เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1621 ขอเวลาอย่าเพิ่งใจร้อน
ตอนที่ 1,621 ขอเวลาอย่าเพิ่งใจร้อน
เขารู้จักบุคคลผู้นี้
ฮั่วหานซานรู้ด้วยว่าคนผู้นี้เคยปลอมตัวในชื่ออวี้เหวินซิวเซียน นอกจากสังหารหัวหน้าฝูงอสูรสิงโตทองคำได้แล้ว ยังเป็นผู้ที่สังหารฮั่วเจี้ยนป๋อพี่ชายของเขาและองครักษ์ตระกูลฮั่วอีกหลายชีวิต... เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นความลับที่มีคนรู้เพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น
เหตุการณ์ที่หลินเป่ยเฉินสังหารคนตระกูลฮั่วนั้น เกือบจะทำให้ตระกูลฮั่วต้องล่มสลาย ไม่สามารถขจัดปัญหาเอาตัวรอดได้
กว่าลมฝนพายุร้ายจะผ่านพ้นไป ตระกูลฮั่วก็ต้องเหนื่อยหนักมากทีเดียว
ด้วยฐานะหนึ่งในเก้าตระกูลใหญ่แห่งอาณาจักรหลิวเยวียน การดำรงอยู่ของหลินเป่ยเฉินจึงไม่ต่างไปจากหนามยอกอกที่คอยทิ่มแทงหัวใจของพวกเขา และตระกูลฮั่วก็กำลังหาทางกำจัดเด็กหนุ่มผู้นี้ออกไปให้พ้นทาง
“สั่งคนให้คอยจับตาดูห้องพักฝั่งตรงข้ามให้ดี หากสตรีที่เพิ่งเข้าไปเมื่อสักครู่นี้ออกมาเมื่อไหร่ ให้พานางมาหาข้าทันที”
ฮั่วหานซานพูดจบก็ยิ้มมุมปากด้วยความเหยียดหยาม
“รับทราบเจ้าค่ะ คุณชาย”
เจิ้นหรู่อี้หมุนตัวและเดินจากไป
…
“พี่ชิน ท่านมาหาข้าเช่นนี้ มีเรื่องอันใดหรือ…”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองนักพรตหญิงชินผู้สวมใส่เสื้อผ้าสุดเย้ายวนใจ ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้ม ไม่อาจละสายตาไปจากหญิงสาวได้อีกแล้ว
แต่โชคดีที่เขาเคยผ่านประสบการณ์ศึกสวาทมาไม่น้อย เด็กหนุ่มจึงยังสามารถรักษาความสงบสุขุมได้โดยไม่มีปัญหา
นักพรตหญิงชินเดินไปถึงริมหน้าต่างและจ้องมองทิวทัศน์ยามราตรีที่สวยงามด้านนอก หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หมุนตัวกลับมากล่าวว่า “เจ้าต้องระวังตัวให้ดี”
“เอ๋?”
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความไม่เข้าใจ
“เป็นวีรบุรุษน่ะมันไม่ง่ายหรอกนะ”
นักพรตหญิงชินกล่าว “ในยุคสมัยแห่งสงคราม เมื่อเจ้าเป็นวีรบุรุษ เจ้าก็มีแต่ต้องหลั่งเลือดเท่านั้น เจ้าต้องรับฟังเสียงของผู้คน เจ้าไม่อาจได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการ และเจ้าต้องเป็นคนแรกที่เสียสละ โดยเฉพาะเรื่องราวในกองทัพหลิวเยวียนนั้น ทุกอย่างไม่ได้ดูสวยงามอย่างที่เจ้ารู้สึกหรอก ข้าสามารถรับประกันได้เลย”
หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้ถึงนัยยะแอบแฝงอะไรบางอย่างในคำพูดของนักพรตหญิงชิน ดังนั้น เขาจึงจะถามสิ่งที่ตนเองสงสัยออกมา
แต่นักพรตหญิงชินชิงตัดบทกล่าวต่อไปว่า “เจ้ารู้หรือไม่? นับตั้งแต่ที่มีสงครามเกิดขึ้นในอาณาจักรหลิวเยวียน มีผู้คนมากน้อยเพียงใดที่ถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษจากสภาขุนนาง?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย “มากน้อยเพียงใดขอรับ?”
นักพรตหญิงชินตอบว่า “มีทั้งสิ้น 1,379 คน”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
ที่แท้เขาก็ไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลย
นักพรตหญิงชินอธิบายต่อไป “ในจำนวนนี้ มีสี่ร้อยยี่สิบเอ็ดคนที่เคยพักอยู่ในชั้นสามสิบสามของโรงเตี๊ยมต้าเฟิงแห่งนี้”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าฉงนมึนงง
นักพรตหญิงชินยังคงกล่าวต่อไป “เจ้ารู้หรือไม่ ในจำนวนสี่ร้อยยี่สิบเอ็ดคนนี้ มีผู้ที่ยังรอดชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันมากน้อยเพียงใด?”
หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกได้ถึงสังหรณ์อัปมงคลบางอย่างในหัวใจขณะถามกลับไปว่า “มีมากน้อยเพียงใดขอรับ?”
นักพรตหญิงชินกล่าวเสียงเรียบ “หากไม่รวมเจ้าด้วย บัดนี้ก็เหลืออยู่เพียงสิบเอ็ดคนเท่านั้น มีสามคนแขนพิการ หนึ่งคนขาพิการ อีกสามคนถูกทำลายวรยุทธ์ อีกหนึ่งคนก็ตาบอด และเหลือเพียงสี่คนเท่านั้นที่ยังมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดี แต่สองในสี่เป็นผู้เสียสติเพราะธาตุไฟเข้าแทรก ส่วนอีกสองคนก็เก็บตัวหลอมรวมพลัง ไม่ปรากฏกายออกมานานแล้ว”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
ทำไมชะตากรรมของวีรบุรุษถึงได้น่าอนาถเช่นนี้เล่า?
“หากเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นวีรบุรุษแห่งอาณาจักรหลิวเยวียนอย่างแท้จริง เจ้าก็ต้องพบกับอันตรายมากมายในรูปแบบที่คิดไม่ถึง เจ้าจะไม่มีทางถอยหลังกลับได้อีก เจ้าจะต้องต่อสู้กับทั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเอง…”
นักพรตหญิงชินจ้องมองหลินเป่ยเฉินและกล่าวต่อไป “และสุดท้าย วีรบุรุษส่วนใหญ่ก็ต้องสังเวยชีวิตของตนเองในสนามรบ ดังนั้น ข้าขอถามเจ้า… เจ้ายังอยากจะเป็นวีรบุรุษอยู่อีกหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย
เขาเดินมาหยุดยืนอยู่เคียงข้างนักพรตหญิงชินและจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือของนางเอาไว้และบีบแน่น “หากเพื่อท่านแล้ว ยิ่งกว่าวีรบุรุษข้าก็สามารถเป็นได้ทั้งนั้น”
เกิดความเงียบงันตามมา
นับตั้งแต่ที่มาถึงเมืองหลันจี๋ซิง ความใฝ่ฝันที่จะเป็นวีรบุรุษของหลินเป่ยเฉินก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เขาไม่ได้อยากปกป้องเพียงผู้คนรอบตัวเท่านั้น แต่เขายังอยากปกป้องโลกทั้งใบเอาไว้อีกด้วย
นักพรตหญิงชินไม่ได้สลัดมือหนี นางปล่อยให้หลินเป่ยเฉินกุมมือของตนเองเอาไว้ ก่อนจะหันหน้ามามองใบหน้าอันหล่อเหลาของเด็กหนุ่มและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รีบเลื่อนขั้นพลังให้ถึงขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เร็ว ๆ สิ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า ก่อนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามออกไป “ว่าแต่ทำไมพี่ชินถึงรู้ข้อมูลเยอะจังเลยขอรับ?”
นักพรตหญิงชินยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบว่า “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าเลือกฝึกฝนวิชาตามสายเลือดผู้เยียวยา ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งยากเย็นต่อการค้นหา ตราบใดที่เจ้าตั้งใจ เจ้าก็จะรู้ข้อมูลทั้งหมด”
สมแล้วที่เป็นนักพรตหญิงชิน
เมื่อนางเลือกเส้นทางของตนเอง นางก็จะทำเต็มที่เสมอ
หลินเป่ยเฉินชื่นชมจากใจจริง
นักพรตหญิงชินถามออกมาอีกครั้ง “เจ้าลองคิดถึงเรื่องนั้นบ้างหรือยัง?”
“เรื่องอะไรขอรับ?”
“เจ้าเลือกแล้วหรือยังว่าจะฝึกวิชาตามสายเลือดใด?”
“เอ่อ… ข้ายังไม่ได้เลือกเลยขอรับ แต่บางที ข้าอาจจะเปิดเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยมีผู้ใดก้าวผ่านมาก่อน”
“เส้นทางอันใด?”
“เส้นทางที่อยู่เบื้องหน้าท่านไงล่ะ!”
นักพรตหญิงชินขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น เพราะนางไม่เข้าใจเลยว่าเด็กหนุ่มกำลังหมายถึงสิ่งใด
หลินเป่ยเฉินไม่พูดคำใดต่อ นอกจากยิ้มมุมปาก
เขาเป่าเส้นผมที่ตกลงมาปรกมุมปากออกไปจากใบหน้า แล้วลมหายใจร้อนอุ่นก็แผ่ไปกระทบผิวหน้าของนักพรตหญิงชินทันที
พลัน นางเข้าใจแล้วว่าหลินเป่ยเฉินหมายถึงสิ่งใด
ทันใดนั้น มือของหลินเป่ยเฉินก็โอบรั้งเอวอรชรของนางเข้าหาตัวอย่างกะทันหัน
ชุดที่นางสวมใส่มีความบางเบา
ฝ่ามือของเด็กหนุ่มร้อนอุ่น
นักพรตหญิงชินไม่ได้สงวนท่าทีของการเป็นนักบวชผู้ทรงศีลอีกแล้ว
เมื่อหลินเป่ยเฉินโน้มใบหน้าลงมา นางก็ค่อย ๆ เผยอริมฝีปากออก
ใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่าเมื่อบุรุษจูบสตรี มือของเขาก็มักจะหาอะไรยึดเกาะโดยไม่รู้ตัวเสมอ
หลินเป่ยเฉินเองก็เช่นกัน
มือของเขาแยกย้ายออกเป็นสองทาง
ทางแรกลูบไล้ภูเขาไฟคู่หน้า
อีกทางก็คลึงเค้นบั้นท้ายทางด้านหลัง
แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินพร้อมที่จะไปไกลมากกว่านั้น
นักพรตหญิงชินซึ่งกำลังโอบแขนกอดรอบเอวหลินเป่ยเฉินพลันเอนศีรษะหนีไปทางด้านหลังเล็กน้อย เส้นผมสีเงินของนางยาวสยายไปทางด้านหลังราวกับสายน้ำตก
“ยังไม่ได้”
นักพรตหญิงชินส่ายศีรษะเล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินตั้งคำถามขณะเตรียมจู่โจมต่อไป “เพราะเหตุใด?”
นักพรตหญิงชินถามกลับมาว่า “เจ้าลืมเกี่ยวกับคำสาปของข้าไปแล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วส่ายหน้าด้วยความมุ่งมั่น “ข้าไม่กลัว”
“เจ้านี่มันกล้าหาญจริง ๆ”
นักพรตหญิงชินปล่อยมือออกจากเอวของหลินเป่ยเฉิน และยังคงส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง ก่อนกระซิบออกมาแผ่วเบา “แต่เจ้าจะล้อเล่นกับโชคชะตาไม่ได้เป็นอันขาด เส้นทางข้างหน้าต่อจากนี้คือประสบการณ์ที่เจ้าไม่เคยพบเจอมาก่อน โชคชะตาของเจ้ายังคงอีกยาวไกล เจ้าอาจจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ครอบครองดินแดนทั่วเส้นทางดาราจักร แต่หากเจ้ามาเกี่ยวข้องกับคำสาปของข้า เจ้าอาจจะไม่กลัวเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเจ้าก็จริง แต่เจ้าไม่คิดถึงผู้คนที่อยู่รอบตัวเจ้าบ้างหรือ?”
เมื่อได้รับฟังดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ต้องหยุดชะงักแล้ว
คำสาปแห่งความโดดเดี่ยวของนักพรตหญิงชินสามารถติดต่อกันผ่านทางการร่วมรักด้วยหรือ?
หากเกิดเรื่องราวเลวร้ายขึ้นกับตนเอง หลินเป่ยเฉินไม่กลัวหรอก แต่เขายังมีหน้าที่คอยดูแลปกป้องคนอื่น ๆ ด้วยนี่สิ…
นักพรตหญิงชินยกมือขึ้นมาลูบไล้หน้าอกหลินเป่ยเฉินอย่างแผ่วเบาและกล่าวว่า “ข้าจะหาหนทางแก้ไข ให้เวลาข้าหน่อยนะ… มิเช่นนั้น ข้าจะเลือกฝึกฝนตามสายเลือดผู้เยียวยาเพื่ออะไร?”
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ดื้อดึงอีกต่อไป
แม้หัวใจของเขาจะร้อนผ่าว เช่นเดียวกับร่างกาย และลมหายใจก็ร้อนระอุราวกับไฟลาวา แต่สุดท้าย เด็กหนุ่มก็ยังควบคุมตนเองได้อย่างไม่มีปัญหา
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอท่าน”
เขาจูบลงไปบนหน้าผากของนักพรตหญิงชินอย่างอ่อนโยน
นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย
กว่าเรื่องราวจะดำเนินมาถึงจุดนี้ ไม่ทราบเลยว่าหลินเป่ยเฉินต้องผ่านอะไรมาบ้าง
นับตั้งแต่ที่อาศัยอยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง ตลอดไปจนถึงนครเจาฮุย เรื่อยไปจนถึงดินแดนทวยเทพและเมืองชิงอวี้… ในที่สุด นักพรตหญิงชินก็เปิดใจให้เขาแล้ว
นี่นับเป็นเรื่องที่ประเสริฐยิ่ง
“แต่อันที่จริงนั้น…”
นักพรตหญิงชินพลันก้มหน้าลงและยิ้มเล็กน้อย มือลูบไล้จากหน้าอกของหลินเป่ยเฉินต่ำลงเรื่อย ๆ “หากเจ้าต้องการ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว…”
นางเงยหน้ามองขึ้นมาสบตาหลินเป่ยเฉินจากนั้นจึงค่อย ๆ ย่อกายลงนั่งคุกเข่า ก่อนก้มหน้าลงอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินสะดุ้งเฮือก เบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็หอบหายใจถี่เร็ว
ส่วนนักพรตหญิงชิน...
นางก็อยู่ในอาการที่แทบไม่ต่างกัน!