เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1574 ความตระหนักรู้ของท่านเจ้าสำนักหลิว
ตอนที่ 1,574 ความตระหนักรู้ของท่านเจ้าสำนักหลิว
แต่ฝ่ามือที่กลายเป็นสีม่วงขนาดนี้ ผู้คนอาจเข้าใจผิดคิดได้ว่าหลินเป่ยเฉินเป็นพวกเดียวกับฝ่ายปีศาจ หากถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทรยศเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นมา หลินเป่ยเฉินจะทำอย่างไร?
เด็กหนุ่มใช้ความคิดอยู่สักครู่ ก็นำถุงมือเทวฤทธิ์ออกมาสวมใส่ที่มือขวา
แม้เขาจะมีความแข็งแกร่งไม่ต้องหวาดกลัวผู้ใด แต่หลินเป่ยเฉินก็ต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ก่อน
“ถ้ามีอัญมณีสักห้าเม็ดมาประดับอยู่บนถุงมือ แค่เราดีดนิ้วทีเดียว สิ่งชีวิตก็คงหายไปครึ่งจักรวาลแล้วสินะ…”
หลินเป่ยเฉินอดคิดเรื่อยเปื่อยขึ้นมาไม่ได้
ก่อนที่จะเริ่มต้นค้นซากศพปีศาจตัวอื่น ๆ
และเด็กหนุ่มก็ต้องประหลาดใจที่ปีศาจเหล่านี้ยากจนเป็นอย่างยิ่ง
เหตุผลก็คือพวกมันถูกเผ่าพันธุ์มนุษย์ตามล่าตามฆ่ามาหลายร้อยปี จำเป็นต้องเปลี่ยนถิ่นฐานย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น พวกปีศาจจึงไม่กล้าพกเงินติดตัวเป็นจำนวนมาก เว้นแต่พวกที่เป็นระดับหัวหน้าขั้นสูงเท่านั้น
เมื่อหลินเป่ยเฉินตรวจค้นซากศพของพวกมันเสร็จสิ้น เขาก็แทบร้องไห้ออกมาด้วยความสงสารเวทนา
นับเป็นกลุ่มปีศาจที่ยากจนเหลือเกิน
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจค้นหาของมีค่าจากศพปีศาจ หลินเป่ยเฉินก็เหลียวมองกลับไปทางด้านหลังและพบว่าชิวเทียนจิงได้ตายไปแล้ว
ถูกหลิวอู่เหยียนฆ่าตาย
กระบี่แนบฟ้าที่เคยเป็นหลักพยุงตัวของหลิวอู่เหยียน บัดนี้ ปลายกระบี่เสียบทะลุหว่างคิ้วของชิวเทียนจิง และชีวิตบุตรชายของท่านรองเจ้าสำนักผู้นี้ก็จบสิ้นลงเช่นนี้เอง
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
หลิวอู่เหยียนจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้อำมหิตไม่ใช่เล่น
ตอนแรก หลินเป่ยเฉินเดาว่าชายชราคงให้โอกาสชิวเทียนจิงได้กลับตัวกลับใจ จึงคิดไม่ถึงเลยว่าหลิวอู่เหยียนจะสังหารคนทรยศตกตายในกระบี่เดียว…
นับว่าไม่มีความเมตตาสำหรับผู้ที่ทรยศจริง ๆ
เพราะผู้ที่ดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักจะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปดึงกระบี่แนบฟ้าออกมาจากหน้าผากของชิวเทียนจิง ผู้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นดินพลางกล่าวว่า “เป็นกระบี่ที่ไม่เลว เหมาะสมที่จะเป็นอาวุธคู่กายของข้าอย่างยิ่ง”
หลิวอู่เหยียนไม่ตอบรับคำใด
เมื่อรับประทานผลหัวใจมังกรและฟื้นฟูพลังกลับคืนมา อาการบาดเจ็บของชายชราก็ถูกสะกดเอาไว้ชั่วคราว หลิวอู่เหยียนจึงรีบสอบถามว่า “สหายน้อย ไม่ทราบว่าคนอื่น ๆ อยู่ที่ใด?”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปว่า “อยู่ที่บ้านพักของข้าน้อยขอรับ… เดี๋ยวข้าน้อยจะเรียกพวกเขามาเอง”
กล่าวจบ หลินเป่ยเฉินก็ยกมือส่งสัญญาณให้แก่เซียวปิง
เซียวปิงติดตามสถานการณ์ทุกอย่างผ่านทางกล้องขยายของปืนสไนเปอร์ เมื่อเห็นสัญญาณจากหลินเป่ยเฉินจึงรีบมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านพักของพี่ชายร่วมสาบานทันที
หลิวอู่เหยียนอยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นหลินเป่ยเฉินกำลังใช้กระบี่แนบฟ้ากรีดเสื้อคลุมของตนเองจนเป็นรอยขาดวิ่นหลายตำแหน่ง…
“เสื้อคลุมของเจ้ายังดูดีอยู่เลย เหตุไฉน…”
หลิวอู่เหยียนถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
แต่หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
หลังจากนั้น ชายชราก็เห็นหลินเป่ยเฉินก้มตัวลงไปเอามือจุ่มกองเลือดจากศพของชิวเทียนจิงบนพื้นดินและนำเลือดเหล่านั้นมาชโลมตามร่างกายของตนเอง หากผู้ใดไม่รู้ ก็คงเข้าใจว่าเด็กหนุ่มได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว…
เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
หลิวอู่เหยียนได้แต่คิดแล้วก็สงสัยอยู่ในใจ
ทันใดนั้น…
วูบ!
ได้ยินเสียงชายเสื้อปะทะสายลมดังขึ้น
ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียน ผู้อาวุโสหนงซัว สองพี่น้องจากตลาดมืด ทุก ๆ คนต่างทิ้งตัวลงมาสู่ยอดเขาเจียนล่าย
“คารวะท่านเจ้าสำนัก”
เมื่อเห็นว่าหลิวอู่เหยียนยังมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย อวี้อู๋เฉียนก็อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น รีบวิ่งเข้าไปช่วยประคองหลิวอู่เหยียนพลางกล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนัก ท่านยังไม่ตาย ประเสริฐ ประเสริฐจริง ๆ…”
หลิวอู่เหยียนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเช่นกัน
เมื่อพายุใหญ่ผ่านพ้น ผู้คนก็ได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง
อวี้อู๋เฉียนเป็นผู้อาวุโสระดับสามัญที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของบุคคลใดในสำนักกระบี่เหินฟ้ามาก่อน คิดไม่ถึงเลยว่ายามเกิดวิกฤต ชายวัยกลางคนกลับแสดงความหนักแน่นมั่นคงและมีความเป็นผู้นำมากเสียยิ่งกว่าชิวเทียนจิงกับบรรดาลิ่วล้อเสียอีก...
ควรค่าต่อการสรรเสริญยิ่งนัก
บุคคลเช่นนี้จะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยฟื้นฟูสำนักกระบี่เหินฟ้า
แน่นอนว่าย่อมรวมถึงผู้อาวุโสหนงซัวด้วย
หลิวอู่เหยียนนิ่งคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย เมื่อจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสสาวสวยและกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างออกมา สีหน้าของชายชราก็ต้องแปรเปลี่ยนไป
เพราะผู้อาวุโสหนงซัวไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บของเขาเลย
นางรีบวิ่งเข้าไปหาหลินเป่ยเฉินด้วยความตื่นตระหนก มือที่ขาวเนียนอ่อนนุ่มยื่นเข้าไปช่วยประคองเด็กหนุ่มพลางสอบถามอย่างเป็นกังวลว่า “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง… ? บาดเจ็บหนักหรือไม่?”
“ข้าน้อยไม่เป็นไรขอรับ”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ราวกับมีเลือดคั่งค้างอยู่ในลำคอก็ไม่ปาน เขาพยายามรักษากิริยาท่าทีสงบเยือกเย็นขณะกล่าวว่า “รีบไปช่วยท่านเจ้าสำนักเถอะขอรับ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมากกว่าข้าน้อยหลายเท่า”
ผู้อาวุโสหนงซัวชำเลืองมองมาที่หลิวอู่เหยียนก่อนจะหันกลับไปหาหลินเป่ยเฉินอย่างรวดเร็ว “ท่านเจ้าสำนักมีขั้นพลังสูงส่ง สามารถสะกดอาการบาดเจ็บของตนเองได้ชั่วคราว นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่เจ้าต่างหาก... นอนลงเถอะ อย่าขยับตัวโดยไม่จำเป็น รีบกินโอสถฟื้นฟูโลหิตเม็ดนี้ เร็วเข้า”
หลิวอู่เหยียนผู้ยืนอยู่ด้านข้างได้แต่ปากอ้าตาค้างด้วยความเหลือเชื่อ
ในที่สุด เขาก็รู้แล้วว่านี่คือเรื่องราวใดกันแน่!
ด้วยเหตุนี้เองสินะ ชายชราอย่างเขาจึงไม่มีคู่ครอง แต่เด็กหนุ่มอย่างหลินเป่ยเฉินเพียงมาอยู่ในสำนักกระบี่เหินฟ้าได้ไม่นาน ก็สามารถครอบครองหัวใจของผู้อาวุโสหนงซัวจอมเย็นชาได้เรียบร้อยแล้ว
ผู้ที่หน้าด้านหน้าทนย่อมมีโอกาสมากกว่าเสมอ
“มือของเจ้าเป็นอะไรรึ?”
ผู้อาวุโสหนงซัวสังเกตเห็นถุงมือที่มือขวาของหลินเป่ยเฉิน
“ก่อนหน้านี้ เพื่อช่วยชีวิตท่านเจ้าสำนักหลิว ข้าน้อยต้องต่อสู้กับหัวหน้ากลุ่มปีศาจเหยียนซาน กระดูกมือของข้าน้อยได้รับบาดเจ็บ พลังปราณปีศาจแทรกซึมเข้ามา… แต่ไม่เป็นไรหรอกขอรับ เรื่องที่ร้ายแรงมากกว่านี้ข้าน้อยก็เคยผ่านมาแล้ว… อาการบาดเจ็บเพียงเท่านี้ไม่สำคัญเลย ตราบใดที่สามารถช่วยเหลือสำนักกระบี่เหินฟ้าได้สำเร็จ แม้ต้องสูญเสียมือไปหนึ่งข้าง ยังจะนับว่าเป็นอะไรได้อีก?”
หลินเป่ยเฉินเชิดหน้าขึ้นสี่สิบห้าองศา พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสุขุมนุ่มลึก
“ถอดถุงมือซะ เดี๋ยวข้าจะช่วยทำความสะอาดบาดแผลให้เจ้าเอง”
นอกจากผู้อาวุโสหนงซัวแห่งสำนักกระบี่เหินฟ้าจะชำนาญเรื่องการปลูกสมุนไพรแล้ว นางยังเชี่ยวชาญเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บอีกด้วย
“ไม่เป็นไรขอรับ ข้าสามารถดูแลตนเองได้”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าปฏิเสธ “ท่านเจ้าสำนักหลิวได้รับบาดเจ็บสาหัสจริง ๆ ผู้อาวุโสหนงไม่ต้องสนใจข้าน้อยหรอก ไปช่วยเหลือท่านเจ้าสำนักก่อนเถอะขอรับ”
แม้สีหน้าของผู้อาวุโสหนงซัวจะบอกชัดถึงความไม่เต็มใจ แต่นางก็ลุกขึ้นมาทำการรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่ท่านเจ้าสำนักหลิวอู่เหยียนแต่โดยดี
เหตุการณ์นี้ทำให้หลิวอู่เหยียนได้ตระหนักรู้อีกครั้ง
เขาทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากพักผ่อน
หลินเป่ยเฉินเก็บโอสถฟื้นฟูโลหิตกลับเข้าไปในอกเสื้อและเปลี่ยนเสื้อคลุมชุดใหม่ สภาพเนื้อตัวของเขาจึงดูดีขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า
ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนจัดการก่อกองไฟเพื่อทำการเผาศพบรรดาสมาชิกสำนักกระบี่เหินฟ้าที่เสียชีวิต
เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ผู้อาวุโสหนงซัวนำศพของศิษย์พี่เหลิ่งเชวี่ยนเข้าสู่กองไฟ
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอเต็มเบ้า มือที่ขาวเนียนกำแน่นจนข้อนิ้วมือกลายเป็นสีขาวโพลน และหญิงสาวก็สบถสาบานในใจว่าจะต้องแก้แค้นให้แก่ทุกคนให้ได้
เมื่อหายนะครั้งนี้ผ่านพ้นไป สำนักกระบี่เหินฟ้าก็เหลือสมาชิกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
แต่โชคดีที่บุคคลสำคัญยังคงรอดชีวิตมาได้
กองไฟลุกโชนสว่างไสว
เมื่อมีพวกของหลิวอู่เหยียนกับอวี้อู๋เฉียนคอยดูแล โอกาสที่สำนักกระบี่เหินฟ้าจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ก็ยังคงเป็นไปได้เสมอ
แต่หายนะในเมืองชิงอวี้คงไม่จบสิ้นลงแต่เพียงเท่านี้
ยังคงมีอุปสรรคมากมายหลายประการรอคอยให้แก้ไข
ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือถึงแผนการขั้นต่อไป
“คนใกล้ตายย่อมทำทุกอย่างเพื่อให้รอดชีวิต ก่อนที่ชิวเทียนจิงจะตาย เขาได้สารภาพทุกอย่างออกมาหมดแล้ว”
หลิวอู่เหยียนกินโอสถรักษาอาการบาดเจ็บ ร่างกายจึงฟื้นฟูขึ้นมามาก ชายชราถอนหายใจและกล่าวต่อไป “สถานการณ์ของพวกเราไม่สู้ดีนัก…”
ทุกสายตาจ้องมองไปที่หลิวอู่เหยียน
ชายชราผู้เป็นเจ้าสำนักกล่าวต่อ “ครั้งนี้พวกปีศาจไม่ได้มีแต่กลุ่มกองกำลังของเหยียนซานเท่านั้น แต่พวกปีศาจที่เคยหลบซ่อนอยู่ทุกหนทุกแห่งบัดนี้ได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว… และพวกมันก็มีขั้นพลังสูงส่ง… มิหนำซ้ำ ยังไม่ได้ทำงานขึ้นตรงต่อเหยียนซานอีกด้วย”
ยังมีกองกำลังปีศาจกลุ่มอื่นอยู่อีกหรือ?
อวี้อู๋เฉียนกับหนงซัวหัวใจกระตุกวูบ
หากเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ก็คงเลวร้ายเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้เสียแล้ว
“และต้องไม่ลืมว่าสำนักอสูรหักหลังพวกเราไปร่วมมือกับกองทัพปีศาจ นี่ก็เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการคาดคิดของพวกเราเช่นกัน ขณะนี้ กองทัพปีศาจมีความแข็งแกร่งมาก ผู้นำทัพของมันมีนามว่าปีศาจเฟินเทียนอวี้ กองทัพของมันแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วอาณาจักรหลิวเยวียน… และเมืองหลวงของอาณาจักรหลิวเยวียนก็ตกไปอยู่ในกำมือของพวกมันแล้ว ฝ่ายสำนักอสูรไม่กล้าขัดขืน จึงมีแต่ต้องยอมศิโรราบเท่านั้น”
“ตามแผนการที่อวี้เหวินซิวเซียนวางเอาไว้ ไม่ใช่มีเพียงสำนักกระบี่เหินฟ้าเท่านั้นที่ถูกทำลาย แต่สิบเอ็ดสำนักใหญ่ของเมืองชิงอวี้ก็ถูกโจมตีเช่นกัน เกรงว่าพวกเขาเองก็ต้องพบจุดจบไม่ต่างไปจากสำนักกระบี่เหินฟ้าของเรา…”
“แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ข้าได้มาจากชิวเทียนจิงระบุว่า อวี้เหวินซิวเซียนเป็นเพียงผู้รับภารกิจในการโจมตีเมืองชิงอวี้เท่านั้น เขายังต้องรับคำสั่งมาจากผู้อื่นอีกทอดหนึ่ง และอีกหนึ่งภารกิจที่อวี้เหวินซิวเซียนต้องกระทำก็คือการจับตัวบรรดายอดฝีมือของสำนักต่าง ๆ ไปกักขังเอาไว้ บรรดาผู้อาวุโสและลูกศิษย์ระดับสูงของสำนักกระบี่เหินฟ้าเราหลายร้อยคน ต่างก็ถูกจับตัวไปคุมขังไว้ที่ภูเขาอวิ๋นเจวี่ยนหมดสิ้น…”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
สิ่งที่เขาเป็นกังวลมากที่สุดในขณะนี้ ก็คือชะตากรรมของนักพรตหญิงชินกับอากวง
ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มถึงกับเคยคิดจะบุกไปยังที่ตั้งของพรรควารีพิฆาตและเกาะมังกรฟ้า เพื่อช่วยเหลือผู้คนออกมา
แต่ฟังจากสิ่งที่หลิวอู่เหยียนบอกเล่า ดูเหมือนว่าทุกคนคงถูกจับตัวไปที่ภูเขาอวิ๋นเจวี่ยนหมดแล้วสินะ
หากพวกของนักพรตหญิงชินและคนอื่น ๆ ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็สมควรเดินทางไปที่ภูเขาอวิ๋นเจวี่ยนเช่นกัน
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกลับไปให้ได้
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจขั้นเด็ดขาด
จังหวะนั้น หลังจากหลิวอู่เหยียนบอกข้อมูลทั้งหมดออกมาจบสิ้น ทุกคนก็หันมามองที่หลินเป่ยเฉินเป็นตาเดียว
หลิวอู่เหยียนเห็นมากับตาแล้วว่าหลินเป่ยเฉิน ‘แข็งแกร่ง’ เพียงใด ชายชราจึงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากจะมีผู้ใดสามารถช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์ในเมืองชิงอวี้เอาไว้ได้ ผู้พิทักษ์คนนั้นก็ต้องเป็นหลินเป่ยเฉินผู้นี้เอง
แม้หลิวอู่เหยียนจะได้รับยกย่องให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองของเมืองชิงอวี้ ทว่าบัดนี้ เขากำลังได้รับบาดเจ็บสาหัสและภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลิวอู่เหยียนก็คงลงมือทำสิ่งใดได้ไม่มากแล้ว