวี่ยนและได้รับการสนับสนุนด้านกิจการโดยกลุ่มคนจากวังถ้ำเซียน
สถานที่นี้จึงไม่ธรรมดา
ผู้ที่จะเหยียบเท้าเข้ามายังหอสุราแห่งนี้ได้ จึงต้องเป็นผู้ที่มีสถานะยอดคนยอดฝีมือเท่านั้น
แต่ในฐานะที่เป็นศิษย์รุ่นใหม่ผู้ถูกยกย่องเป็นอย่างสูงในวังถ้ำเซียน องค์ชายเจี้ยนอวี่จึงได้มานั่งกินเลี้ยงอยู่ในห้องรับรองชั้นพิเศษของหอสุราซานซิง
เมื่อหลินเป่ยเฉินกับเซียวปิงไปถึงที่หมายพร้อมกัน พวกเขาก็พบว่าองค์ชายเจี้ยนอวี่กับหลงหน่า เด็กสาวผู้มีรอยสักมังกรได้มายืนรออยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าคาดหวังระคนตื่นเต้นอยู่ก่อนแล้ว
องค์ชายเจี้ยนอวี่ได้รับการดูแลจากวังถ้ำเซียนเป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังสวมกอดสหายเก่าจากแผ่นดินตงเต้าด้วยความอบอุ่นดังเดิม
“พี่หลิน น้องเซียว เชิญ”
องค์ชายเจี้ยนอวี่สวมใส่ชุดเกราะหนังสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งเป็นเครื่องแบบขั้นพื้นฐานของวังถ้ำเซียน เขายังมีร่างกายที่สูงโปร่ง ใบหน้าที่หล่อเหลา ลักษณะสง่างาม
หลงหน่าสวมใส่ชุดเกราะสำหรับสตรีสีทองคำ บนชุดเกราะประดับด้วยเส้นไหมสีทองคำเป็นประกายระยิบระยับ ชุดเกราะปกปิดส่วนสำคัญของร่างกายได้ทั้งหมด เหลือแต่เพียงเอวขาวอรชรกับต้นขาเพรียวยาวเท่านั้นที่เปิดเผยต่อสายตาของผู้คน สองเท้าของเด็กสาวห่อหุ้มด้วยรองเท้าบู๊ตทองคำ นับเป็นชุดเกราะที่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากพอ ๆ กับการออกแบบที่งดงามชวนมอง
หลินเป่ยเฉินต้องยอมรับเลยว่าผ่านไปเพียงไม่นาน หลงหน่าดูจะเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว นางมีสง่าราศีบางประการที่ทำให้ผู้คนต้องเคารพเลื่อมใส
แต่ถึงกระนั้น หลงหน่าก็ยังคงยืนอยู่ด้านหลังองค์ชายเจี้ยนอวี่ไม่เปลี่ยนแปลง นางยังทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์องค์ชาย แม้ว่าบัดนี้หลงหน่าจะมีสถานะเป็นถึงทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าพรรควารีพิฆาต แต่เด็กสาวก็ยังคงยึดถือองค์ชายเจี้ยนอวี่เป็นศูนย์กลางชีวิตของตนเองดังเดิม
และบรรดาผู้ที่เดินทางมาจากแผ่นดินตงเต้าด้วยกันอย่างอากวงกับเสี่ยวหู พวกมันต่างก็บอกว่าต้องเก็บตัวให้พร้อมสำหรับการประลองในวันพรุ่งนี้จึงไม่สามารถมาร่วมกินเลี้ยงได้ ทางด้านเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็หายตัวไปแทบจะทันทีที่มาถึงภูเขาอวิ๋นเจวี่ยน ส่วนหวังจงก็บอกว่ามีธุระสำคัญต้องรีบไปจัดการ จึงปฏิเสธคำเชิญจากองค์ชายเจี้ยนอวี่ ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ที่มารวมตัวกันยังหอสุราซานซิงจึงมีเพียงสี่คนเท่านั้นคือ หลินเป่ยเฉิน เซียวปิง องค์ชายเจี้ยนอวี่และหลงหน่า
ครั้งนี้ นับว่าองค์ชายเจี้ยนอวี่ทุ่มไม่อั้นจริง ๆ
นอกจากเขาจะสั่งอาหารที่มีรสชาติอร่อยและช่วยเสริมสร้างพลังปราณในร่างกายแล้ว องค์ชายเจี้ยนอวี่ยังใช้บริการนางรำและนักดนตรีอีกชุดใหญ่ บรรยากาศในห้องอาหารของพวกเขาจึงรื่นเริงเป็นอย่างยิ่ง
องค์ชายเจี้ยนอวี่เกิดในตระกูล ‘ผู้สูงศักดิ์’ จึงได้รับความบันเทิงเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร เพราะฉะนั้น เขาจึงรับชมการแสดงอย่างมีความสุขยิ่งนัก
และเซียวปิงก็มีความสุขไม่ต่างกัน สายตาของเด็กหนุ่มร่างอ้วนจ้องมองแขนสีชมพูและขาเรียวยาวของนางรำเหล่านั้น ราวกับได้เห็นประตูแห่งโลกใบใหม่ถูกเปิดออก…
สายตาของเซียวปิงมีความตื่นเต้นมากเสียยิ่งกว่าตอนฝึกวิชากับอากวงในอดีตเสียอีก
หลินเป่ยเฉินถึงกับหยุดชะงักด้วยความไม่เข้าใจ
เหตุไฉนเขาจึงกลายเป็นผู้ที่มีสติมากที่สุด ในขณะที่สหายของเขากลายเป็นบุคคลผู้ลุ่มหลงในสุรานารีกันไปหมดแล้ว?
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาก็ต้องรับศึกหนักคนเดียวเลยน่ะสิ
หลงหน่านั่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่ด้านหลังองค์ชายเจี้ยนอวี่ นางไม่พูดอะไรสักคำ เวลาเดียวที่นางลุกขึ้นมาก็คือการรับถ้วยสุราจากคำเชิญของหลินเป่ยเฉิน
หลงหน่าไม่ได้รับถ้วยสุราจากหลินเป่ยเฉินเพราะอยากจะประจบเอาใจเขา แต่เป็นเพราะหลินเป่ยเฉินเคยช่วยเหลือองค์ชายเจี้ยนอวี่ของนางเอาไว้หลายครั้ง การรับสุราจึงเป็นวิธีที่แสดงออกถึงความเคารพซึ่งหลงหน่าสามารถกระทำได้อย่างสะดวกใจมากที่สุด
แม้ตลอดชีวิตของนาง หลงหน่าไม่เคยคิดเกินเลยกับองค์ชายเจี้ยนอวี่เลยสักครั้ง นางเพียงรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของตนเองที่จะต้องดูแลองค์ชายให้ดีที่สุด
ระหว่างงานเลี้ยง องค์ชายเจี้ยนอวี่ดื่มสุราเพื่อแสดงความเคารพต่อหลินเป่ยเฉินถ้วยแล้วถ้วยเล่า
แม้แต่บรรดานางรำที่มาทำการแสดงก็ยังดูออกว่าเด็กหนุ่มผู้สวมใส่เสื้อผ้าราบเรียบธรรมดาผู้นี้คือแขกคนสำคัญที่แท้จริง และบางครั้ง พวกนางก็แอบชะม้ายชายตาให้แก่หลินเป่ยเฉินด้วยเช่นกัน…
แต่บรรยากาศที่รื่นเริงนี้กลับถูกขัดจังหวะลงกลางคัน
“พี่ใหญ่ขอรับ มีคนจากสำนักเฉาเทียนอยากเข้าพบท่าน บัดนี้ นางกำลังรออยู่ทางด้านนอก”
ศิษย์ของวังถ้ำเซียนคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน
“คนของสำนักเฉาเทียนอย่างนั้นหรือ?”
องค์ชายเจี้ยนอวี่หยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “ให้นางเข้ามา”
สำนักเฉาเทียนเปรียบเป็นสำนักยุทธ์อันดับหนึ่งของเมืองชิงอวี้ และบัดนี้ พวกเขาก็กำลังอยู่ในเขตแดนของสำนักเฉาเทียน จึงสมควรต้องไว้หน้าเจ้าบ้านอยู่บ้าง
คนจากสำนักเฉาเทียนที่มาขอเข้าพบนั้นเป็นสตรีที่สวมใส่เสื้อผ้าบุรุษ ใบหน้าของนางงดงามไร้ที่ติ องค์ประกอบบนใบหน้าลงตัวสมบูรณ์แบบ คิ้วเข้มเต็มไปด้วยสง่าราศี บุคลิกท่าทางราวกับผู้มาจากตระกูลสูงศักดิ์
นางคำนับต่อองค์ชายเจี้ยนอวี่อย่างสุภาพอ่อนน้อม ก่อนจะประคองเทียบเชิญแผ่นหนึ่งยื่นส่งออกมาด้วยสองมือและกล่าวสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ผู้ต่ำต้อยมีนามว่าเจียงซื่อ คืนนี้นายท่านของพวกเราจัดงานเลี้ยงอยู่ที่หอสุราเติ้งเทียน มีการเชิญตัวแทนจากทุกสำนักเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยเจ้าค่ะ และนี่ก็คือเทียบเชิญของคุณชาย”
“งานเลี้ยงที่หอสุราเติ้งเทียน?”
องค์ชายเจี้ยนอวี่เอื้อมมือรับเทียบเชิญมาดูและพบว่ามันเป็นเทียบเชิญที่จัดทำขึ้นมาจากแผ่นทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในแดนมหาแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้ องค์ชายเจี้ยนอวี่จึงหยุดชะงักเล็กน้อย “เพียงดูเทียบเชิญก็ทราบแล้วว่าไม่ธรรมดา ไม่ทราบว่านายท่านของเจ้าเป็นผู้ใดหรือ?”
เจียงซื่อยิ้มแย้มอย่างอ่อนหวาน ตอบว่า “นายท่านของผู้ต่ำต้อยมีนามว่าอวี้เหวินซิวเซียนเจ้าค่ะ”
เป็นเขาเองหรือ?
สีหน้าขององค์ชายเจี้ยนอวี่เคร่งขรึมขึ้นทันที
แม้ชื่อเสียงของอวี้เหวินซิวเซียนอาจจะไม่โด่งดังมากนักในวงกว้าง แต่สำหรับกลุ่มศิษย์ระดับสูงในสำนักต่าง ๆ ย่อมไม่มีผู้ใดไม่รู้จักอวี้เหวินซิวเซียน
เพราะเขาคือศิษย์อันดับหนึ่งแห่งสำนักเฉาเทียน
ในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา อวี้เหวินซิวเซียนได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์รุ่นใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองชิงอวี้ นับตั้งแต่ที่ปรากฏตัวขึ้นมา เขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้ในการประลองตลอดร้อยสามสิบครั้ง! อวี้เหวินซิวเซียนได้รับการขนานนามให้เป็นบุตรแห่งชิงอวี้ พละกำลังแข็งแกร่งไร้เทียมทาน พลังปราณแกร่งกล้าเกินหน้าเกินตาผู้อาวุโสรุ่นเก่าหลายเท่า
และยังมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเมืองชิงอวี้อีกว่า ตัวจริงของอวี้เหวินซิวเซียนนอกจากมีหน้าตาหล่อเหลาแล้ว ยังมีกิริยามารยาทอ่อนน้อมถ่อมตน แม้แต่ผู้ที่เป็นศัตรูก็ยังต้องให้ความเคารพอยู่หลายส่วน นับเป็นบุรุษในฝันของหญิงงามจำนวนมาก
สามารถสรุปความยอดเยี่ยมของอวี้เหวินซิวเซียนได้ว่า…
ในโลกนี้อาจไม่มีผู้คนที่สมบูรณ์แบบอยู่ก็จริง แต่อวี้เหวินซิวเซียนเกินขีดจำกัดของความสมบูรณ์แบบนั้นไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง อวี้เหวินซิวเซียนจึงได้รับความเคารพจากผู้ฝึกยุทธ์รุ่นใหม่เป็นอย่างสูง
เพียงแต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อวี้เหวินซิวเซียนเลือกที่จะเก็บตัวเงียบอยู่ในเงามืด เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ ได้สร้างชื่อเสียงขึ้นมา
เมื่อได้รับเทียบเชิญจากบุคคลเช่นนี้ องค์ชายเจี้ยนอวี่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นท่านประมุขหรือศิษย์พี่ร่วมสำนัก เวลาพูดถึงอวี้เหวินซิวเซียนให้องค์ชายหนุ่มรับฟัง พวกเขาก็มักจะบอกเสมอว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้คือยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองชิงอวี้อย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้น งานเลี้ยงระดับสูงเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปให้ได้
เพราะมันจะส่งผลโดยตรงต่อเส้นทางอำนาจในอนาคตหลังจากนี้
ทว่า…
องค์ชายเจี้ยนอวี่หันมามองที่หลินเป่ยเฉินและพรรคพวกคนอื่น ๆ ด้วยความลังเลใจ “แต่ว่าข้ากำลังเลี้ยงรับรองสหายของข้าอยู่…”
เจียงซื่อยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันไปค้อมศีรษะให้แก่เซียวปิงและยื่นส่งเทียบเชิญทองคำบริสุทธิ์ให้อีกหนึ่งใบ “คุณชายเซียวปิงเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักกระบี่เหินฟ้า ย่อมต้องมีรายชื่อเป็นแขกในงานเลี้ยงอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากนั้น นางก็หันไปที่เด็กสาวผู้มีรอยสักมังกรหลงหน่าและยื่นส่งเทียบเชิญให้เช่นกัน “แม่นางหลงจากพรรควารีพิฆาตก็อยู่ในรายชื่อแขกเช่นกัน”
“ขอเชิญทุกท่านเดินทางไปที่งานเลี้ยงได้เลยเจ้าค่ะ”
เวลาที่เจียงซื่อกล่าววาจา ใบหน้าของนางก็จะมีรอยยิ้มพิมพ์ใจประดับอยู่เสมอ ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจราวกับได้ยืนรับลมฤดูใบไม้ผลิ บรรยากาศผ่อนคลาย ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่อยากเชื่อว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นเพียงคนรับใช้เท่านั้น
“แต่ว่า…”
องค์ชายเจี้ยนอวี่หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความลำบากใจ
สมาชิกผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงทั้งสี่คนในคืนนี้ มีสามคนที่ได้รับเทียบเชิญทองคำ เหลือเพียงหลินเป่ยเฉินผู้เดียวเท่านั้นที่ถูกทิ้งให้อ้างว้างเดียวดาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลินเป่ยเฉินคงรู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง หากเขาสามารถมุดพื้นดินหลบหนีไปได้ เด็กหนุ่มก็คงกระทำไปแล้ว
หลงหน่านิ่งเงียบไม่พูดคำใด นางมักจะรอดูการตัดสินใจจากองค์ชายเจี้ยนอวี่ก่อนเสมอ
บรรดานางรำในห้องจัดเลี้ยงก็แสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมาเช่นกัน
เซียวปิงยกเทียบเชิญทองคำขึ้นกัดและร้องอุทานออกมาด้วยความดีใจ “พี่ใหญ่ นี่เป็นทองคำบริสุทธิ์จริง ๆ ด้วย ในดินแดนแห่งนี้ ถือเป็นสิ่งของที่ประเมินค่าไม่ได้…”
แต่เมื่อพบว่าบรรยากาศไม่ถูกต้อง เซียวปิงจึงหยุดชะงักและพูดออกมาทันที “เฮอะ ข้าอยู่ร่ำสุรากับพี่ใหญ่ของข้าดีกว่า ข้าฝึกวิชาอย่างยากลำบากอยู่กับพี่ใหญ่ในสำนักกระบี่เหินฟ้าทุก ๆ วัน ไม่มีทางเห็นเทียบเชิญใบเดียวดีไปกว่าพี่ใหญ่ของข้าอยู่แล้ว”
องค์ชายเจี้ยนอวี่ลอบสบถคำหยาบอยู่ในใจ
น้องชาย หากเจ้าไม่อยากไป ก็หาวิธีพูดที่ถนอมน้ำใจคนส่งสาส์นมากกว่านี้หน่อยสิ ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูอวี้เหวินซิวเซียนขึ้นมา อาจจะเกิดปัญหาใหญ่ก็เป็นได้
แต่เจียงซื่อกลับไม่มีสีหน้าขุ่นเคืองใจเลยแม้แต่น้อย
นางเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉินและโค้งคำนับให้เขาอย่างนอบน้อมเป็นครั้งแรก
ด้วยความที่เจียงซื่อเป็นสตรีสวมใส่เสื้อผ้าบุรุษ ชุดเสื้อคลุมของนางจึงหลวมโพรก เมื่อก้มตัวลงมา คอเสื้อก็แบะออกกว้าง นางกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพว่า “นายท่านของผู้ต่ำต้อยได้ยินมาว่า มีผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ดังนั้น นายท่านจึงกำชับผู้ต่ำต้อยมาว่าหากพบเจอผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ ก็อย่าได้ลืมส่งมอบเทียบเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงของเราด้วย”
กล่าวจบ หญิงสาวก็ประคองเทียบเชิญทองคำยื่นส่งออกมาด้วยสองมือ
เทียบเชิญทองคำเป็นประกายระยิบระยับ
ลำพังตัวเทียบเชิญเพียงอย่างเดียวก็มีมูลค่ามหาศาลแล้ว เมื่อรวมตราประทับที่อยู่บนเทียบเชิญเข้าไปอีก เทียบเชิญใบนี้จึงมีค่ามากกว่าเดิมนับสิบเท่า!!