เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1562 หนี
ตอนที่ 1,562 หนี
เซียวปิงมีเศษฝุ่นเกาะอยู่เต็มศีรษะ เนื้อตัวเต็มไปด้วยเศษหิน เศษดินและเศษทราย แต่สิ่งแรกที่เด็กหนุ่มร่างอ้วนทำก็คือรีบนำขาหมูทอดออกมาจากใต้วงแขนและสำรวจดูด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง “เกือบเปื้อนแล้วไหมล่ะ…”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
ตัวเองเกือบจะถูกตึกถล่มทับตายอยู่แล้ว ยังจะห่วงขาหมูทอดอยู่อีกหรือ?
ว่าแต่เซียวปิงไปเอาขาหมูมาจากที่ไหนเยอะแยะกันนะ?
ก่อนหน้านี้ เซียวปิงก็มีน่องไก่ให้รับประทานอยู่ทุกเมื่อและทุกหนทุกแห่ง บัดนี้ น่องไก่เปลี่ยนไปกลายเป็นขาหมูทอด แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่ทราบเลยว่าเซียวปิงรับประทานไม่เบื่อบ้างหรืออย่างไร?
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน
ครืน!
พื้นดินสั่นไหว
เหมือนเกิดเหตุแผ่นดินไหว
กลุ่มคนที่เฝ้าประตูทางเข้าที่พักยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่พวกเขาก็ส่งเสียงร้องอุทานออกมาด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะกอดกันกลมและหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาคาดหวัง
กำแพงหินพลันพังถล่มลงมาพอดี
พังถล่มลงมาตรงจุดที่คนกลุ่มนั้นกำลังยืนอยู่
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ ยกมือขึ้นยิงกระสุนปืนเข้าไปสลายก้อนหินเหล่านั้นกลายเป็นผุยผง สามารถช่วยเหลือกลุ่มคนได้สำเร็จ ก่อนกล่าวว่า “ยังไม่รีบกลับเข้ามาอีก?”
กลุ่มคนผู้เฝ้าประตูฉีกยิ้มด้วยความดีใจและรีบวิ่งเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน
ครืน!
แผ่นดินไหวรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
อาคารบ้านเรือนที่ตั้งอยู่โดยรอบทยอยพังถล่มลงไป เศษฝุ่นตลบฟุ้งเต็มท้องฟ้า เสมือนกับกำลังมีพายุฝุ่นกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง!
“ท่านลุงอวี้?”
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองโดยรอบและตะโกนเรียก “ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? ท่านลุงอวี้ หากท่านยังไม่ตาย ช่วยส่งเสียงตอบหน่อยได้หรือไม่?”
เขากำลังนึกเป็นห่วงอวี้อู๋เฉียนผู้อาวุโสจากสำนักกระบี่เหินฟ้าอยู่ไม่น้อย
หวังว่าคงยังไม่ตายหรอกนะ
โชคดีที่ไม่นานหลังจากนั้น อวี้อู๋เฉียนก็เดินออกมาจากซากบ้านพักที่พังถล่มหลังหนึ่ง เขาปลดปล่อยพลังปราณในร่างกายออกมาเป็นโล่กำบังเศษฝุ่น สภาพเนื้อตัวจึงมอมแมมน้อยกว่าเซียวปิงหลายเท่า
“คุณชายคิดว่าข้าจะตายง่าย ๆ ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
อวี้อู๋เฉียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“อ้าว ถ้ายังไม่ตายอีกหรือนี่?”
หลินเป่ยเฉินแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน “อย่างนี้ข้าก็ยังต้องใช้หนี้ท่านน่ะสิ… อุตส่าห์นึกว่าจะไม่ต้องใช้หนี้แล้วเชียว”
อวี้อู๋เฉียนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกอยากจะทุบตีผู้คนขึ้นมาทันที
ในไม่ช้า ศิษย์คนอื่น ๆ ของสำนักกระบี่เหินฟ้าก็ปรากฏตัวออกมาจากใต้เศษซากปรักหักพังของสิ่งปลูกสร้างทั้งหลาย…
รวมถึงหนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงอย่างแม่นางหนงซัว
หลังจากที่แม่นางหนงซัวมาถึงภูเขาอวิ๋นเจวี่ยน นางก็พาลูกศิษย์หญิงสองคนออกไปซื้อหาสมุนไพรวิเศษด้วยความร่าเริง หลินเป่ยเฉินจึงแทบไม่เคยพบหน้านางเลยหลังจากนั้น
ผู้ที่มีหน้าตางดงาม ไม่ว่าอย่างไรก็ยังงดงามอยู่เสมอ
แต่สภาพของผู้อาวุโสหนงซัวในขณะนี้ออกจะน่าอับอายอยู่ไม่น้อย
แม้ว่านางจะระเบิดพลังปราณออกมาสร้างเป็นโล่กำบังร่างกาย เนื้อตัวที่ขาวเนียนจึงไม่ได้เปรอะเปื้อนเศษฝุ่นและสิ่งสกปรก แต่ปัญหาใหญ่ก็คือแม่นางหนงซัวมีนิสัยชอบนอนเปลือยกาย ขณะเกิดเหตุอาคารพังถล่มเมื่อสักครู่ นางมีเวลาเพียงสวมใส่ชุดกระโปรงซับในเท่านั้น บัดนี้หัวไหล่ขาวเนียนจึงปรากฏท้าทายสายตาผู้คน เช่นเดียวกับสองเท้าที่เปลือยเปล่าและช่วงขาอันเรียวยาว…
เนินอกไหวกระเพื่อมขึ้นลง
ในมือของนางถือกระบี่ สีหน้าแสดงออกถึงความประหลาดใจ…
หลินเป่ยเฉินเห็นเช่นนั้นก็นำเสื้อคลุมของตนเองออกมาชุดหนึ่งและโยนไปให้พลางกล่าวว่า “สวมใส่เสื้อผ้าก่อนเถอะขอรับ”
ผู้อาวุโสสาวมีสีหน้าเหมือนอยากจะปฏิเสธ แต่นางก็รับเสื้อคลุมของหลินเป่ยเฉินเอาไว้ ก่อนจะรีบสวมใส่อย่างรวดเร็ว เมื่อมีเสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกายอยู่อีกชั้น แม่นางหนงซัวก็รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
แต่นางก็ไม่ได้หันมองที่หลินเป่ยเฉินอีกเลย
บัดนี้ ทุกคนเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“พวกเราต้องไปช่วยท่านเจ้าสำนักกับท่านผู้อาวุโสชิวเทียนจิง”
ผู้อาวุโสหนงซัวกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม
เมื่อวานนี้ ตัวแทนสำนักกระบี่เหินฟ้าห้าคน ซึ่งประกอบไปด้วยท่านเจ้าสำนักหลิวอู่เหยียน ผู้อาวุโสชิวเทียนจิงและพรรคพวกได้เดินทางไปร่วมประชุมที่สำนักเฉาเทียน เมื่อคืนนี้ไม่ได้กลับที่พัก สำนักเฉาเทียนตั้งอยู่บนยอดเขาเฉาเทียน ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับยอดเขาอวิ๋นเจวี่ยน ขณะนี้สำนักเฉาเทียนถูกบุกโจมตีด้วยกลุ่มอสูรร้าย หลิวอู่เหยียนพร้อมด้วยคนอื่น ๆ ยังคงติดค้างอยู่ที่นั่น ไม่ทราบชะตากรรมเลยว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
สิ่งที่ควรกระทำคือการรีบรุดไปช่วยเหลือ
แต่ผู้คนล้วนมีความคิดแตกต่างกันไป
บัดนี้ พวกเขายังไม่ทราบว่าสถานการณ์บนยอดเขาเฉาเทียนเป็นอย่างไร อย่าว่าแต่เข้าไปช่วยเหลือผู้คน ขืนบุ่มบ่ามบุกเข้าไป ก็มีแต่จะนำชีวิตตนเองไปทิ้งเสียเท่านั้น
พลังแห่งการทำลายล้างที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนไม่น้อยรู้สึกหวาดกลัว
โดยเฉพาะการต่อสู้ของสองผู้ยิ่งใหญ่บนท้องฟ้า พลังทำลายล้างยังคงแผ่กระจายสะเทือนฟ้าสะท้านดิน แม้แต่ผู้ที่มีพลังขั้นจอมเทพระดับ 4 ก็ยังต้องตัวสั่นเทาแล้ว
“คิดอะไรโง่ ๆ กันอยู่ได้”
หลินเป่ยเฉินเอนตัวเข้าไปกระซิบข้างหูเซียวปิง “น้องชายสุดที่รักของข้า การต่อสู้รุนแรงระดับนี้เข้าร่วมไปก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น เจ้าย่อมไม่สมควรตายเพื่อหลิวอู่เหยียน พวกเรารีบหาทางหนีไปจากที่นี่กันดีกว่า”
เสียงกระซิบของหลินเป่ยเฉินได้ยินไปถึงหูอวี้อู๋เฉียนที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เช่นเดียวกับผู้อาวุโสหนงซัว
นางหันมาชำเลืองมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาเหยียดหยาม
หลินเป่ยเฉินจ้องตอบกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “จ้องข้านาน ๆ เยี่ยงนี้ ระวังมีบุตรในท้องไม่รู้ตัวนะท่าน”
หญิงสาวผู้ดูแลสวนสมุนไพรชักสีหน้าด้วยความโกรธแค้น
เซียวปิงยิ้มกริ่มและไม่พูดอะไร
หลินเป่ยเฉินเข้าใจความหมายในรอยยิ้มของเซียวปิงโดยทันที
“เชี่ยเอ๊ย…”
เขาจึงต้องสบถออกมา
“พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องไปกับข้าก็ได้…” เซียวปิงกระชับเสื้อคลุมของตนเองแนบแน่นและกล่าวต่อ “แต่ข้าต้องไปดูสักหน่อย ตาเฒ่าผู้นั้นทำดีกับข้าไม่น้อย ข้าทิ้งเขาไปไม่ได้หรอกขอรับ”
เซียวปิงเลือกที่จะเข้าไปช่วยเหลือพวกของหลิวอู่เหยียน
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า “น้องชาย เจ้าชักจะรู้มากเกินไปแล้วนะ ถึงข้าจะไม่สนใจความเป็นความตายของพวกหลิวอู่เหยียน แต่เจ้าก็รู้ว่าข้าคงปล่อยให้น้องชายร่วมสาบานสุดที่รักของข้า เข้าไปเสี่ยงอันตรายที่นั่นเพียงลำพังไม่ได้เด็ดขาด”
เซียวปิงยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
ผู้อาวุโสหนงซัวยังคงจ้องมองหลินเป่ยเฉินอยู่อีกหลายครั้ง แต่สุดท้าย นางก็ค่อย ๆ ถอนสายตากลับไป ก่อนจะนำหน้าเดินออกไปเป็นคนแรก มวลอากาศรอบกายปั่นป่วน แล้วกระบี่ใหญ่เล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในอากาศ ผู้อาวุโสหนงซัวกำลังจะกระโดดขึ้นไปยืนบนกระบี่ยักษ์เล่มนั้น…
วูบ!
ทันใดนั้น ลำแสงสายหนึ่งก็ทิ้งตัวลงมาจากท้องฟ้าไม่ต่างจากเครื่องบินตก ลำแสงนั้นกระแทกพื้นดินอย่างรุนแรง ส่งผลให้เศษหินเศษดินปลิวกระจาย หมอกควันฟุ้งตลบในอากาศ
“ท่านเจ้าสำนัก…”
กลุ่มศิษย์สำนักกระบี่เหินฟ้าอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก
ทุกคนรีบวิ่งเข้าไปหาม่านฝุ่นตลบนั้นด้วยความร้อนรน
หลิวอู่เหยียนมีเลือดท่วมตัว แขนขาดไปข้างหนึ่ง ขณะนี้ยืนอยู่ได้ด้วยการประคองจากผู้อาวุโสเฉียนอวิ๋น และด้านหลังก็ยังมีผู้อาวุโสเหลิ่งเชวี่ยนซึ่งกำลังประคองชิวเทียนจิงในสภาพบาดเจ็บสาหัสอยู่ในอ้อมแขน… ส่วนผู้อาวุโสอีกคนที่ไปด้วยกันนั้นไม่ปรากฏกลับมา
“ท่านเจ้าสำนัก…”
“ผู้อาวุโสชิว?”
ทุกคนตรงดิ่งเข้าไปยืนล้อมรอบ
“รีบไป รีบไปจากที่นี่”
หนวดเคราของหลิวอู่เหยียนเปรอะเปื้อนด้วยโลหิต ใบหน้าของชายชราซีดขาวขณะตะโกนเสียงดัง “เร็วเข้า รีบหลบหนีกลับไปที่สำนักเรา…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ชายชราก็มีอาการคล้ายคนหน้ามืด ร่างกายโซเซเกือบเป็นลมหมดสติ
ทุกคนตกตะลึง
หลิวอู่เหยียนเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับสองในเมืองชิงอวี้ เป็นรองก็แต่เพียงหวังซือเฉาเจ้าสำนักเฉาเทียนเท่านั้น เหตุไฉนจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้?
“พวกเราหนี”
ทันใดนั้น อวี้อู๋เฉียนก็ตั้งสติได้และอัญเชิญกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งออกมาจากกลางอากาศ มันเป็นกระบี่เล่มใหญ่ที่เพียงพอต่อการบรรทุกกลุ่มคนขึ้นไปอยู่บนนั้น
ทุกคนก้าวขึ้นไปบนกระบี่ยักษ์
วูบ!
กระบี่ยักษ์ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
อวี้อู๋เฉียนควบคุมกระบี่ด้วยความชำนาญ ลอยตัวอยู่เหนือพื้นดินเท่ากับความสูงของตึกหกชั้น กระบี่ยักษ์เคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วผ่านยอดเขาและอาคารบ้านเรือนที่พังทลาย เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น พวกเขาก็มาอยู่นอกเขตอันตรายแล้ว
แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หูของพวกเขาก็ได้ยินเสียงกระแสลมปั่นป่วนไล่ตามมาทางด้านหลัง
“แย่แล้ว พวกปีศาจมันตามเรามา”
สีหน้าของผู้อาวุโสเหลิ่งเชวี่ยนแปรเปลี่ยนไปทันที
พวกปีศาจ?
ทุกคนเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
นี่หมายความว่ากองทัพปีศาจและเผ่าพันธุ์อสูรผนึกกำลังร่วมมือกัน หมายกวาดล้างพวกเขาให้หมดสิ้นภายในวันนี้ใช่หรือไม่?