เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1592 สุราเก่า สหายเก่า
ตอนที่ 1,592 สุราเก่า สหายเก่า
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจ้องมองใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน
นี่คือใบหน้าที่หล่อเหลาเกินทานทน
อีกทั้งสายตาคู่นี้ก็จริงใจเหลือเกิน
ทันใดนั้น อดีตทุกอย่างได้หวนคืนกลับมาในห้วงคิดของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
นางเปลี่ยนชามใบใหม่มาดื่มสุราต่อไป
ไม่มีเงาจันทร์ในชามสุราอีกแล้ว
“น้องชาย หากเจ้าอยากแก้แค้นให้ข้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องตั้งใจฝึกฝน เมื่อเจ้ากลายเป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้เมื่อไหร่ ค่อยลองคิดถึงเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
สีหน้าของนางกลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง
แต่สุดท้ายเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ไม่ได้บอกออกมาว่าศัตรูของนางคือผู้ใด
หลินเป่ยเฉินรู้ว่านางไม่อยากบอกจึงไม่ได้เค้นถามประเด็นนี้อีกและเปลี่ยนไปถามว่า “ท่านก็จะไปจากที่นี่เช่นกันหรือ?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพยักหน้า ตอบว่า “เดิมทีหน้าที่ของข้าก็คือการออกเดินทางไปยังดินแดนต่าง ๆ ในภพภูมิดาราจักรอยู่แล้ว ที่ข้าไปอาศัยอยู่ในดินแดนทวยเทพนั้นก็เพื่อใช้เวลาพักรักษาตัว ดังนั้น ในช่วงเวลาหลังจากนี้ ข้าคงยุ่งมากทีเดียว”
หลินเป่ยเฉินสอบถามต่อไปด้วยความอยากรู้
“ท่านกำลังจะออกเดินทางอีกครั้ง คงอยากพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเองกระมัง?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงส่ายหน้า
ดวงตาของนางเป็นประกายวาบคล้ายกับนึกถึงเรื่องราวในอดีต
“ข้ารอคอยโอกาสนี้มาหลายร้อยปีแล้ว ข้าอยากจะสู้ให้สุดใจ ข้าไม่ได้อยากจะพิสูจน์ว่าตนเองเป็นผู้แข็งแกร่ง แต่ข้าอยากจะบอกให้ทุกคนได้รู้ว่า ข้ากำลังจะกลับมาเพื่อทวงคืนทุกสิ่งที่เคยเป็นของข้ากลับมา”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ชั่วขณะนั้น หลินเป่ยเฉินพลันรู้สึกว่าสตรีที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเขาคนนี้ ไม่ต่างจากเป็นคนแปลกหน้า และนางก็อยู่ห่างไกลจากเขาหลายล้านปีแสง
หลินเป่ยเฉินสามารถจินตนาการได้เลยว่าในอดีตที่ผ่านมา เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงคงจะต้องพบเจอเรื่องราวความตายมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพรรคพวกของตนเองหรือฝ่ายของศัตรู เส้นทางชีวิตของนางที่ดำเนินมาถึงจุดนี้ คงต้องผ่านภูเขาซากศพและถนนเลือดเนื้อมาไม่ใช่น้อย
นี่คือความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาพร้อมกับความคุ้นเคยที่จางหายไป
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
เด็กหนุ่มรู้สึกสงสารเวทนาเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
นับว่าภายใต้หน้ากากของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงที่เป็นเทพธิดาขี้เมาและพึ่งพาไม่ค่อยได้นั้น นางได้เก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้มากมายทีเดียว
หลินเป่ยเฉินไม่พูดคำใดอีก จากนั้นก็จัดการรินสุราเทใส่ชามให้นางอีกครั้ง
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่ปฏิเสธ
นางยกชามสุราดื่มจนหมดเกลี้ยง
“ข้าเคยได้ยินข่าวลือมาว่าตอนอยู่ในตำหนักไม้ไผ่ของเมืองหยุนเมิ่ง เจ้าเคยขับร้องบทเพลงที่ไพเราะจับใจผู้คน ฟังดูน่าสนใจ… โดยเฉพาะเนื้อเพลงที่ข้าฟังไม่เข้าใจเลย เจ้าร้องว่าอะไรนะ… ‘วันนี้ฉันร้องไห้ พรุ่งนี้ฉันหัวเราะ’ ใช่หรือไม่? แต่ถึงข้าจะไม่เข้าใจ ข้ากลับชื่นชอบเนื้อหาบทเพลงของเจ้าเป็นอย่างยิ่ง”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความเมามายเล็กน้อย
เด็กหนุ่มตอบกลับไปว่า “งั้นข้าจะขับร้องให้ท่านฟัง”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงส่ายศีรษะปฏิเสธและกล่าวว่า “ไม่ ข้าไม่ได้อยากฟังบทเพลงนั้น… ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเราจะได้กลับมาพบเจอกันอีกหรือไม่ ข้าอยากรับฟังบทเพลงที่เจ้าไม่เคยขับร้องให้ผู้ใดฟังมาก่อนต่างหาก มีเพียงข้าเท่านั้นที่จะได้ยินบทเพลงนี้”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
เขาจ้องมองใบหน้าที่สวยงามและจินตนาการถึงลมฝนพายุร้ายที่นางต้องเคยประสบพบเจอมาในชีวิตนี้ หลังจากนั้น ถ้อยคำมากมายก็ปรากฏขึ้นมาในห้วงคิดของหลินเป่ยเฉิน แต่เขากลับไม่สามารถพูดคำใดออกมาได้เลย
หลินเป่ยเฉินยิ้มเล็กน้อยและเริ่มต้นขับร้องบทเพลง
“เธอออกตามหาตัวเอง ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์”
“เธอออกเดินทางเพื่อปลดปล่อยความเศร้าในหัวใจ”
“อย่าได้หวั่นเกรง อย่าได้หวั่นไหว…”
“จงมั่นใจในความสามารถของเธอ”
“ต่อให้อยู่ห่างจากกันข้ามฟ้าข้ามมหาสมุทร แต่เธอจะอยู่ในใจของฉันเสมอ…”
“ทุกครั้งที่เธอเงยหน้ามองก้อนเมฆ จงรู้ว่าฉันกำลังคิดถึงเธอ”
“ในทะเลทรายยังคงมีดวงจันทร์และมันไม่เคยได้กลับบ้าน”
“จนเมื่อเธอกลับมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าฉันจะได้อยู่ตรงนี้อีกหรือเปล่า…”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรับฟังเนื้อหาของบทเพลงนั้นก็อดรู้สึกงุนงงไม่ได้
นางรู้สึกเหมือนกับว่าบทเพลงนี้เขียนขึ้นมาเพื่อตนเอง ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตผุดวาบขึ้นมาในความทรงจำ และเรื่องราวเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจหวนคืนได้อีกแล้ว
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรู้ดีว่าเนื้อหาของบทเพลงนี้ หลินเป่ยเฉินเจตนาเกลี้ยกล่อมให้นางอยู่ต่อ เขาพยายามปลอบโยนให้นางปล่อยวางอดีตและยึดติดอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น
แต่นางจะปล่อยวางได้อย่างไร?
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจ้องมองเด็กหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นั่งขับร้องบทเพลงอยู่เบื้องหน้าด้วยความพิศวง
แสงจันทร์สาดส่องลงมาอาบไล้ใบหน้าของเขา
หยาดฝนที่โปรยปรายลงมาไหลหยดผ่านใบหน้าที่คมสัน
สายลมเงียบสงบ
เมฆลอยต่ำ
สายฝนโปรยปราย
แสงจันทร์สาดส่อง
บทเพลงไพเราะ
เด็กหนุ่มหล่อเหลา
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นองค์ประกอบที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงชื่นชอบ
นางชื่นชอบมันยิ่งนัก
แต่นางยังคงต้องไปอยู่ดี
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจ้องมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหน้าและอดคิดไม่ได้ว่าหากวันหนึ่งความแค้นของนางได้สลายหายไป เมื่อนางกลับมานั่งอยู่เบื้องหน้าเขาอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินจะยังคงอยู่ตรงนี้อีกหรือไม่? เขาจะยังคงเป็นเด็กหนุ่มคนเดิมที่ยินดีร่ำสุราเป็นเพื่อนกับนางและขับร้องบทเพลงให้นางฟังอยู่อีกหรือไม่?
หากไม่ ก็จากกันไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า
การที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงมาที่นี่ในคืนนี้ ก็เพื่อมาทำตามคำสัญญาเท่านั้น
แต่บัดนี้ หญิงสาวกลับรู้สึกว่าตนเองไม่ควรมาเลย
ในเมื่อไม่ยอมตัดใจ แล้วจะลืมเลือนได้อย่างไร?
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงนั่งรับฟังบทเพลงของหลินเป่ยเฉินในความเงียบ
เมื่อบทเพลงจบลง สายลมก็กระโชกแรงมากขึ้น
กลิ่นกายหอมหวนยังคงตลบอบอวลอยู่บนโต๊ะหิน แต่หญิงสาวผู้หลงใหลในเงาจันทร์บนท้องฟ้าผู้นั้นได้หายลับไปจากยอดเขาซานเยว่เรียบร้อยแล้ว
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจากไปแล้ว
ไม่บอกลากันสักคำ…
หลินเป่ยเฉินเห็นเพียงลำแสงสีม่วงพุ่งห่างออกไปด้วยความเร็วสูงสุด
หลินเป่ยเฉินยังคงนั่งอยู่ที่เดิมและไม่ได้ไล่ตามไป
เขานั่งเอามือเท้าคาง อ้าปากและสูดลมหายใจ แล้วสุราในไหก็ลอยเข้าปากเขาไปโดยไม่ต้องยกขึ้นดื่ม
แต่เพียงไม่นาน หลินเป่ยเฉินก็ทิ้งชามหินวางไว้บนโต๊ะหินให้อยู่คู่กัน ก่อนจะจัดระเบียบเก้าอี้และโต๊ะหินชุดนี้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็นำไหสุราไปฝังไว้ใต้ดินในบริเวณใกล้เคียงกับโต๊ะหิน
โบราณเคยกล่าวไว้
สหายเก่า
สุราเก่า
ตราบใดที่ยังเก็บสุราเก่าเอาไว้ ผู้คนก็จะได้กลับมาพบเจอกันเสมอ
“เฮ้อ ยัยโง่เอ๊ย”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปยังทิศทางที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหายวับไป บนใบหน้าประดับรอยยิ้มฝืน
“ไม่ว่าศัตรูของท่านเป็นใคร ไม่ว่ามันจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับใด หรือจะเป็นจอมปีศาจหรือจอมอสูรหน้าไหน... ข้าก็จะต้องพาท่านกลับมาร่ำสุรากับข้าอีกครั้งให้ได้ คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่? ท่านยังไม่ได้ทำตามคำสัญญาเลยนะ… หากมีผู้ใดขวางทางท่านไม่ให้ท่านกลับมา ข้าคนนี้ก็จะไปพาท่านกลับมาเอง”
ลำแสงสีขาวพุ่งวูบ
หลินเป่ยเฉินก็ออกมาจากยอดเขาซานเยว่แล้วเช่นกัน
มีหลายเหตุผลที่เป็นแรงจูงใจทำให้หลินเป่ยเฉินอยากแข็งแกร่งมากขึ้น
และเด็กหนุ่มก็เพิ่งจะได้ค้นพบอีกหนึ่งเหตุผลแล้ว!