เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1666 จงร่ำไห้
ตอนที่ 1,666 จงร่ำไห้
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่ฮั่วเซวียนเซิน พูดเน้นย้ำทีละคำว่า “นับจากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีตระกูลฮั่วอยู่ในอาณาจักรหลิวเยวียนอีก... ไม่สิ แม้แต่สุนัขสักตัวของพวกเจ้า ก็จะไม่มีทางรอดชีวิตเด็ดขาด”
น้ำเสียงเย็นชาและอำมหิต ทำให้อุณหภูมิในอากาศลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว
ผู้คนรู้สึกหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ
ฮั่วเซวียนเซินต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่เจ้าหุ่นแดง 1 เพียงกดฝ่ามือของมันลงมาเล็กน้อยเท่านั้น
กร๊อบ! กร๊อบ! กร๊อบ!
กระดูกขาของฮั่วเซวียนเซินก็แตกหัก ทำให้เขาต้องคุกเข่าลงไปบนพื้นเวทีโดยทันที
กระดูกทิ่มแทงทะลุกล้ามเนื้อและผิวหนัง โลหิตไหลทะลักเต็มพื้นเวที
หลินเป่ยเฉินเดินขึ้นไปบนเวที ใช้มือปัดสิ่งของทุกอย่างที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหมู่บูชาสำหรับทำพิธีเสริมสร้างบารมีและอำนาจให้แก่ตระกูลฮั่วทิ้งไป ก่อนจะนำศพของลู่เชากับอี้ซูหนานไปวางไว้บนนั้น
หลังจากนั้น เขาก็เปลี่ยนที่นี่เป็นงานศพ
ศีรษะของฮั่วเจี้ยนหลินคือหนึ่งในสิ่งของที่ถูกนำมาเซ่นไหว้ผู้เสียชีวิต
“บัดนี้ ขอให้ทุกท่านจงก้มหัวและแสดงความเคารพต่อสหายของข้า”
หลินเป่ยเฉินยืนโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนเวที กวาดสายตามองผู้คนในงานเลี้ยงที่กำลังตื่นตระหนกด้วยความหวาดผวา หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ระเบิดเสียงคำรามออกมาว่า “จงร่ำไห้!”
ทันใดนั้น เสียงร้องไห้ก็ดังระงมทั่วงานเลี้ยงโดยพลัน
เพราะผู้ใดก็ตามที่ไม่ร้องไห้ หรือผู้ใดก็ตามที่ร้องไห้ช้าเกินไป ก็จะถูกอสุรกายใหญ่ยักษ์สีแดงกับสีน้ำเงินเหล่านั้นฆ่าทิ้งในพริบตาเดียว
“ช่างเป็นการร้องไห้ที่น่าเศร้าเหลือเกิน”
หลินเป่ยเฉินเดินย่างสามขุมเข้าไปหาฮั่วเซวียนเซิน ก่อนจะใช้มือจิกเส้นผมของฝ่ายตรงข้ามและจับศีรษะโขกกระแทกกับพื้นเวทีอย่างแรงพร้อมกับกล่าวว่า “จงคำนับสหายของข้า”
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
ฮั่วเซวียนเซินมึนงงมองเห็นดวงดาวระยิบระยับ โลหิตไหลทะลักออกจากหน้าผาก
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
พลัน เสียงศีรษะกระแทกพื้นดังกังวานไปทั่วพื้นที่จัดงานเลี้ยง
เพราะบรรดาแขกเหรื่อที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นดินในขณะนี้ ต่างก็รีบโขกศีรษะจนหัวแตกกันอย่างถ้วนหน้า
แต่ในเสียงของการโขกศีรษะเหล่านั้น ไม่มีเสียงใดจะดังชัดเจนมากเท่ากับเสียงของฮั่วเซวียนเซินอีกแล้ว
มันดังเป็นจังหวะจะโคนราวกับเสียงดนตรี
“ไม่นะ…”
ฮั่วเซวียนเซินพยายามดิ้นรนขัดขืน
แต่มือซ้ายของหลินเป่ยเฉินแข็งแรงเหลือเกิน ฮั่วเซวียนเซินจึงไม่สามารถต้านทานพลังในการกดศีรษะของตนเองกระแทกพื้นเวทีได้เลย
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
กะโหลกศีรษะของฮั่วเซวียนเซินเกิดรอยแตกร้าว
หลังจากโขกศีรษะจนครบเก้าครั้ง หลินเป่ยเฉินก็ปล่อยมือ
ฮั่วเซวียนเซินดวงตาพร่ามัว โลหิตไหลทะลักออกปากและจมูก เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเลือดสด สองขารู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว ศีรษะคล้ายกำลังจะระเบิดออกจากกัน…
เพียะ!
หลินเป่ยเฉินพลันยกมือตบหน้าอย่างไร้ความปรานี
“จงร้องไห้ จงร้องไห้ให้กับข้า”
เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันอำมหิต
ฮั่วเซวียนเซินน้ำตาไหลรินออกมาจริง ๆ
แต่เขาไม่อยากร้องไห้เลย
ทว่า มันเป็นน้ำตาที่ไม่อาจปิดกั้นเอาไว้ได้
หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองสถานที่จัดงานเลี้ยงรื่นเริงที่พังยับเยินไม่เหลือชิ้นดี แต่ยังคงปรากฏโต๊ะส่วนหนึ่งมีสุราและอาหารรสเลิศไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เขาจึงเดินลงไปหยิบอาหารและสุราเหล่านั้นมาตั้งไว้หน้าศพของอี้ซูหนานกับลู่เชา
“สหายอี้ สหายลู่ ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะปกป้องอาณาจักรหลิวเยวียนและเมืองหลันจี๋ซิงให้เป็นอย่างดี ข้าจะไม่ปล่อยให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องอดตาย ข้าจะไม่ปล่อยให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องตกระกำลำบาก...”
หลินเป่ยเฉินให้คำมั่นสัญญาต่อหน้าศพของเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนผู้ต้องเสียชีวิตเพราะตนเองเป็นสาเหตุ
“ฮ่า ๆๆ…”
ฮั่วเซวียนเซินซึ่งกำลังนั่งคุกเข่าจมกองเลือดพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “เจ้าเนี่ยนะ? เจ้าเนี่ยนะจะปกป้องดูแลอาณาจักรหลิวเยวียน? ฮ่า ๆๆ หลินเป่ยเฉิน เจ้ารีบตื่นขึ้นมาได้แล้ว อย่าได้หลับฝันต่อไปอีกเลย ท่านหัวหน้าภูตอเวจีได้ดูดซับพลังจากกระดูกอาถรรพ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้แต่องค์ชายหลิงเยวียนหลงก็ไม่ใช่คู่ต่อกรของนางอีกต่อไป นับประสาอะไรกับเจ้า แล้วเจ้าจะไปปกป้องอาณาจักรหลิวเยวียนได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดคำใด
เพียะ!
เขาหันกลับมายกมือตบหน้าฮั่วเซวียนเซินอีกฉาดใหญ่
จากนั้นจึงยกมือขึ้น
กระบี่เล่มหนึ่งถูกดูดลอยเข้ามาหามือของเขาจากบนพื้นดิน
วูบ!
ลำแสงกระบี่สาดประกาย
แล้วเนื้อหัวไหล่ซ้ายของฮั่วเซวียนเซินก็ถูกเฉือนออกมา
ควับ! ควับ! ควับ!
หลินเป่ยเฉินควงกระบี่อย่างรวดเร็ว
เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น ร่างกายของฮั่วเซวียนเซินก็ถูกเฉือนเนื้อออกไปเป็นจำนวนมาก
“อ๊ากกก อ๊ากกก...”
ฮั่วเซวียนเซินส่งเสียงร้องและดิ้นทุรนทุราย
“อย่าขยับ”
หลินเป่ยเฉินเหยียบเท้าลงไปบนหน้าอกของฮั่วเซวียนเซิน
บรรดาแขกผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงเมื่อเห็นเช่นนี้ก็ตกตะลึงสุดขีด
คงซืออวี้กับเซินซือเฉินตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
พวกเขาเข้าใจแล้วว่าการที่หลินเป่ยเฉินนำศพคนตายมาคืนนั้น เพราะต้องการแก้แค้นที่ตระกูลฮั่วทรมานสหายของเขาอย่างลู่เชากับอี้ซูหนาน จนถึงแก่ความตายด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสนั่นเอง
เด็กหนุ่มผู้นี้มีจิตใจอำมหิตยิ่งนัก
แต่ในเวลาเดียวกันนี้ คงซืออวี้กับเซินซือเฉินก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาในหัวใจ
อาละวาดเข้าไปเถอะ
ยิ่งอาละวาดเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
ยิ่งเรื่องราวลุกลามบานปลาย หลินเป่ยเฉินก็ไม่มีหนทางถอยหนีอีกแล้ว
สำนักอัสนีมืดไม่มีทางปล่อยให้หลินเป่ยเฉินลอยนวลเด็ดขาด
รอให้บรรดาพวกผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจมาถึงก่อนเถอะ รับรองว่าหลินเป่ยเฉินไม่มีทางได้อาละวาดอีกแล้ว
แต่มันคงจะดีที่สุดหากหลินเป่ยเฉินจะสังหารฮั่วเซวียนเซินไปก่อนหน้านั้น เพราะผู้ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดก็จะกลายเป็นคงซืออวี้กับเซินซือเฉิน เพราะพวกเขาจะได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของตระกูลฮั่ว
แต่ในทันใดนั้นเอง…
ครืน! ครืน! ครืน!
แผ่นดินเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง
ร่างกายขนาดใหญ่ยักษ์สีแดง ‘เดิน’ เข้ามาจากนอกกำแพงที่พังทลาย
รูปร่างที่คุ้นเคย
ขนาดตัวที่แทบไม่แตกต่างกัน
เป็นอสุรกายสีแดงอีกตัวหนึ่งปรากฏกายขึ้นแล้ว
บรรดาแขกเหรื่อที่กำลังคุกเข่าโขกศีรษะคำนับพื้นดินด้วยความบ้าคลั่งอยู่นั้น ดวงตาแทบหลุดออกมาจากเบ้าด้วยความเหลือเชื่อ
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
ยังมีอสูรร้ายชนิดนี้ปรากฏตัวขึ้นอีกหรือ?
แค่มีเจ้าอสูรแดงกับอสูรน้ำเงินอย่างละสองตัวก็ไม่มีใครสามารถต่อกรกับพวกมันได้แล้ว แต่นี่ยังมีตัวที่ห้าเพิ่มขึ้นมาอีกได้อย่างไร?
‘อสูรแดง’ ตัวนี้ยังถือโซ่จำนวนหนึ่งอยู่ในมือ
สายโซ่เหล่านั้นล่ามผู้คนยี่สิบกว่าคนอยู่ด้วยกัน ไม่ต่างจากสายจูงสุนัขขนาดใหญ่ ผู้คนที่ถูกล่ามโซ่ต่างก็มีบาดแผลฉกรรจ์อยู่บนร่างกาย ข้อมือข้อเท้าถูกพันธนาการ มีทั้งบุรุษและสตรี บางคนร้องไห้คร่ำครวญ บางคนตะโกนสาปแช่ง บางคนพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ก็ไม่สามารถกระชากสายโซ่ให้ขาดออกจากกันได้สำเร็จ
และที่สำคัญไปกว่านั้น… คือทุกคนล้วนเป็นสมาชิกตระกูลฮั่ว!