เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1585 ศักดิ์ศรีของชนชั้นเจ้าสำนัก
ตอนที่ 1,585 ศักดิ์ศรีของชนชั้นเจ้าสำนัก
“ท่านอาจารย์…”
ลูกศิษย์จำนวนหนึ่งของพรรควารีพิฆาตถึงกับเป็นลมหมดสติไปทันที
เด็กสาวผู้มีรอยสักมังกรหลงหน่าร่ำไห้ออกมาด้วยความเศร้า
นับตั้งแต่ที่มาถึงเมืองชิงอวี้ ท่านประมุขไป๋ลู่ซือก็ดูแลเอาใจใส่นางทุกอย่างไม่ต่างจากสมาชิกในครอบครัว นี่คือครั้งแรกหลังฟักออกมาจากไข่ตั้งแต่เยาว์วัยที่หลงหน่าได้สัมผัสถึงความอบอุ่นของการมีมารดา
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะสั้นเสมอ
บัดนี้ พวกนางกลับต้องจากลากันตลอดกาลเสียแล้ว
“ผู้ต่ำต้อยทำความเคารพท่านประมุขพรรคคนใหม่…”
กลุ่มศิษย์ระดับสูงของพรรควารีพิฆาตรีบหันมาประสานมือทำความเคารพต่อหลงหน่า
ยิ่งทำให้หลงหน่ารู้สึกเศร้าเสียใจมากขึ้น
ไม่นานนัก ร่างไร้วิญญาณของไป๋ลู่ซือก็ถูกส่งคืนกลับมาจากเวทีประลอง
เมื่อเห็นอากัปกิริยาที่เศร้าเสียใจของผู้คนจากพรรควารีพิฆาต หลินเป่ยเฉินก็ไม่รู้แล้วว่าตนเองสมควรพูดอย่างไรดี
เขาไม่ได้มีความคุ้นเคยกับไป๋ลู่ซือ ระหว่างพวกเขาเคยพบกันเพียงครั้งเดียวก็ตอนที่พวกของตนเองเดินออกมาจากป่าฝนเขียว และหลินเป่ยเฉินกับไป๋ลู่ซือไม่เคยพูดคุยกันสักคำด้วยซ้ำ… แต่หญิงงามเช่นนี้กลับต้องมาตายอย่างน่าอนาถบนเวทีประลอง นับเป็นชะตากรรมที่แสนอาภัพเป็นอย่างยิ่ง
ฝ่ายมนุษย์ยิ่งหมดหวังมากไปกว่าเดิม
หนึ่งในเจ้าสำนักประจำเมืองชิงอวี้ ยังสู้กับองครักษ์ข้างกายอวี้เหวินซิวเซียนไม่ได้อีกหรือ?
บรรยากาศแห่งความหมดหวังแผ่ปกคลุมฝ่ายเผ่าพันธุ์มนุษย์
ตลอดทั่วทั้งเมืองชิงอวี้ เสียงร้องไห้ดังระงมออกมาจากบ้านเรือนผู้คน
ในทางกลับกัน เผ่าพันธุ์ปีศาจร้องตะโกนด้วยความสะใจ
บนท้องฟ้า ไม่ทราบเลยว่ามีเมฆฝนปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ สายฝนกำลังโปรยปรายลงมาสู่พื้นดิน
“ข้าจะออกไปสู้ต่อเอง”
หลงหน่ากำมือเป็นหมัดแน่น ร้องคำรามออกมาเสียงดังและเดินออกมาจากกลุ่มผู้คน
“หลงหน่า เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ?”
องค์ชายเจี้ยนอวี่สะดุ้งโหยง รีบยื่นมือไปคว้าแขนหญิงรับใช้ของตนเองเอาไว้และถามว่า “เจ้าอยากออกไปตายหรืออย่างไร?”
หลงหน่าตอบว่า “ข้าน้อย… ต้องการแก้แค้นให้ท่านอาจารย์”
“เจ้าเพิ่งบรรลุขั้นจอมเทพระดับ 5 เท่านั้น อีกทั้งรากฐานพลังก็ยังไม่มั่นคง ในร่างกายเจ้ายังมีแต่พลังปราณจำแลง เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปีศาจพวกนี้หรอก...” องค์ชายเจี้ยนอวี่กล่าวด้วยความเป็นกังวล สุดท้าย ก็ออกคำสั่งอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าออกไปต่อสู้”
หลงหน่านิ่งเงียบ
นางไม่เคยขัดคำสั่งองค์ชายเจี้ยนอวี่มาก่อน
“ช่างเถอะ เดี๋ยวข้าออกไปเอง”
หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองไปที่เจ้าเสือเสี่ยวหูซึ่งกำลังวิดพื้นอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะค่อย ๆ เดินออกมาจากกลุ่มผู้คน “การประลองคู่ที่สาม ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”
ฝ่ายมนุษย์ไม่สมควรพ่ายแพ้อีกต่อไป
แม้ว่าภารกิจจากแอปพลิเคชัน Keep จะยังดำเนินไปไม่สำเร็จ แต่อีกไม่นานก็น่าจะทำได้สำเร็จแล้ว… และหลินเป่ยเฉินก็รอคอยไม่ได้อีกต่อไป
บรรดายอดฝีมือจากเผ่าพันธุ์มนุษย์หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินเรียกร้องสมุนไพรวิเศษและคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธระดับสูงจากสำนักต่าง ๆ เป็นสิ่งตอบแทนในการร่วมประลองครั้งนี้ แม้หลายคนจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็แอบรู้สึกไม่พอใจอยู่เล็ก ๆ
แต่บัดนี้ เมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ตกอยู่ในห้วงแห่งความหมดหวังหลังการพ่ายแพ้ของหวังซือเฉากับไป๋ลู่ซือ เด็กหนุ่มหน้าเลือดผู้เห็นแก่เงินทองของมีค่าคนนี้กลับเลือกที่จะออกไปเผชิญหน้าท้าทายความตาย การกระทำครั้งนี้จึงทำให้ความคิดของผู้คนแปรเปลี่ยนไปไม่น้อย
จังหวะนั้น เสียงของราชาอสูรวาฬดังกังวานไปทั่วแผ่นฟ้า
“การประลองคู่ที่สาม เผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องส่งตัวแทนออกมาก่อน”
ได้เวลาแสดงฝีมือแล้ว
หลินเป่ยเฉินกำลังจะกระโดดลงสู่เวทีประลองบนยอดเขาเซินปี๋
“ช้าก่อน”
หลิวอู่เหยียนผู้นิ่งเงียบมาโดยตลอดพลันตะปบมือลงบนไหล่ของหลินเป่ยเฉิน
ชายชราจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่มและส่ายศีรษะช้า ๆ “การประลองครั้งนี้ ข้ารับผิดชอบเอง”
“เจ้าสำนักหลิว ท่าน...”
หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองแขนที่ขาดหายไปข้างหนึ่งของหลิวอู่เหยียน
สำหรับผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าชายชราผู้มีความแข็งแกร่งเป็นอันดับสองของเมืองชิงอวี้ยังฟื้นฟูพลังกลับคืนมาได้ไม่เต็มที่ หลิวอู่เหยียนเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บได้เพียงเจ็ดส่วนเท่านั้น หรือต่อให้เป็นตอนที่หลิวอู่เหยียนมีสภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงพร้อมรบ ก็ยังไม่แน่ด้วยซ้ำว่าชายชราจะสามารถเป็นผู้ชนะในการประลองครั้งนี้ได้หรือไม่
เพราะฉะนั้น การลงสู่เวทีประลองในสภาพที่ร่างกายยังบาดเจ็บอยู่เช่นนี้ จึงเท่ากับเป็นการออกไปฆ่าตัวตายชัด ๆ
แต่หลิวอู่เหยียนก็ยังคงยืนกรานหนักแน่น
“เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องมีผู้หนึ่งชนะบ้าง”
เขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาแห่งความคาดหวัง ก่อนที่สายตาจะแปรเปลี่ยนไปเป็นความเศร้าเสียใจ หากก่อนหน้านี้ตนเองมองเห็นถึงความสามารถที่แท้จริงของหลินเป่ยเฉิน เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คงไม่ต้องมาตกที่นั่งลำบากเช่นนี้แล้ว
เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องมีผู้หนึ่งชนะบ้าง
หลินเป่ยเฉินเข้าใจทันทีว่าคำพูดประโยคนี้หลิวอู่เหยียนหมายความว่าอย่างไร
การประลองสองคู่ที่ผ่านมา เผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ
พวกมันกำลังได้เปรียบ
เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินกำลังจะลงสู่เวทีประลอง เผ่าพันธุ์ปีศาจก็จะต้องส่งยอดฝีมือของพวกมันออกมาเผด็จศึกเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น หลิวอู่เหยียนจึงไม่ต้องการให้หลินเป่ยเฉินออกไปประลองในขณะนี้
หากเผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องพ่ายแพ้ในการประลองวันนี้จริง ๆ อย่างน้อยก็สมควรต้องมีตัวแทนของพวกเขาเป็นฝ่ายชนะบ้างสักคนหนึ่ง
และมีเพียงหลินเป่ยเฉินคนเดียวเท่านั้นที่มีความเป็นไปได้ในการได้รับชัยชนะ
เพราะฉะนั้น หลินเป่ยเฉินจึงสมควรออกไปประลองเมื่อมั่นใจว่าจะชนะจริง ๆ เท่านั้น
น้ำหนักมือที่กดอยู่บนหัวไหล่หลินเป่ยเฉินหายวับไป หลิวอู่เหยียนหมุนตัวพุ่งเป็นลำแสงทิ้งกายลงสู่เวทีประลองซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยวา
“ตัวแทนจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ หลิวอู่เหยียน”
เมื่อคำรามนามของตนเองออกมา หลิวอู่เหยียนก็ชักกระบี่ออกมาถือในมือแล้ว
เมื่อรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างกาย บรรดาผู้คนทั้งหลายจึงเพิ่งตระหนักรู้ว่าชายชราผู้นี้คือหนึ่งในยอดฝีมือที่แท้จริง
กระบี่ในมือเคยฟาดฟันมานับครั้งไม่ถ้วน
กระบี่ในมือเคยฆ่าคนมานับครั้งไม่ถ้วน
หลิวอู่เหยียนยืนอยู่ในความเงียบ ชายเสื้อคลุมปลิวไสวตามสายลม
ในกลุ่มที่นั่งของฝ่ายปีศาจ นี่เป็นครั้งแรกที่ไม่มีตัวแทนของพวกมันพุ่งตัวออกมาโดยทันที
ต้องรอให้ผ่านไปถึงสิบลมหายใจ
ทุกคนจึงเห็นแสงสว่างวูบวาบอยู่ตรงหน้า
แล้วร่างสีม่วงก็ปรากฏกายขึ้นบนเวทีประลอง
เจ้าของร่างนั้นถูกห่อหุ้มอยู่ภายในเสื้อคลุมสีม่วง คลื่นพลังเสมือนเปลวไฟลุกโชนทั่วร่างกาย ไม่มีใครสามารถมองเห็นใบหน้าของคนผู้นี้ได้ถนัดตา ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นี้เป็นบุรุษหรือสตรี ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นี้มีขั้นพลังอยู่ในระดับใด
“นั่นมันภูตอเวจีนี่”
อวี้อู๋เฉียนอุทานออกมาด้วยสีหน้าหมดหวัง
ฝ่ายปีศาจส่งตัวแทนที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองออกมาแล้ว
และการต่อสู้ที่สำนักเฉาเทียน การที่แขนขาดหายไปข้างหนึ่งของหลิวอู่เหยียน ก็เป็นฝีมือของภูตอเวจีผู้นี้นี่เอง
บรรดาท่านเจ้าสำนักใหญ่พากันถอนหายใจด้วยความเศร้าสลด
การประลองครั้งนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คงต้องพ่ายแพ้อีกครั้ง
หลิวอู่เหยียนผู้ยืนอยู่บนเวทีประลองได้แต่ลอบถอนหายใจเงียบ ๆ
เขาเคยพ่ายแพ้ต่อคนผู้นี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นตนเองสามารถหลบหนีออกมาได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
คิดไม่ถึงเลยว่ากลับต้องมาพบเจอกันอีกครั้งในการประลองวันนี้
ชิ้งงง!
กระบี่ยาวสั่นไหวขณะถูกตวัดขึ้นไป
หลิวอู่เหยียนระเบิดพลังปราณแท้จริงของตนเองออกมาโดยไม่ลังเล แล้วกระบี่ในมือของเขาก็ลอยขึ้นไปสู่ท้องฟ้า…
ได้เวลาแล้ว
นี่คือการโจมตีครั้งสุดท้ายในชีวิตของหลิวอู่เหยียน
ในเวลาเดียวกันนี้
“หนึ่งกระบวนท่า”
ภูตอเวจีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ฝ่ามือกระแทกออกมาข้างหน้าเพียงเล็กน้อย
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ฝ่ามือที่ขาวเนียนราวกับหิมะก็โผล่พ้นออกมาจากชายเสื้อคลุมมาถึงเบื้องหน้าหลิวอู่เหยียนแล้ว
ฝ่ามือนี้เข้าถึงตัวหลิวอู่เหยียนก่อนที่กระบี่บนท้องฟ้าจะรวบรวมพลังปราณแท้จริงได้เต็มอัตราเสียอีก
ลำแสงกระบี่ดับสิ้นลง
ฝ่ามือที่ขาวเนียนกระแทกเข้าใส่ทรวงอกของหลิวอู่เหยียน
พลั่ก!
แผ่นหลังของหลิวอู่เหยียนปรากฏรอยปูดนูน บนชุดเกราะปรากฏรอยฝ่ามือชัดเจน
หลิวอู่เหยียนยืนตัวแข็งทื่อ
เคร้ง!
กระบี่ยาวร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
ภูตอเวจีไม่พูดคำใดอีก ได้แต่หมุนตัวและพุ่งร่างเป็นลำแสงหายวับไปจากเวทีประลองทันที
“ฟูู่…”
โลหิตและเศษอวัยวะภายในไหลทะลักออกมาจากปากของหลิวอู่เหยียน
เขาระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความเศร้าและหมุนกายกลับมาอย่างยากลำบาก
คู่ต่อสู้สามารถเอาชนะเขาได้ในกระบวนท่าเดียวเท่านั้น
มิหนำซ้ำยังล่าถอยไปโดยไม่ฆ่าเขาเสียอีก
นี่เท่ากับเป็นการหยามศักดิ์ศรียิ่งกว่าการฆ่าให้ตายหลายร้อยพันเท่า
หลิวอู่เหยียนค่อย ๆ เดินโซเซออกจากเขตเวทีประลอง
เขาเหินร่างกลับมาสู่อัฒจันทร์ฝั่งตนเองด้วยความยากลำบาก
“ท่านเจ้าสำนักหลิว…”
“ท่านเจ้าสำนัก…”
“ท่านผู้อาวุโส?”
กลุ่มคนรีบวิ่งเข้ามาล้อมรอบด้วยความเป็นกังวล
หลิวอู่เหยียนไม่กล่าวคำใด
ชายชรายืนตัวแข็ง พยายามสะกดกลั้นอาการบาดเจ็บในร่างกาย เขาสูดหายใจลึกและมองมาที่หลินเป่ยเฉินก่อนจะยื่นมือออกไปแตะลงบนหน้าผากของเซียวปิง
พลังปราณมหาศาลที่ไม่ทราบเลยว่าไหลรินมาจากที่ใดในร่างกายอันบอบช้ำร่างนี้กำลังถูกส่งผ่านเข้าสู่ร่างกายของเซียวปิงอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่…”
ผู้อาวุโสหนงซัวร้องครางออกมาด้วยความเศร้า
นางคิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์พี่ของตนเองจะเก็บพลังเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่ เพื่อกลับมาถ่ายเทความแข็งแกร่งให้แก่เซียวปิงผู้เป็นลูกศิษย์สุดที่รักเช่นนี้!