เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1633 การสนทนาในห้องพัก
ตอนที่ 1,633 การสนทนาในห้องพัก
“อวี้เหวินซิวเซียนเป็นสมาชิกระดับสูงของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เขารู้ความลับของพวกมันมากมาย เมื่อสภาขุนนางของเราได้ตัวคนผู้นี้ พวกเราก็น่าจะรีดเค้นความลับออกมาได้พอสมควร และความลับเหล่านั้น ก็อาจจะเป็นข้อมูลที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถกลายเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้ได้ในท้ายที่สุด”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมาทำท่าดันแว่นด้วยความเคยชินอีกครั้ง
ดูเหมือนเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจะโชคร้ายซะแล้วสิ
เมื่อการสนทนาดำเนินมาถึงตรงนี้ เจ้าหน้าที่สาวอี้ซูหนานก็ยื่นส่งม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งเข้ามาให้หลินเป่ยเฉินพร้อมกับกล่าวว่า “ผลสรุปรายงานการลอบสังหารก่อนหน้านี้เจ้าค่ะ”
หลินเป่ยเฉินรับม้วนกระดาษแผ่นนั้นมาอ่านโดยละเอียด
สำหรับกลุ่มมือสังหารที่ถูกส่งตัวมาเพื่อฆ่าเขานั้นเป็นคนของหอสลายวิญญาณ
นักฆ่าทั้งสี่คนนั้นถูกจัดอยู่ในระดับมือสังหารเหล็ก
หอสลายวิญญาณจะมีการจัดระดับมือสังหารตามชนชั้นต่าง ๆ ไล่จากระดับสูงลงสู่ระดับต่ำสุดคือ มือสังหารทองคำ มือสังหารเงิน มือสังหารทองแดง และมือสังหารเหล็ก
แต่ถึงจะเป็นมือสังหารชนชั้นระดับต่ำสุด แต่ฝีมือการลอบสังหารของมือสังหารเหล็กก็น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
เพราะว่าหอสลายวิญญาณเป็นสำนักมือสังหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรหลิวเยวียน
แม้ว่าในเส้นทางดาราจักรจะมีสำนักมือสังหารอยู่มากมาย แต่ก็ไม่มีสำนักมือสังหารใดจะมีความยอดเยี่ยมมากเท่ากับหอสลายวิญญาณอีกแล้ว
หอสลายวิญญาณไม่เคยปฏิเสธงาน ตราบใดที่มีเงินว่าจ้าง พวกเขาก็พร้อมฆ่าคน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อพวกเขามีเป้าหมายสังหารเป็นหลินเป่ยเฉิน นี่ก็หมายความว่าต้องมีคนว่าจ้างให้หอสลายวิญญาณลงมือ
หลินเป่ยเฉินแทบไม่ต้องเสียเวลานึกถึงผู้ว่าจ้างที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารในครั้งนี้
แน่นอนว่าต้องเป็นพวกตระกูลฮั่วอยู่แล้ว
ดูเหมือนคงปล่อยเอาไว้ไม่ได้แล้วสินะ
ในอีกไม่ช้าก็เร็ว เขาจะทำให้ตระกูลฮั่วต้องชดใช้
หลินเป่ยเฉินพิจารณาม้วนกระดาษนั้นต่อไป
เจ้าหน้าที่ผู้มีนามว่า ‘เมิ้งอู่เหนียน’ เป็นมือสังหารของหอสลายวิญญาณปลอมตัวมา ส่วนเมิ้งอู่เหนียนตัวจริงนั้นถูกพบเป็นศพอยู่ในบ้านร้างแห่งหนึ่ง ก่อนเสียชีวิตก็พบร่องรอยของการถูกทรมานอย่างแสนสาหัส
การลงมือของนักฆ่ามืออาชีพ ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเช่นดาบหรือกระบี่เสมอไป
ขอแค่ฆ่าคนได้ พวกมันก็พอใจแล้ว
และข้อมูลที่ทางกองทัพหลิวเยวียนสามารถง้างออกมาจากปากของ ‘เมิ้งอู่เหนียน’ ได้ในภายหลังนั้น ก็ทำให้เกิดการไล่กวาดล้างกลุ่มมือสังหารในเมืองหลันจี๋ซิงเป็นวงกว้าง
นี่จึงเป็นเหตุผลที่อธิบายว่าเพราะเหตุใดมือสังหารจึงเลือกฆ่าตัวตายเมื่อตนเองกำลังจะถูกจับกุม เพราะในกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ยี่สิบสี่สายเลือดหลัก มีสายเลือดที่เรียกว่าสายเลือด ‘ผู้ใช้พิษ’ สายเลือด ‘ผู้อัญเชิญ’ และสายเลือด ‘ผู้เยียวยา’ ในขั้นตอนการสอบปากคำนั้น ผู้ที่ฝึกวิชาตามสายเลือดทั้งสามนี้จะมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการสอบสวน
การทรมานของพวกเขาจะทำให้นักโทษรู้สึกว่าตายดีกว่าอยู่
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงอดคิดไม่ได้ว่าหากจับผู้คนตระกูลฮั่วมาทรมานเพื่อสอบปากคำ ความจริงก็จะเปิดเผยแล้วไม่ใช่หรือ?
มีโอกาสคงต้องลองดูสักหน่อย
เอกสารฉบับนี้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อให้หลินเป่ยเฉินอ่านเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้น ท้ายเอกสารจึงมีการลงข้อความให้หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่า หลังจากนี้ ทางกองทัพจะดูแลความปลอดภัยของเขาและสหายทุก ๆ คนให้รอบคอบรัดกุมมากกว่าเดิม
แต่หลินเป่ยเฉินเคยพบเจอเรื่องราวมามากมาย เขารู้ดีว่าตนเองอย่าได้หวังพึ่งพาคนอื่นเด็ดขาด เพราะปัญหาทุกอย่างมักจะแก้ไขได้ด้วยตัวเขาเองเสมอ
ดังนั้น เป้าหมายต่อไปที่เขาจะต้องกวาดล้างให้ได้ต่อจากตระกูลฮั่ว ก็คือหอสลายวิญญาณ
องค์กรมือสังหารแห่งนี้มีความน่ากลัวมากเกินไป
เขาต้องหาทางกำจัดให้สิ้นซาก
เมื่ออ่านเอกสารฉบับนั้นจบลง หลินเป่ยเฉินก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันหน้ามาถามว่า “อาการบาดเจ็บของลู่เชาเป็นอย่างไรบ้าง?”
อี้ซูหนานรีบตอบอย่างเร็วไว “ข่าวล่าสุดที่ข้าน้อยได้รับทราบมา เจ้าหน้าที่ลู่พ้นขีดอันตรายแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อตอบคำถามข้อนี้ หัวใจของหญิงสาวก็ยิ่งเคารพในตัวของหลินเป่ยเฉินมากขึ้น
ระหว่างการลอบสังหาร นางกับลู่เชามีหน้าที่คอยปกป้องความปลอดภัยของหลินเป่ยเฉิน แต่สุดท้าย กลายเป็นหลินเป่ยเฉินต่างหากที่คอยช่วยชีวิตนางกับลู่เชาเอาไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ
โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงภาพที่หลินเป่ยเฉินช่วยเหลือลู่เชาออกมาจากห้องโดยสาร และเขาก็ใช้ร่างกายของตนเองรับเข็มพิษแทนนาง อี้ซูหนานก็อดรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาไม่ได้จริง ๆ
ความเคารพที่นางมีให้ต่อหลินเป่ยเฉินมีมากมายเกินกว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้อีกแล้ว
นางรู้สึกว่าหลินเป่ยเฉินมีเสน่ห์บางอย่างที่แตกต่างไปจากยอดวีรบุรุษคนอื่น ๆ
“พ้นขีดอันตรายก็ดีแล้ว”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
หัวข้อการสนทนาหลังจากนั้นเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายมากขึ้น
หลิงหลิงมักจะเอาแต่สอบถามถึงเรื่องอายุของหลินเป่ยเฉิน ต่อด้วยครอบครัวของเขา ประวัติความเป็นมารวมถึงอยากรู้ว่าเขาแต่งงานแล้วหรือยัง เด็กสาวไม่สงวนท่าทีเลยว่าตนเองมีความสนใจในตัวหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างยิ่ง เดือดร้อนให้หลิงไท่ซือผู้เป็นพี่ชายต้องคอยทำหน้าดุเป็นระยะ และแม้แต่เจ้าหน้าที่สาวอี้ซูหนานก็ยังอดยกมือขึ้นมาปิดปากหัวเราะคิกคักด้วยความเอ็นดูไม่ได้
หลังจากนั้น
พิธีมอบรางวัลแก่วีรบุรุษจากสภาขุนนางก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
เสียงโห่ร้องของผู้คนดังก้องกังวานไปทั่วลานจัตุรัสจักรพรรดิ
บรรยากาศยิ่งคึกคักมากขึ้นเมื่อเหล่าวีรบุรุษปรากฏตัวบนเวที
ในช่วงหมื่นปีก่อน มนุษย์ได้เริ่มขยายเผ่าพันธุ์ไปตามดินแดนต่าง ๆ ทั่วเส้นทางดาราจักร และทางสภารวมถึงทางกองทัพก็มักจะป่าวประกาศเสมอว่าวีรบุรุษเหล่านี้คือทายาททางสายเลือดบริสุทธิ์ของกลุ่มนักรบผู้บุกเบิก ดังนั้น ผู้คนจึงเคารพยกย่องพวกเขาให้เป็นคนเหนือคน
หลินเป่ยเฉินพร้อมด้วยยอดวีรบุรุษอีกหกสิบสี่คนปรากฏตัวขึ้นมาบนเวทีใหญ่ และโบกไม้โบกมือตอบรับเสียงโห่ร้องสรรเสริญจากกลุ่มชาวเมือง
ใช่แล้ว กลุ่มวีรบุรุษที่ได้รับการรับรองจากทางสภาและทางกองทัพอย่างเป็นทางการนั้น ขณะนี้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดหกสิบห้าคน และนั่นก็ช่วยยืนยันคำพูดของนักพรตหญิงชินก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดีว่า ตำแหน่งวีรบุรุษนั้นไม่ใช่ตำแหน่งที่มีความสำคัญอันใดเลย นอกจากจะเป็นหุ่นเชิดให้กับทางสภาขุนนางก็เท่านั้นเอง
เสียงโห่ร้องให้กำลังใจจากชาวเมืองยิ่งดังมากขึ้นและมากขึ้น
ภาพเหมือนขนาดใหญ่ของวีรบุรุษแต่ละคนถูกฉายขึ้นไปบนท้องฟ้าผ่านอุปกรณ์เล่นแร่แปรธาตุสำหรับการฉายภาพ ตราบใดที่ชาวเมืองเงยหน้าขึ้นมอง พวกเขาก็จะพบเห็นโฉมหน้าและข้อมูลของวีรบุรุษแต่ละคน
เมื่อภาพของหลินเป่ยเฉินปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เสียงโห่ร้องสรรเสริญของชาวเมืองก็ดังกระหึ่มราวกับภูเขาไฟระเบิด
นี่ทำให้ฮั่วหยงเหนียนผู้รับชมพิธีมอบรางวัลอยู่บนที่นั่งของแขกระดับสูงรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว มือของเขากำเป็นหมัดแน่นจนข้อนิ้วเป็นสีขาวโพลน ตัวคนสั่งเทาเล็กน้อย
ตลอดสามวันที่ผ่านมา ตระกูลฮั่วพยายามกดดันกับทางสภาขุนนาง และในเวลาเดียวกันนี้ก็ให้คนไปปล่อยข่าวลือสร้างมลทินให้แก่หลินเป่ยเฉิน เพราะหวังจะใช้กระแสสังคมนำมากดดันกับทางสภาขุนนางด้วยเช่นกัน
สถานะของหลินเป่ยเฉินในปัจจุบันนี้ คือศัตรูที่จะอยู่ร่วมโลกกับตระกูลฮั่วไม่ได้เด็ดขาด
แต่ฮั่วหยงเหนียนคิดไม่ถึงเลยว่าแผนการของตนเองกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า
ทางสภาขุนนางไม่สนใจแรงกดดันจากตระกูลฮั่ว
ในเวลาเดียวกันนี้ ทางกองทัพก็ยังได้ป่าวประกาศความดีความชอบของหลินเป่ยเฉิน ไม่ว่าจะเป็นการสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจหรือเผ่าพันธุ์อสูร ไปจนถึงการเปิดโปงสายลับของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่แฝงตัวอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์มนุษย์มานานนับสิบปี
นี่จึงทำให้บรรยากาศภายในชั้นที่นั่งของฮั่วหยงเหนียนแตกต่างไปจากบรรยากาศรอบตัวโดยสิ้นเชิง
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินผู้ยืนอยู่บนเวทีในขณะนี้ จึงไม่ได้ถูกชาวเมืองขับไล่ไสส่งอย่างที่ฮั่วหยงเหนียนคาดหวังเอาไว้
มิหนำซ้ำ เด็กหนุ่มยังได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและชาวเมืองก็ดูจะตื่นเต้นกับการปรากฏตัวของเขามากทีเดียว
โดยเฉพาะบรรดาเด็กสาวและสตรี ไล่เรื่อยไปจนถึงกลุ่มแม่ม่ายหรือหญิงชรา เมื่อภาพของหลินเป่ยเฉินถูกฉายขึ้นมาบนท้องฟ้า เสียงกรีดร้องเรียกชื่อหลินเป่ยเฉินก็ดังกระหึ่มไปทั่วลานจัตุรัส
“คุณชายหลินช่างหล่อเหลาที่สุดเลย”
“อายุเพียงเท่านี้ หล่อเหลามากเกินไปแล้ว…”
“อ๊ายยยย ข้าอยากแต่งงานกับหลินเป่ยเฉิน ข้าอยากจะมีลูกกับเขา”
“เด็กหนุ่มผู้นี้หน้าตาละม้ายคล้ายกับบุตรชายของข้าที่เสียชีวิตในสนามรบ ข้าต้องสนับสนุนเขาแล้ว”
เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังจากกลุ่มชาวเมืองไม่ขาดสาย
หลังจากนั้น บรรดาคนใหญ่คนโตของทางสภาขุนนางก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวที เพื่อทำพิธีมอบเหรียญกล้าหาญและเงินรางวัลให้แก่เหล่าวีรบุรุษ
ท่านผู้คุมสภาเฟิงเสี่ยวไป๋มามอบรางวัลให้แก่หลินเป่ยเฉินด้วยตนเอง
นอกจากได้รับเหรียญกล้าหาญแล้ว หลินเป่ยเฉินยังได้รับเงินอีกสองหมื่นตำลึง ซึ่งทำให้เด็กหนุ่มยิ้มไม่หุบและยิ่งรู้สึกถูกชะตากับท่านผู้คุมสภาเฟิงเสี่ยวไป๋มากไปกว่าเดิม
“เมื่อเสร็จพิธีแล้ว อย่าเพิ่งรีบไปไหน มีใครบางคนอยากจะพบเจอเจ้าน่ะ”
ระหว่างที่ส่งมอบของรางวัล เฟิงเสี่ยวไป๋ได้แอบกระซิบบอกต่อหลินเป่ยเฉินด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา