เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1559 ข่าวร้ายที่กลายเป็นจริง
ตอนที่ 1,559 ข่าวร้ายที่กลายเป็นจริง
กลุ่มคนผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่ยืนรับชมเหตุการณ์อยู่โดยรอบต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
พวกเขาทราบดีว่าเซียวปิงเป็นลูกศิษย์โดยตรงของเจ้าสำนักกระบี่เหินฟ้า แต่ถึงอย่างไรเด็กหนุ่มร่างอ้วนก็เพิ่งเข้าร่วมสำนักได้เพียงเดือนเดียว ไม่น่าจะมีขั้นพลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้…
ทว่าเซียวปิงกลับสามารถสังหารศิษย์ระดับสูงของสำนักกระจกวารีได้ในพริบตา
นี่ต้องเป็นพรสวรรค์ชนิดใดกัน?
นี่ต้องเป็นสายเลือดชนิดใดกัน?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว
หลินเป่ยเฉินก็กำลังจ้องมองเซียวปิงด้วยความไม่อยากเชื่อเช่นกัน
นี่ไง!
เซียวปิงขโมยซีนเขาอีกแล้ว!!
นับตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึงแดนมหาแผ่นดิน เซียวปิงก็มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่แน่ว่าบัดนี้เซียวปิงอาจจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเดียวกับหลินเป่ยเฉินแล้วก็เป็นได้
นี่คือสิ่งที่หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึง
“น้องรัก จะ… เจ้าถึงกับต้องฆ่าคนเชียวหรือ?”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยความไม่พอใจ
เซียวปิงตอบกลับมาด้วยความงงงัน “พวกมันไม่ใช่พี่น้องของข้า พวกมันไม่ใช่มารดาของข้า แล้วข้าจะเก็บเอาพวกมันไว้ทำไมล่ะขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วหน้าเครียด “เจ้าไม่เข้าใจความหมายของข้าหรืออย่างไร? ข้าหมายความว่าเจ้ามีหน้าที่รับประทานอาหารก็รับประทานไปเถอะ อย่าได้เที่ยวเข่นฆ่าผู้คนโดยไม่จำเป็นอีก”
“อ้อ”
เซียวปิงพยักหน้า แม้จะไม่เข้าใจเลยก็ตาม “ข้าเข้าใจแล้ว ครั้งหน้าจะระมัดระวังมากกว่านี้ขอรับ”
“ฮึ่ย…”
หลินเป่ยเฉินไม่ทราบเลยว่าตนเองสมควรพูดอย่างไรดี
เซียวปิงยิ้มยิงฟันและกล่าวต่อ “พี่ใหญ่อย่าได้โกรธข้าเลย ความจริงนั้น ข้าไม่ได้มีเจตนาสังหารพวกเขา แต่เป็นพวกเขาอ่อนแอมากเกินไป จึงต้านทานการโจมตีของข้าไม่ได้เอง… นี่ไม่ได้เป็นความผิดของข้าสักหน่อย”
คำพูดเหล่านี้เมื่อลอยไปถึงหูผู้อื่น มันจึงกลับกลายเป็นถ้อยคำถากถางไปเสียแล้ว
นี่คือการดูถูกกันอย่างซึ่งหน้า
สีหน้าของอวี้เหวินซิวเซียนปรากฏความลำบากใจออกมาเล็กน้อย เขาส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “น้องเซียว ท่าน…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
โครม!
โต๊ะหินก็พังทลาย
ด้วยฝีมือของเปียงอวี้ฉู่
บุรุษหนุ่มเท้าเปล่าเดินผมยาวปลิวสยายตรงมาที่โต๊ะอาหารของเซียวปิง ดวงตาเป็นประกายดุร้ายด้วยจิตสังหารแรงกล้า “ข้าจะมอบโอกาสให้กับเจ้า วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่ข้าจะ…”
เปรี้ยง!
เสียงกัมปนาทดังขึ้นในอากาศ
ร่างของเปียงอวี้ฉู่ลอยกระเด็นออกไปล้มลงบนพื้นดิน
บนหน้าผากของเขาปรากฏรูโลหิตไหลซึม
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ยกปืนอินทรีหิมะของตนเองขึ้นมาเป่าควันที่ปลายกระบอกปืน
นี่คือความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
แต่ในสายตาของบุคคลอื่น เด็กหนุ่มกำลังเป่านิ้วของตนเอง
ต้องยอมรับเลยว่านี่เป็นกระบวนท่าการโจมตีที่สง่างาม
กลุ่มคนตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมากเกินไป
แต่กว่าผู้ใดจะตั้งสติได้ เปียงอวี้ฉู่ก็เสียชีวิตลงไปแล้ว
นี่คือศิษย์ระดับสูงของสำนักกระจกวารี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อาวุโสระดับสี่ประจำสำนัก แต่กลับถูกฆ่าตายภายในเวลาไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น
“พี่ใหญ่ ท่าน… นี่ท่าน…”
เซียวปิงถอนสายตาจากศพของเปียงอวี้ฉู่ ก่อนพูดว่า “ข้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่าผู้คนเหล่านี้อ่อนแอมากเกินไป พวกเขารับการโจมตีจากเราไม่ได้หรอก ทำไมพี่ใหญ่ถึงไม่เชื่อข้า”
“ไม่ใช่ไม่เชื่อเจ้า แต่ข้าตั้งใจสังหารมันผู้นี้ต่างหาก”
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มันข่มขู่น้องรักของข้า มันสมควรตาย”
เซียวปิงรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งจนถึงกับแบ่งน่องแรดผัดเปรี้ยวหวานให้แก่หลินเป่ยเฉินครึ่งหนึ่ง
ทุกคนสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากห้วงภวังค์
สีหน้าของพวกเขายามจ้องมองหลินเป่ยเฉินแปรเปลี่ยนไป
เหตุไฉนผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์จึงสามารถโจมตีผู้คนด้วยวิทยายุทธ์ที่ร้ายกาจเช่นนี้?
ลำแสงกระบี่เมื่อสักครู่นี้ไร้สีไร้กลิ่น อีกทั้งยังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงสุด อานุภาพการโจมตีรุนแรงมหาศาล ต่อให้อยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 4 ก็ไม่แน่ว่าจะรับมือได้
เป็นกระบวนท่าที่ประเสริฐ
เป็นการโจมตีที่ยอดเยี่ยม
ในกลุ่มแขกผู้ร่วมงานเลี้ยง ยิ่งพวกเขาคิดถึงเรื่องนี้มากเพียงใด ทุกคนก็ยิ่งตื่นตระหนกมากเท่านั้น
พวกเขาต่างก็คิดว่าหากตนเองต้องเผชิญหน้ากับหลินเป่ยเฉินคงไม่สามารถรับมือการโจมตีด้วยกระบวนท่าปริศนานี้ได้แน่ ๆ
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนมุมปากของอวี้เหวินซิวเซียน
ดูเหมือนข่าวลือจะเป็นความจริง
หลินเป่ยเฉิน… ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจประเมินเด็กหนุ่มผู้นี้ต่ำเกินไปเด็ดขาด ก่อนหน้านี้ เขาเคยรับประทานผลเซียนเหนือฟ้าเข้าไปโดยบังเอิญ ร่างกายจึงแข็งแรงมากกว่าคนทั่วไป
แม้สายเลือดศักดิ์สิทธิ์จะมีคำสาปเกี่ยวกับการฝึกวิชายุทธ์ แต่อย่างน้อย หลินเป่ยเฉินก็น่าจะมีพลังไม่ต่ำต้อยไปกว่าขั้นจอมเทพระดับ 5
และบางทีเขาอาจจะเอาชนะผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 5 ได้อย่างไม่มีปัญหาเช่นกัน
อวี้เหวินซิวเซียนกำลังประเมินขั้นพลังของเด็กหนุ่มปริศนา
เขาโบกมือส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามจากสำนักเฉาเทียนจัดการเก็บกวาดซากศพของเปียงอวี้ฉู่ เปียงหลงและเปียงเจียง
หลินเป่ยเฉินเฝ้าดูด้วยความร้อนใจ สุดท้ายก็ต้องตัดใจไม่เข้าไปค้นหาทรัพย์สินของมีค่าจากซากศพ
ภายใต้การจัดการของอวี้เหวินซิวเซียน เหตุการณ์ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
ความตายของเปียงอวี้ฉู่เป็นเหมือนฟองสบู่ที่เกิดขึ้นและดับลงอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียว บรรยากาศก็กลับมาคึกคักแจ่มใสดังเดิม
บรรดาศิษย์จากสำนักกระจกวารีที่เหลืออยู่ต่างก็ถูกเชิญออกจากงานเลี้ยงหมดสิ้น
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป
“อันที่จริงนั้น เหตุผลที่อาจารย์ของข้าได้เสนอแนวคิดควบรวมทุกสำนักขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อเหตุผลส่วนตัว แต่เป็นเพราะนี่คือเหตุจำเป็นที่พวกเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่างหาก”
อวี้เหวินซิวเซียนกล่าวย้ำถึงประเด็นเดิมอีกครั้งและรีบเปิดเผยข่าวที่น่าตกตะลึงว่า “พวกท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าอาณาจักรหลิวเยวียนได้ถูกตีแตกแล้ว พวกปีศาจครอบครองที่นั่นโดยสมบูรณ์ แม้แต่เมืองหลวงของอาณาจักรหลิวเยวียนก็ไม่สามารถรอดพ้นชะตากรรม ทรัพยากรจำนวนมากของมนุษยชาติตกอยู่ในกำมือของพวกมัน… กล่าวโดยสรุปก็คือ กำลังจะเกิดสงครามขึ้นในอีกไม่ช้า”
ความเงียบงันปกคลุมบรรยากาศ
เกิดเสียงอุทานดังขึ้นทันที
“ว่าไงนะ?”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“พวกปีศาจมันกล้าทำสงครามด้วยหรือ? พวกมันเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?”
“หากเมืองหลวงของอาณาจักรหลิวเยวียนถูกยึดครอง เส้นทางการค้าก็ถูกตัดขาดน่ะสิ?”
ทุกคนต่างก็อยู่ในอาการตื่นตระหนกตกใจ
นี่คือข่าวร้ายที่พวกเขาไม่คาดคิดอย่างแท้จริง
เมืองชิงอวี้เป็นเขตปกครองอิสระเล็ก ๆ อยู่ในแดนมหาแผ่นดิน และสถานที่ตั้งก็อยู่ใกล้เคียงกับอาณาจักรหลิวเยวียน เมื่ออาณาจักรหลิวเยวียนถูกยึดครอง พวกเขาก็ต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
นี่คือข่าวร้ายที่น่าตกตะลึงมากเกินไป นี่คือข่าวร้ายที่ทำให้สีหน้าของผู้คนจากสิบเอ็ดสำนักใหญ่ต้องแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ทันใดนั้น งานเลี้ยงที่เงียบสงบก็กลับมาเต็มไปด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวาย
มีเพียงพวกของหลินเป่ยเฉินทั้งสี่คนเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทุกคนต้องตื่นตกใจถึงเพียงนี้
เหอซินหรู่ผู้เป็นตัวแทนจากคฤหาสน์เซินซุยจึงต้องเข้ามาอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
นางเป็นบุคคลที่หวังจงส่งมาเข้าร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ และหญิงสาวก็ได้รับคำสั่งให้คอยดูแลรับใช้หลินเป่ยเฉินเป็นพิเศษ
เมื่อรับทราบถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ พวกของหลินเป่ยเฉินก็ต้องแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ ด้วย
“บัดนี้ปีศาจร้ายยึดครองอาณาจักรหลิวเยวียน เส้นทางการขนส่งถูกตัดขาดชั่วคราว เราไม่มีทางรู้เลยว่าพวกปีศาจกำลังจะทำอะไรต่อไป เพราะฉะนั้น อีกไม่นานคงเกิดหายนะขึ้นเป็นแน่แท้”
อวี้เหวินซิวเซียนพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนกวาดสายตามองรอบตัวและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและจริงใจว่า “ความแตกแยกไม่มีทางทำให้พวกเราต้านทานศัตรูได้เด็ดขาด สิ่งเดียวที่จะทำให้พวกเราสามารถผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้ก็คือความสามัคคี… และเพื่อผนึกกำลังกันต่อสู้กับสงครามที่กำลังจะมาถึง พวกเราก็ไม่สมควรยึดถือในกฎระเบียบเก่าแก่นี้อีกต่อไป”
“หากเป็นเช่นนั้น ทำไมเจ้าสำนักของท่านถึงไม่พูดออกมาเองเล่า?”
“นั่นสิ เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ทำไมเขาถึงไม่พูดในที่ประชุม?”
“วันนั้นที่คฤหาสน์มังกรบิน เจ้าสำนักหวังไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่คำเดียว…”
หลังจากหายตกตะลึง กลุ่มคนจากหลากหลายสำนักใหญ่ก็เริ่มตั้งคำถามด้วยความสงสัย
อวี้เหวินซิวเซียนยังคงอธิบายอย่างแช่มช้าว่า “ข่าวที่พวกเราได้รับมาก่อนหน้านี้ยังไม่มีความแม่นยำมากพอ แต่คืนนี้ พวกเราได้รับทราบข่าวที่ยืนยันแน่นอนแล้ว…. และบัดนี้ เจ้าสำนักของพวกท่านก็น่าจะได้รับทราบข่าวนี้แล้วเช่นกัน”
ความสงสัยในใจของทุกคนสลายหายไปทันที
“พี่น้องทุกท่าน ข้าอยากจะขอถามอีกสักครั้ง หากข่าวร้ายนี้เป็นความจริง พวกท่านจะเห็นด้วยกับการควบรวมทุกสำนักเป็นหนึ่งเดียวหรือไม่?”
อวี้เหวินซิวเซียนยืดอกขึ้น เสียงของเขาดังกังวานไปทั่วบริเวณ