เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1591 ชื่อเดิม
ตอนที่ 1,591 ชื่อเดิม
ทุกคนมีสีหน้าแปลกประหลาดเมื่อได้ยินเช่นนั้น
คำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากของวีรบุรุษแห่งเมืองชิงอวี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
แต่มีผู้ใดบ้างจะกล้าตั้งคำถาม?
ผู้คนแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและเฉลิมฉลองกันต่อไป
เสียงโห่ร้องดังกึกก้องท้องนภา
นักพรตหญิงชินยืนอยู่วงนอกของกลุ่มคน ใบหน้าประดับรอยยิ้มเล็กน้อย ช่วยทำให้บรรยากาศรอบตัวสดใสมากกว่าเดิมหลายเท่า ความสวยงามและความมีสง่าราศีของนักพรตหญิงชินนั้น ดูจะเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ทั้งมวล
“นายน้อยขอรับ… ฮื่อ พวกเจ้าถอยไปซะ อย่าได้มายุ่งกับนายน้อย นี่คือนายน้อยของข้าคนเดียวเท่านั้น…”
หวังจงออกปากขับไล่ผู้คน ตัวของพ่อบ้านชราเองก็กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข เขาอยากจะเข้าไปกอดขาของหลินเป่ยเฉิน แต่มีผู้คนมากมายขวางทางจึงไม่สามารถเข้าไปกอดได้
และในช่วงเวลานี้ อากวงก็นำกระดานชนวนออกมาวาดรูปอย่างตั้งอกตั้งใจ
สุดท้ายมันก็วาดรูปของหลินเป่ยเฉินที่เอาชนะศัตรูได้อย่างสง่างาม
ส่วนเรื่องราวต่อจากนี้ไม่มีสิ่งใดซับซ้อน
การเฉลิมฉลองของเผ่าพันธุ์มนุษย์ดำเนินต่อไป
ฝ่ายอวี้เหวินซิวเซียนเริ่มต้นถอนกำลังกองทัพปีศาจออกไปจากเมืองชิงอวี้ตามคำสัญญา
ซึ่งไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว
คำว่า ‘พวกท่านต้องเพิ่มเงินนะขอรับ’ ของเขาไม่ได้เป็นคำพูดล้อเล่น
หลินเป่ยเฉินหมายความตามนั้นจริง ๆ
เขาอยากจะเดินทางออกจากเมืองชิงอวี้ เพื่อไปเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่ เพื่อทำให้ตนเองได้เลื่อนขั้นพลังสู่ขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เพื่อที่จะได้เปิดประตูมิติกลับไปช่วยเหลือผู้คนที่ถูกปิดผนึกวิญญาณกลายเป็นรูปปั้นหินอยู่ในแผ่นดินตงเต้า
ดังนั้น กลุ่มผู้ติดตามของเขาที่นำโดยเซียวปิง อากวงและเจ้าเสือเสี่ยวหู จึงเริ่มต้นออกไปไล่เก็บเงินจากสิบเอ็ดสำนักใหญ่อย่างรวดเร็ว
…
วันต่อมา
ดวงจันทร์ลอยอยู่กลางท้องฟ้า
อากาศเปียกชื้น
หลินเป่ยเฉินนำสุราชั้นเลิศที่ไถมาจากกลุ่มคนสำนักใหญ่ติดตัวมาด้วย
เด็กหนุ่มมุ่งหน้ามายังยอดเขาซานเยว่
เดิมทียอดเขาซานเยว่มีความสูงเป็นอันดับที่ยี่สิบของภูเขาอวิ๋นเจวี่ยน แต่ด้วยความที่ยอดเขาอื่น ๆ ถูกทำลายล้างไปในช่วงที่เหล่าปีศาจเรืองอำนาจ บัดนี้ ยอดเขาซานเยว่จึงกลายเป็นยอดเขาที่มีความสูงมากที่สุด
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดพิสดารอันใด บางครั้ง คนที่อยู่เฉย ๆ โดยไม่ต้องทำสิ่งใดก็กลายเป็นผู้ชนะโดยไม่รู้ตัว
เมื่อมาถึงยอดเขาซานเยว่ หลินเป่ยเฉินก็พบว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงมารออยู่ก่อนแล้ว
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงใช้กระบี่ตัดก้อนหินนำมาทำเป็นโต๊ะและเก้าอี้ชุดหนึ่ง ส่วนตัวนางก็กำลังนั่งเอามือเท้าคาง เหม่อมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย
ราตรีดึกสงัด สายฝนเย็นเฉียบโปรยปรายลงมา ทรงผมหางม้าสองแกละของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเปียกลู่แนบติดกับใบหน้า นางยังคงมีลักษณะท่าทีใสซื่อไร้เดียงสา ราวกับว่าต่อให้ทำสิ่งใดผิดมา ผู้คนก็จำเป็นต้องยกโทษให้แก่นาง
หลินเป่ยเฉินเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะหิน
“มาแล้วหรือ?”
“มาแล้ว”
“สุราอยู่ที่ใด?”
“สุราอยู่ที่นี่”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงวางชามหินสองใบลงบนโต๊ะหิน
หลินเป่ยเฉินรินสุราใส่ชามหินทั้งสองใบนั้น
พวกเขายังไม่ทันได้พูดอะไรกัน สุราก็ถูกเติมหมดไปแล้วสามชาม
“พวกเรามาคุยกันเถอะ”
หลินเป่ยเฉินยกหลังมือปราบคราบสุราออกไปจากมุมปาก
อันที่จริง สุราที่ซื้อหาได้จากแอเถาเป่านั้นมีรสชาติดีและมีความร้อนแรงมากกว่านี้หลายเท่า
แต่บัดนี้ หลินเป่ยเฉินยังมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน จึงต้องใช้จ่ายเงินทุกตำลึงอย่างระมัดระวังที่สุด เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่มีทางเสียเงินเลี้ยงสุราเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงผู้นี้เด็ดขาด
“ข้าเป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์ปีศาจ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยิ้มขณะเติมสุราให้แก่ชามตนเอง
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “แม้แต่คนตาบอดก็ยังดูออก”
“โฮะ ๆๆ น้องชาย เดี๋ยวนี้วาจาของเจ้าร้ายกาจไม่เบาเชียวนะ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยกชามสุราขึ้นดื่ม สุราไหลหยดออกมาจากมุมปากอวบอิ่ม ใบหน้าของนางเหยเกเล็กน้อยขณะกล่าวต่อ “แต่ก่อนหน้านี้ เป็นเจ้าไม่เคยถามที่มาที่ไปของข้าเองนี่นา”
“จะโทษว่าเป็นความผิดของข้างั้นสิ?”
หลินเป่ยเฉินกลอกตามองบน
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงวางชามสุราลงบนโต๊ะหินและกล่าวว่า “ไม่ต้องถามแล้ว ทำไมเจ้าถึงชอบขัดจังหวะผู้อื่นนักนะ? อีกอย่าง ก่อนหน้านี้เจ้ามีปัญหาพัวพันไม่รู้จบ ผู้ใดจะไปรู้ว่าเจ้าเป็นฝ่ายดีหรือฝ่ายร้ายกันแน่? พอมาถึงเมืองชิงอวี้ ข้าถึงได้ค่อย ๆ ฟื้นฟูพลังของตนเองกลับคืนมา”
“แล้วตกลงว่าท่านเป็นผู้ใดกันแน่?”
หลินเป่ยเฉินถามประเด็นสำคัญ
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบว่า “เรื่องนี้อธิบายได้ยากนัก เพราะว่าเจ้าไม่เข้าใจสิ่งใดเลย เอาเป็นเช่นนี้ก็แล้วกัน บรรพบุรุษของผู้คนในเมืองชิงอวี้เคยเคารพนับถือข้า บรรพบุรุษของผู้คนในอาณาจักรหลิวเยวียนเคยเคารพนับถือข้า และผู้คนทั่วทั้งแดนมหาแผ่นดินไปจนถึงภพภูมิดาราจักรก็เคยเคารพนับถือข้า… ไม่ทราบว่าเจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้ากล่าวอย่างประชดประชันว่า “ถ้าอธิบายตามนี้ก็พอเข้าใจอยู่ สรุปว่าท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในทุกแดนดินเลยสินะ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงทำสีหน้าเหมือนคนเบื่อโลก
“ข้าไม่ได้ประชดเจ้านะ แต่ข้ากำลังอธิบายตามความเป็นจริงต่างหาก”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงโน้มตัวมาข้างหน้า คอเสื้อเปิดออกเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงเนินอกอะร้าอร่าม และปลายผมหางม้าของนางก็ตกลงไปสู่ร่องอก ใบหน้าที่สวยงามแสดงความไม่พอใจราวกับเป็นเด็กน้อยที่กำลังถูกใส่ร้ายและหาทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง
ด้วยสีหน้าและท่าทางเช่นนี้ หากพวกของอวี้เหวินซิวเซียนและเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวอื่น ๆ มาพบเห็นเข้า พวกมันคงตกตะลึงจนดวงตาแทบถลนหลุดออกจากเบ้าแล้ว
เพราะนี่คือภาพที่พวกมันไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“สรุปก็คือท่านเกี่ยวข้องกับสงครามที่กำลังเกิดขึ้นในอาณาจักรหลิวเยวียนใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเขม็ง
นางเองก็ไม่ได้หลบสายตาเขา มิหนำซ้ำ ยังยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะอีกด้วย ก่อนตอบว่า “ถูกต้อง หลังจากที่ข้ากลับมาถึงเมืองชิงอวี้ ข้าก็แอบติดต่อกับผู้คนเผ่าพันธุ์ปีศาจและสั่งให้พวกเขาเริ่มหาเงินให้ข้าก่อนเป็นอย่างแรก”
หลินเป่ยเฉินถามอย่างใช้ความคิด “ศัตรูของท่านคือเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง นี่คือการแก้แค้นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่ปฏิเสธและกล่าวเสริมว่า “และไม่ได้มีแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น”
“เชี่ย…”
หลินเป่ยเฉินหลุดอุทานคำหยาบออกมา “งั้นข้าต้องตายด้วยหรือไม่?”
“อิอิ…”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง “ท่านเป็นใครกันแน่?”
“ข้าก็คือข้า บัดนี้ ข้ามีนามว่าเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง”
เทพีขี้เมาก้มหน้ามองชามสุราบนโต๊ะหิน
สุราที่อยู่ในชามทำหน้าที่ไม่ต่างจากกระจกสะท้อนเงาท้องฟ้าและดวงจันทร์ เช่นเดียวกับใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน
ใบหน้าของเด็กหนุ่มและดวงจันทร์บนท้องฟ้าดูสวยงามยิ่งนัก
แต่หากขยับชามเพียงเล็กน้อย ใบหน้าของเด็กหนุ่มกับดวงจันทร์ในชามสุราก็จะหายไป
ดังนั้น นางจึงไม่แตะต้องมัน
“แล้วก่อนหน้านี้ท่านชื่ออะไร?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบโดยไม่ได้เงยหน้ามองกลับมา “ชื่อเดิมของข้าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเจ้า จะอยากรู้ไปทำไม?”
“ข้าอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับท่าน”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวว่า “เจ้าดูเงาสะท้อนในชามสุรานี้สิ มันช่างสวยงามและชัดเจนเหลือเกิน แต่หากเจ้าเข้าใกล้มันมากเกินไป หรือหากเจ้าแตะต้องชามใบนี้ ความสวยงามทั้งหมดก็จะพังทลายลงไปทันที”
หลินเป่ยเฉินกล่าวตอบ “เพราะดวงจันทร์ในชามใบนี้คือภาพมายา แต่ดวงจันทร์ที่อยู่บนท้องฟ้าคือของจริง ต่อให้ภาพมายาพังทลายลงไป ดวงจันทร์บนท้องฟ้าก็ยังคงอยู่ตลอดกาล”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวอีกครั้งว่า “แต่บางครั้งอาจมีเมฆดำบดบังดวงจันทร์บนท้องฟ้า”
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย “แต่บางครั้งท้องฟ้าก็ใสกระจ่าง สามารถรับชมความสวยงามของดวงจันทร์ได้เช่นคืนนี้”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพลันยิ้มออกมาโดยทันที นางยกถ้วยสุราขึ้น ใบหน้าของเด็กหนุ่มและเงาจันทร์ก็สลายหายไป “ชื่อเดิมของข้าก็คือเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง”
ชื่อเดิมกับชื่อปัจจุบันล้วนเป็นชื่อเดียวกัน
นางไม่ได้โกหกเขา
หลินเป่ยเฉินจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเทพธิดาขี้เมา “ศัตรูของท่านคือผู้ใดกันแน่?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความพิศวง
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มอย่างแจ่มใสยิ่งกว่าแสงของดวงจันทร์บนท้องฟ้า “ข้าจะช่วยแก้แค้นให้ท่านเอง”
มือของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงสั่นเทาเล็กน้อย
แล้วชามหินก็ร่วงหลุดมือตกกระแทกพื้นแตกกระจาย