เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1637 มโนหิรัญ
ตอนที่ 1,637 มโนหิรัญ
หลิงเฉินกล่าวต่อ “เมื่อผ่านพ้นยุคล่มสลายครั้งแรก อาณานิคมใหม่ก็ได้ก่อกำเนิดขึ้นมา สิ่งมีชีวิตจำนวนมากขยายเผ่าพันธุ์อยู่ตามดินแดนต่าง ๆ ในเส้นทางดาราจักร และแม้ว่าจะเกิดการทำสงครามอยู่ตลอดเวลา แต่ทุกเผ่าพันธุ์ก็ไม่ได้มีความแข็งแกร่งเหมือนในอดีต เพราะฉะนั้น ความเสียหายใหญ่หลวงจึงไม่เคยเกิดขึ้น”
“ช่วงเวลาเหล่านี้คือยุคอันรุ่งเรืองของเส้นทางดาราจักร ทุกเผ่าพันธุ์ต่างก็มีอารยธรรมเป็นของตนเอง หลายดินแดนผู้คนต่างสายพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันด้วยความกลมเกลียว ตำราบางฉบับถึงกับกล่าวขานว่าไม่เคยมียุคสมัยใดจะสงบสุขเท่ากับยุคสมัยนี้อีกแล้ว จนกระทั่งมีผู้คนที่อยากจะสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ตนเองกลับไปเป็นเหมือนครั้งโบราณ…”
เมื่อรับฟังข้อมูลจากหลิงเฉิน หลินเป่ยเฉินก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใด พวกเขาจึงต้องเข้าไปสำรวจที่สุสานโบราณแห่งนั้น
เหตุผลไม่มีสิ่งใดซับซ้อน
เพราะผู้คนในปัจจุบันไม่ได้มีความแข็งแกร่งเท่ากับผู้คนยุคโบราณ
ในสุสานแห่งนั้นมีของมีค่าจากยุคโบราณถูกฝังอยู่มากมาย
หลิงเฉินกล่าวต่อไป
“การล่มสลายครั้งที่สองเกิดขึ้นจากการบุกรุกของเผ่าพันธุ์ปีศาจ สงครามในครั้งนี้ทำให้สิ่งมีชีวิตหลายร้อยเผ่าพันธุ์ต้องสูญสิ้น โลกที่สงบสุขพังทลาย สุดท้าย ตามดินแดนต่าง ๆ ก็ต้องก่อสร้างกำแพงเมืองขึ้นมาปิดกั้นการรุกรานของเผ่าพันธุ์ปีศาจ อารยธรรมของทุกดินแดนหยุดชะงัก ภาวะการพัฒนาของผู้คนเสื่อมถอย ประวัติศาสตร์จึงจารึกเอาไว้ว่าช่วงเวลานี้ถือเป็นยุคแห่งการล่มสลายครั้งที่สองเจ้าค่ะ!”
พวกเผ่าพันธุ์ปีศาจ
กองทัพปีศาจยุคโบราณ
ตามตำนานเล่าขานว่าพวกมันมีกองทัพที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกร พวกมันแผ่ขยายไปตามดินแดนต่าง ๆ ในบางดินแดน พวกมันถึงกับอยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างมีความสุข
บางช่วงเวลา เผ่าพันธุ์ปีศาจแทบไม่ต่างไปจากญาติพี่น้องของเผ่าพันธุ์มนุษย์
แต่การรุกรานครั้งนี้ทำให้เกิดไฟแค้นที่ไม่อาจดับมอดตลอดกาลและความเกลียดชังระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจก็สืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นมายาวนานนับหมื่นปี
ไม่มีผู้ใดสนใจอีกแล้วว่าตำนานจะเป็นความจริงหรือไม่
บัดนี้ สิ่งที่เป็นความจริงก็คือความเกลียดชังระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ
หลินเป่ยเฉินเดาเอาว่าการที่ดินแดนต่าง ๆ ก่อสร้างกำแพงเมืองขึ้นมาเพื่อปิดกั้นการรุกรานจากกองทัพปีศาจนั้น น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของยุคล่มสลายครั้งที่สองแล้วกระมัง?
“ยุคแห่งการล่มสลายครั้งที่สองคือยุคมืดที่แท้จริง ทุกดินแดนในเส้นทางดาราจักรหยุดชะงักการพัฒนาอารยธรรม…ดินแดนจำนวนมากกลายเป็นดินแดนรกร้าง มีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังคงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ต่อไป จนกระทั่งมาถึงยุครุ่งเรืองของพวกเรา ซึ่งก็คือยุคเริ่มต้นขององค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ และเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ได้กลับมาครอบครองความยิ่งใหญ่อีกครั้ง”
“และด้วยความที่ยุคโบราณมีสิ่งมีชีวิตหลายร้อยเผ่าพันธุ์ สุสานโบราณจึงเก็บซ่อนประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ เอาไว้มากมาย ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยหมายตาขุมทรัพย์โบราณที่อยู่ภายในสุสาน ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้คนพยายามเข้าไปสำรวจภายในสถานที่เหล่านั้น…”
“แต่เนื่องจากสุสานโบราณเป็นสถานที่ซึ่งมีแต่ความอันตราย มันจึงกลายเป็นสถานที่ต้องห้าม ความอันตรายของสุสานโบราณจะถูกจัดประเภทเป็นสี่ระดับ ประกอบไปด้วยระดับที่ 1 ระดับที่ 2 ระดับที่ 3 และระดับที่ 4 ซึ่งสุสานโบราณที่ถูกค้นพบในเมืองหลันจี๋ซิงนั้นเป็นสุสานที่มีอันตรายระดับที่ 1 หากผู้ที่เข้าไปไม่ได้มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิ ก็จะมีชีวิตอยู่ในนั้นได้เพียงสิบปีเท่านั้น”
หลิงเฉินอธิบายข้อมูลทั้งหมดรวดเดียวจบ
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูง
ขนาดมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิก็ยังต้องคิดหนัก
แล้วนี่เขามีพลังเพียงขั้นจอมเทพระดับ 9 เท่านั้น
หลินเป่ยเฉินอดกังวลขึ้นมาไม่ได้ว่าตนเองเข้าไปแล้วจะตายไหมเนี่ย?
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็นึกได้ถึงปัญหาอีกหนึ่งข้อ “เฉินเอ๋อร์ บัดนี้เจ้าอยู่ในขั้นพลังระดับใดแล้ว?”
ตอนแรกเขาไม่ทันได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน
เด็กสาวผู้ดำรงตำแหน่งองค์หญิงไข่มุกขาวอมยิ้ม “พี่หลินลองเดาดูสิ”
“เอ่อ…จอมเทพตอนปลาย?”
“ลองเดาดูใหม่”
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์?”
“ลองเดาดูอีกครั้ง”
“อย่าบอกนะว่าจอมเทพจักรพรรดิ?” หลินเป่ยเฉินอุทานด้วยความตกตะลึง
ระยะเวลาที่เขากับนางแยกจากกันเพียงไม่นาน หลินเป่ยเฉินต้องตกระกำลำบากมากมายกว่าจะเลื่อนขั้นพลังมาอยู่ในขั้นจอมเทพตอนปลายได้สำเร็จ
แต่ในเวลาเดียวกันนี้ หลิงเฉินกลับสามารถบรรลุขั้นจอมเทพจักรพรรดิได้แล้วหรือ?
ช่างน่าขายหน้าชะมัด
“ด้วยสายเลือดของตระกูลหลิง ข้าจึงต้องฝึกวิชาตามสายเลือดผู้แปรธาตุ และข้าก็เข้ารับตำแหน่งจากทางวังหลวง ร่างกายได้รับการบำรุงโดยโอสถวิเศษหลายชนิด นั่นทำให้ข้าเลื่อนขั้นขึ้นสู่ขอบเขตจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ตอนปลายได้สำเร็จ นอกจากนี้ ข้ายังมีอาวุธคู่กายเป็นวัตถุเล่นแร่แปรธาตุระดับที่ 41 ต่อให้คู่ต่อสู้อยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิ ข้าก็สามารถรับมือได้ไม่มีปัญหาอีกแล้ว”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เด็กสาวก็ยื่นมือที่ขาวเนียนของนางออกมาข้างหน้า
บนฝ่ามือของนางวางไว้ด้วยวัตถุสีเงินที่มีลักษณะเหมือนหยดน้ำ ซึ่งวัตถุรูปทรงหยดน้ำสีเงินนั้นก็สามารถเปลี่ยนแปลงรูปทรงได้ตามใจปรารถนา
ต่อไปนี้คือภาพที่น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง
วัตถุสีเงินรูปทรงหยดน้ำสามารถเปลี่ยนรูปทรงได้ตามความคิดของหลิงเฉิน อยู่ดี ๆ มันก็ลอยขึ้นไปในอากาศ กลายเป็นธงสีเงินที่โบกสะบัดพลิ้วไสว
หลังจากนั้น มันก็เปลี่ยนแปลงกลายเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง หรือแม้แต่จะเปลี่ยนรูปทรงกลายเป็นมนุษย์ที่แก่ชราก็ทำได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามันสามารถเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นสัตว์ชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระต่ายน้อยสีเงิน เสือโคร่งที่ดุร้าย กวางป่าผู้น่ารัก หรืองูพิษผู้น่าสะพรึงกลัว…
ดูเหมือนว่าวัตถุสีเงินชิ้นนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ไม่มีขีดจำกัด
หลินเป่ยเฉินเฝ้ามองด้วยความพิศวง
หลังจากนั้น วัตถุสีเงินก็กลับกลายเป็นรูปทรงหยดน้ำดังเดิม มันวางอยู่บนฝ่ามือของหลิงเฉิน ก่อนที่จะค่อย ๆ แผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วมือของนางและกลายเป็นถุงมือเงินข้างหนึ่ง ก่อนที่ในพริบตาต่อมา ถุงมือเงินจะครอบคลุมไปทั้งแขนขวา ไม่ต่างไปจากนางกำลังสวมใส่ชุดเกราะให้แก่แขนของตนเอง…
“วัตถุชิ้นนี้สามารถเปลี่ยนเป็นชุดเกราะ อาวุธ หรือกระทั่งโล่กำบัง…”
หลิงเฉินมีสีหน้าท่าทางไม่ต่างจากเด็กอนุบาลที่กำลังอวดผ้าเช็ดหน้าสุดรักสุดหวงของตนเอง นางยังคงแสดงความสามารถของหยดน้ำสีเงินที่อยู่บนมือต่อไปพร้อมกับกล่าวว่า “วัตถุชิ้นมีเรียกว่ามโนหิรัญ เป็นวัตถุเล่นแร่แปรธาตุระดับสูง… สามารถเปลี่ยนแปลงรูปทรงได้ตามความคิดของผู้เป็นเจ้าของ องค์จักรพรรดิแห่งดินแดนเกิงจินเป็นผู้มอบมันให้กับข้าด้วยตนเอง”
หลินเป่ยเฉินยืนดูด้วยความตื่นเต้น
ชักจะรู้สึกอิจฉาหลิงเฉินขึ้นมาไม่น้อย
วัตถุชิ้นนี้สามารถใช้ได้ทั้งสำหรับการป้องกันและการโจมตี
เพราะมันเป็นถึงวัตถุเล่นแร่แปรธาตุระดับที่ 41
ตามลำดับชั้นความแข็งแกร่งของแนวทางวิชาบู๊ วัตถุเล่นแร่แปรธาตุระดับที่ 41 สามารถรับมือได้แม้กระทั่งผู้ที่อยู่เหนือไปกว่าขั้นจอมเทพจักรพรรดิแล้วด้วยซ้ำ
และขณะนี้เอง วัตถุที่มีนามว่ามโนหิรัญก็กำลังเปลี่ยนแปลงกลายเป็นกระโปรงสีเงินยาวกรอมข้อเท้าของหลิงเฉิน!