เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1635 ไม่มีข้อยกเว้น
ตอนที่ 1,635 ไม่มีข้อยกเว้น
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม
ยกมือขึ้น
ลำแสงจากวิชาปราณกระบี่คงกระพันสาดประกายเจิดจ้า
ทันใดนั้น
พรึ่บ!
หน้าอกฝั่งท้ายของฮั่วหยงเหนียนก็ระเบิดเป็นม่านหมอกเลือด รูโหว่ขนาดเท่ากับชามข้าวปรากฏขึ้นในสายตา สามารถมองเห็นอวัยวะภายในช่องอกที่กำลังไหลทะลักออกมาผ่านรูโหว่นั้น
ฮั่วหยงเหนียนก้มมองหน้าอกของตนเอง
จากนั้นจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น
สีหน้าตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
ท่ามกลางพิธีการอันยิ่งใหญ่ ท่ามกลางสายตาของผู้คนเป็นจำนวนมาก หลินเป่ยเฉินถึงกับกล้าสังหารผู้คนเชียวหรือ?
เขากล้าดีอย่างไร?
เขาคิดอะไรอยู่?
สมองของเขามีปัญหาใช่หรือไม่?
โลหิตไหลทะลักออกมาจากง่ามนิ้วมือที่ยกขึ้นกุมหน้าอก
ร่างกายของฮั่วหยงเหนียนสั่นเทาเล็กน้อย
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยกปืนขึ้นเป่าปลายกระบอก ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาแสดงออกถึงความสมเพชเวทนาขณะส่งยิ้มให้แก่ฮั่วหยงเหนียน “บุตรชายเศษสวะทั้งสองของท่านมีค่าอันใดให้ข้ารู้สึกหึงหวงด้วยหรือ? ที่ข้าสังหารพวกเขานั้น ก็เพราะพวกเขาอัปลักษณ์มากเกินไป เห็นแล้วข้ารู้สึกรกหูรกตาเหลือเกิน”
“ท่านทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดข้าถึงยังไม่ระเบิดศีรษะของท่าน?”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองเข้าไปในดวงตาของฮั่วหยงเหนียนด้วยสายตาที่ใช้มองสุนัขข้างถนนตัวหนึ่ง “เพราะข้าอยากจะให้ท่านได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่… แต่ช่างเถอะ ข้าอุตส่าห์พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ทราบว่าท่านเข้าใจบ้างหรือไม่?”
ฮั่วหยงเหนียนได้แต่ยกมือกุมหน้าอกของตนเอง
โลหิตไหลทะลักเต็มฝ่ามือ
เขาพยายามปิดปากแผลเอาไว้
เขาจะตายไม่ได้เด็ดขาด
แต่ชายชราก็พูดคำใดไม่ออกอีกแล้ว
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายระยิบระยับด้วยความเหยียดหยาม “ท่านบอกว่าบุตรชายของตนเองก็เสียสละเพื่อแผ่นดินไม่แพ้ข้าใช่หรือไม่ แต่นั่นจะมีประโยชน์อันใดกัน? เพราะพวกท่านเพียงทำเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของตนเองเท่านั้น ในสายตาของข้าแล้ว บุตรชายของท่านไม่ได้มีความหมายอันใดเลย แล้วข้าจะต้องไปสนใจพวกเขาทำไม? ช่างโง่เขลาและน่าเวทนาเหลือเกิน”
ใบหน้าของฮั่วหยงเหนียนกลายเป็นสีขาวซีด ร่างกายยืนโงนเงน ตัวคนไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไป
ชีวิตของเขากำลังจะจบสิ้น
แต่น่าเศร้าที่ก่อนจะตาย หลินเป่ยเฉินกลับสามารถทำให้ฮั่วหยงเหนียนรู้สึกหวาดกลัวขนหัวลุก
เขาไม่เคยพบเจอบุคคลเช่นนี้มาก่อน
บุคคลผู้มีพลังทำลายล้างมหาศาล สามารถสังหารผู้คนได้ตามอำเภอใจ
โกรธแค้น
เศร้าหมอง
หวาดกลัว…
ความรู้สึกต่าง ๆ ถาโถมเข้ามาราวกับระลอกคลื่น!!
ใบหน้าของฮั่วหยงเหนียนพลันบิดเบี้ยว
“เอาเถอะ ข้าพูดจบแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มอย่างมีความสุข “ข้าจะส่งท่านไปพบกับบุตรชายทั้งสอง พวกท่านพ่อลูกจะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง”
พรึ่บ!
แล้วศีรษะของฮั่วหยงเหนียนก็ระเบิดกระจาย
การแก้ปัญหาด้วยการกำจัดตัวปัญหาคือทางออกที่ดีที่สุด หลินเป่ยเฉินหันไปโบกไม้โบกมือให้แก่กลุ่มชาวเมืองที่กำลังยืนนิ่งอึ้งตะลึงงันอยู่ในความเงียบ
“พ่อแม่พี่น้องทุกท่าน ข้าพเจ้ามีนามว่าหลินเป่ยเฉิน”
“ข้าสังหารปีศาจมามากมาย”
“และข้าก็สังหารคนเลวมามากมายเช่นกัน”
“ข้าเป็นคนที่อารมณ์ไม่ดีสักเท่าไหร่”
“เพราะฉะนั้น อย่ามามีปัญหากับข้าเด็ดขาด”
“เพราะข้าเป็นคนที่ไม่ชอบมีปัญหากับผู้ใด”
“บางครั้งข้าก็จะเสียสติและแม้แต่ข้าก็ยังอดกลัวตัวเองไม่ได้เช่นกัน”
กล่าวจบ เด็กหนุ่มก็เชิดหน้าขึ้นรับกับแสงตะวันอันสดใส รอยยิ้มของเขาอบอุ่นมากกว่าแสงอาทิตย์ ท่วงท่าของหลินเป่ยเฉินนับว่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
ชุดสีขาวของเด็กหนุ่มอาบไล้อยู่ภายใต้แสงตะวัน
ชาวเมืองที่อยู่หน้าเวทียังไม่ทันตั้งสติ ร่างของเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาก็อันตรธานหายไปจากบนเวทีเสียแล้ว
เสียงอุทานดังขึ้นกึกก้อง
พวกของเฟิงเสี่ยวไป๋และกลุ่มนายทหารใหญ่รวมไปถึงผู้คนจากสภาขุนนางต่างก็มีสีหน้าที่ผ่อนคลายมากขึ้น
พวกเขาเข้าใจดีว่า คำพูดประโยคสุดท้ายนั้น หลินเป่ยเฉินไม่ได้มีเจตนากล่าวต่อชาวเมืองทั่วไป
แต่เป็นคำพูดที่เจตนาสื่อสารกับผู้ที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ในความมืด
ทันใดนั้น…
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะเจ้าคะ”
ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าอี้ซูหนานไปรวบรวมความกล้ามาจากที่ใด เจ้าหน้าที่สาววิ่งขึ้นมายืนอยู่บนเวทีเพื่อเผชิญหน้ากับสายตาของชาวเมืองนับหมื่นชีวิต ก่อนตะโกนออกไปเสียงดังว่า “ความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่ฮั่วหยงเหนียนกล่าวหา… คุณชายหลินไม่ใช่บุคคลเช่นนั้น…”
แล้วนางก็เปิดอุปกรณ์ฉายภาพของตนเอง
มันเป็นภาพเหตุการณ์ที่มือสังหารจากหอสลายวิญญาณพยายามเล่นงานหลินเป่ยเฉิน และก็เป็นหลินเป่ยเฉินที่ปกป้องอี้ซูหนานกับลู่เชาอย่างไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเอง
“ข้าน้อยมีนามว่าอี้ซูหนาน เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสามจากกองทัพหลิวเยวียน ข้าน้อยและเจ้าหน้าที่ลู่เชาได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจคุ้มครองคุณชายหลิน ข้าน้อยยืนยันได้ว่าเป็นคนตระกูลฮั่วเข้ามาหาเรื่องก่อน...”
หญิงสาวยืนอยู่เพียงลำพังบนเวที พยายามอธิบายให้ชาวเมืองที่กำลังเดือดดาลรับฟังความเป็นจริง
…
“ที่นี่แหละ มาถึงแล้ว”
ท่านผู้คุมสภาเฟิงเสี่ยวไป๋นำหลินเป่ยเฉินเดินมาถึงประตูบานหนึ่งและกล่าวว่า “ท่านผู้สูงส่งที่อยากพบเจ้ารออยู่ด้านในแล้ว เจ้าเข้าไปเถอะ”
ต้องเป็นบุคคลประเภทไหนกันนะที่แม้แต่ผู้คุมสภาอย่างเฟิงเสี่ยวไป๋ ก็ยังต้องเรียกขานเป็นท่านผู้สูงส่ง?
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าชายร่างใหญ่ “ไม่เข้าไปด้วยกันหรือขอรับ?”
เฟิงเสี่ยวไป๋รีบส่ายศีรษะพลางตอบว่า “ข้ารออยู่ด้านนอกดีกว่า”
ต้องเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงส่งเพียงใดกันนะ เฟิงเสี่ยวไป๋จึงยินดีทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าหน้าประตู?
หลินเป่ยเฉินผลักประตูเข้าไป
ห้องพักด้านในมีขนาดกว้างใหญ่และได้รับการตกแต่งอย่างงดงาม
พื้นหินขาว เสาหินขนาดใหญ่รองรับหลังคาทรงโค้ง โต๊ะหินและเก้าอี้ชุดหนึ่งจัดตั้งอยู่กลางห้อง ผลไม้และเครื่องดื่มถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้ว หน้าต่างเป็นกระจกที่สามารถมองจากข้างในออกไปได้ด้านเดียว สองข้างฝั่งของผนังห้องตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้หอมหวน
เป็นการตกแต่งที่เรียบง่าย แต่ละเมียดละไม
ได้ยินเสียงประตูงับปิดตามหลัง
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบห้อง แต่ก็ไม่พบเห็นผู้ใด
หรือว่าเฟิงเสี่ยวไป๋จะพาเขามาส่งผิดห้องกันนะ?
หลินเป่ยเฉินเริ่มคิดด้วยความแปลกใจ
แต่ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังขึ้นทางด้านหลัง
หลินเป่ยเฉินรีบหมุนตัวกลับไปทันที
แล้วร่างของใครคนหนึ่งก็โผเข้ามาสวมกอดเขาแนบแน่น
หลินเป่ยเฉินไม่มีเวลาได้ทันตั้งรับ รู้ตัวอีกที ตนเองก็กำลังโอบกอดอีกฝ่ายอยู่ในอ้อมแขนแล้ว
“คิดอยู่แล้วเชียวว่าต้องเป็นเจ้า… อุ๊บ”
หลินเป่ยเฉินยังพูดไม่ทันจบประโยค ริมฝีปากของเขาก็ถูกปิดทับด้วยริมฝีปากสีชมพูหอมหวาน
สองแขนโอบกอดรัดพัน
การจูบดูดดื่มและเร่าร้อน
โดยเฉพาะการจูบของหลิงเฉิน
มันร้อนแรงราวกับเปลวไฟที่สามารถหลอมละลายได้ทุกสิ่ง…
นางมีจังหวะที่สอดคล้องต่อการจูบของหลินเป่ยเฉิน
โบราณเคยกล่าวเอาไว้ว่าเมื่อบุรุษจูบสตรี มือของบุรุษก็ต้องการยึดจับอะไรบางอย่าง
และแม้แต่ตัวหลินเป่ยเฉินเอง… เขาก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน!!