เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1623 ชำระแค้นตระกูลฮั่ว
ตอนที่ 1,623 ชำระแค้นตระกูลฮั่ว
เจิ้นหรู่อี้รู้ซึ้งแก่ใจแล้วว่าเด็กหนุ่มผู้อยู่เบื้องหน้าคนนี้เป็นคู่ต่อสู้ที่พวกของตนเองไม่อาจรับมือได้ นางก้าวถอยหลัง ประคองเอวของฮั่วหานซานเตรียมตัวกระโดดหลบหนีไป…
เปรี้ยง!
ได้ยินเสียงการกระแทกดังสนั่น
ปรากฏว่าเป็นหลินเป่ยเฉินกระโดดเตะโล่ทองคำขององครักษ์หนุ่มอย่างแรง
โล่ทองคำเป็นอุปกรณ์ป้องกันที่ผ่านการเล่นแร่แปรธาตุระดับ 10 แต่เมื่อเผชิญกับเท้าของหลินเป่ยเฉิน มันก็แตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยปักอยู่เต็มผนังของโถงทางเดิน
สีหน้าขององครักษ์หนุ่มผู้มีนามว่าหวงไหเว่ยแปรเปลี่ยนไป
เขารู้สึกได้ว่าแขนข้างที่ถือโล่ของตนเองเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัส รู้สึกเวียนหัวตาลายคล้ายกับจะหมดสติ ตัวคนยืนโซเซ
ฟู่!
โลหิตไหลทะลักออกมาจากปาก!
หลินเป่ยเฉินเคลื่อนกายด้วยความเร็วสายฟ้าฟาดผ่านร่างของหวงไหเว่ยไล่ตามเจิ้นหรู่อี้ไปทางด้านหลัง
“เจ้าทำร้าย… เจ้าหน้าที่!”
หวงไหเว่ยร้องตะโกน โคจรพลังปราณในร่างกาย และชักกระบี่ซึ่งเป็นอาวุธเล่นแร่แปรธาตุระดับ 9 ออกมาฟาดฟันด้วยกระบวนท่าไม้ตายของตนเอง
ลำแสงกระบี่พุ่งทะยานเย็นเยียบ
นี่คือการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัว
อย่างแรก องครักษ์หนุ่มผู้นี้มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 9 เมื่อประกอบรวมกับอาวุธคู่กายที่เป็นอาวุธเล่นแร่แปรธาตุระดับสูง องค์ประกอบทุกอย่างจึงรวมตัวเป็นความสมบูรณ์แบบชนิดหนึ่ง
แต่หลินเป่ยเฉินไม่ได้หลบหลีก
ไม่ได้ปัดป้อง
ปึก!
คมกระบี่แทงเข้าใส่ด้านหลังของหลินเป่ยเฉิน
เปรี๊ยะ!
ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแตกร้าว!
หวงไหเว่ยตกตะลึง รีบสลายพลังลงไปหลายส่วน
ก่อนหน้านี้ เขาไม่ทราบว่าแขกที่พักอยู่ในห้องพักหมายเลขหนึ่งเป็นผู้ใด องครักษ์หนุ่มรู้แต่เพียงว่าต้องเป็นวีรบุรุษที่ทางสภารับรองมาแล้ว ดังนั้น เขาจึงไม่กล้าลงมืออย่างเต็มพลัง เพราะมีเจตนาเพียงช่วยเหลือคุณชายฮั่วหานซานให้หลบหนีออกไปได้สำเร็จเท่านั้น หวงไหเว่ยไม่ได้มีเจตนาที่จะสังหารผู้ใดทั้งสิ้น
แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็บังเกิดขึ้น
โลหิตไม่ได้สาดกระจายออกมาจากแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉิน
แต่เป็นแรงดีดสะท้อนที่ดีดกลับออกมาจากแผ่นหลัง ทำให้กระบี่ในมือของหวงไหเว่ยเกิดรอยแตกร้าวอย่างต่อเนื่อง
ในลมหายใจนั้น…
กร๊อบ! กร๊อบ! กร๊อบ!
มือขวาที่ถือกระบี่สูญเสียการควบคุม ไม่ทราบเลยว่ากระดูกทั่วแขนขวาแตกหักไปทั้งหมดกี่ท่อน!
“เป็นไปได้อย่างไร?”
องครักษ์หนุ่มเบิกตาโตด้วยความเชื่อ
แต่นั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่หลินเป่ยเฉินสามารถไปสกัดขวางหน้าเจิ้นหรู่อี้ได้สำเร็จแล้ว
วูบ!
ลำแสงกระบี่สาดประกาย
หลินเป่ยเฉินไม่รู้ตัวเลยว่ามีกระบี่มาอยู่ในมือขวาของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ และกระบี่ในมือเขาก็กำลังจี้แทงใส่หัวไหล่ของเจิ้นหรู่อี้ คลื่นพลังทำลายล้างรุนแรงแผ่ออกไป ได้ยินเสียงดังเคร้ง หลังจากนั้น หัวไหล่ของเจิ้นหรู่อี้ก็ถูกกระบี่เสียบติดอยู่กับประตูห้องพักหมายเลขสอง
เจิ้นหรู่อี้ร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด ไม่สามารถควบคุมแขนของตนเองได้อีก
ฮั่วหานซานผู้สูญเสียแขนขาล้มลงกับพื้นทางเดิน
เขาต้องส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาอีกครั้ง
ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงฝีเท้าของหลินเป่ยเฉินดังกังวานทั่วโถงทางเดิน
เป็นเสียงฝีเท้าแห่งความตาย
ฮั่วหานซานพยายามจะเงยหน้าขึ้นมอง
หลังจากนั้น เขาก็เห็นสีหน้าอำมหิตของหลินเป่ยเฉิน แววตาเย็นชา ค่อย ๆ เดินตรงเข้ามาหาตนเอง
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา…
หลินเป่ยเฉินก็ใช้เท้าเหยียบลงมาบนหน้าอกของฮั่วหานซาน
เด็กหนุ่มก้มหน้าลงมา พูดเน้นย้ำทีละคำว่า “ขอโทษนางซะ”
ฮั่วหานซานฉีกยิ้มอย่างชั่วร้าย กัดฟันตอบกลับไปว่า “ฮ่า ๆๆ ขอโทษอย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ เหตุไฉนข้าจึงต้องขอโทษนางคณิกาด้วย ฮ่า ๆๆ…”
กร๊อบ!
กระดูกหน้าอกของฮั่วหานซานแตกหักไปอีกหลายท่อน
หลินเป่ยเฉินเพิ่มแรงเหยียบบนฝ่าเท้าของตนเอง ยังคงกล่าวเน้นย้ำทีละคำต่อไป “ขอโทษนางซะ”
“ฆ่าข้าเถอะ หลินเป่ยเฉิน หากเจ้ามีความสามารถก็ฆ่าข้าเดี๋ยวนี้ ฮ่า ๆๆ …ข้าไม่เคยกลัวตายอยู่แล้ว หากข้าตาย เจ้าก็ไม่รอดเช่นกัน ตระกูลฮั่วไม่มีทางปล่อยให้เจ้าลอยนวลแน่นอน ข้าจะไปรอคิดบัญชีกับเจ้าอยู่ที่ปากทางเข้านรก”
โลหิตไหลทะลักออกมาจากปากของฮั่วหานซาน บุรุษหนุ่มทั้งสองฝ่ายต่างก็จ้องมองกันด้วยแววตาดุดันเกรี้ยวกราด
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ยกเท้าของตนเองขึ้น
เขาก้มหน้ามองลงไป “เจ้าคิดว่าข้ากลัวตระกูลฮั่วงั้นสิ? เจ้าคงเข้าใจว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าเพราะกลัวอำนาจของตระกูลฮั่ว เจ้าคงคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าเพราะกลัวผลที่จะตามมา? เฮอะ เจ้าคงต้องการจะใช้เรื่องนี้มาขู่ขวัญข้ากระมัง?”
ฮั่วหานซานยิงฟันยิ้ม “ใช่แล้ว หากเจ้ามีความกล้าหาญมากพอ ก็จงฆ่าข้าเดี๋ยวนี้ ฮ่า ๆๆ ฆ่าข้าสิ เจ้ามีความกล้าหาญมากพอหรือไม่?”
“ย่อมได้ ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าความเสียใจนั้นเป็นเช่นไร”
ความโกรธแค้นในหัวใจของหลินเป่ยเฉินยังคงปะทุเดือดไม่เสื่อมคลาย
เดิมที ตระกูลฮั่วเป็นผู้ทรยศร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์อสูร
นับว่าไม่ได้เป็นคนดีอยู่แล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้กลับต้องมามีปัญหากันอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินมองออกว่าฮั่วหานซานตั้งใจจะดูหมิ่นนักพรตหญิงชินเพื่อยั่วโมโหให้เขาควบคุมสติไม่ได้ จนทำให้สถานการณ์เลยเถิดมาจนถึงบัดนี้
ฮั่วหานซานเข้าใจว่าตนเองสามารถขุดบ่อล่อให้หลินเป่ยเฉินตกลงมาในหลุมพรางได้อย่างสวยงาม
ฮั่วหานซานเข้าใจว่าตนเองยังเป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่า
ประเสริฐ!
ฮั่วหานซานหันกลับไปจ้องมองเจ้าหน้าที่หนุ่มลู่เชาและกล่าวเสียงเรียบว่า “ไปแจ้งต่อศูนย์บัญชาการกองทัพ และแจ้งต่อตระกูลฮั่ว บอกพวกเขาว่าอีกหนึ่งก้านธูปหลังจากนี้ ฮั่วหานซานคงถูกหลินเป่ยเฉินสังหารตายสิ้น ให้พวกเขามาเก็บศพข้าด้วยก็แล้วกัน”
“คุณชาย ท่าน...”
ลู่เชามีสีหน้าตกตะลึง พูดละล่ำละลักออกมาว่า “คุณชายหลิน หากหยุดมือแต่เพียงเท่านี้ เรายังมีหนทางเจรจากันได้นะขอรับ…”
“รีบไปทำตามที่มันบอกซะ”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงคำรามออกมา
ลู่เชาไม่มีทางเลือก นอกจากหันไปพยักหน้าต่ออี้ซูหนานบอกให้นางพยายามเกลี้ยกล่อมหลินเป่ยเฉินต่อไป ส่วนตนเองก็แยกตัวไปทำหน้าที่ตามคำสั่ง
ความจริงนั้น บัดนี้ผู้คนทั่วทั้งโรงเตี๊ยมต้าเฟิงต่างก็รับรู้ถึงเหตุการณ์นี้โดยทั่วกัน
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจแม้แต่น้อย
เขาโคจรพลังปราณใส่กระบี่อีกเล่มหนึ่ง และใช้กระบี่เล่มนั้นแทงทะลุหน้าอกฮั่วหานซานก่อนจะนำร่างของอีกฝ่ายไปปักติดอยู่บนประตูห้องพักหมายเลขสอง
เคียงข้างอยู่กับร่างของเจิ้นหรู่อี้
“เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ฮั่วหานซานมีสีหน้าที่โกรธแค้นเดือดดาล
ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่เป็นไปอย่างที่เขาคาดคิดเอาไว้สักเท่าไหร่
ด้วยความที่มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 5 ร่างกายของฮั่วหานซานจึงแข็งแรงมากกว่าผู้คนทั่วไป ต่อให้ถูกตัดแขนตัดขาและเสียเลือดเป็นจำนวนมาก แต่ชายหนุ่มก็ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน
“ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าความหมดหวังนั้นเป็นเช่นไร”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากอย่างอำมหิต
กล่าวจบ เขาก็หันหลังกลับไปยืนอยู่เคียงข้างนักพรตหญิงชิน
เมื่อเด็กหนุ่มจ้องมองไปที่นักพรตหญิงชิน รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน ไม่ต่างจากเด็กนักเรียนชั้นมัธยมที่เพิ่งจะทำการบ้านเสร็จ และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อากาศในบริเวณนี้ไม่ค่อยปลอดโปร่ง พี่ชินกลับไปพักอยู่ในห้องก่อนเถอะขอรับ”
“ข้าจะอยู่กับเจ้า”
นักพรตหญิงชินปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสงบสุขุม
เจ้าหน้าที่สาวอี้ซูหนานถึงกับตกตะลึงนิ่งอึ้งอยู่กับที่
เพราะนางพบว่าหลินเป่ยเฉินผู้บ้าคลั่งเสียสติเมื่อพูดคุยกับนักพรตหญิงชิน เขาพลันมีรอยยิ้มที่อบอุ่นไม่ต่างไปจากแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ มิหนำซ้ำ รอยยิ้มของเขายังประทับอยู่ในหัวใจของอี้ซูหนานโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวรู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะหลอมละลายลงเสียให้ได้
รอยยิ้มของเขาช่างเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้ผู้คนลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น
นักพรตหญิงชินเองก็มีความสวยงามไม่เป็นรองผู้ใด
เมื่อบุรุษและสตรีคู่นี้ยืนอยู่เคียงข้างกัน พวกเขาก็ไม่ต่างจากคู่รักในภาพวาดฝีมือจิตรกรเอก