เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1672 อาณาจักรซือเว่ย
ตอนที่ 1,672 อาณาจักรซือเว่ย
ดังนั้น เมื่อออกมาจากเมืองหลันจี๋ซิง เรือเหาะหยางเว่ยก็ไม่เคยหยุดพักเลยแม้แต่วันเดียว และในที่สุด พวกเขาก็มาถึงจุดทิ้งสมอจุดสุดท้ายในอาณาจักรหลิวเยวียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ห่างออกไปไม่กี่ลี้ กลับปรากฏกลุ่มอุกกาบาตจำนวนมากรวมตัวกันโคจรเป็นเสมือนสายพานขวางกั้นเส้นทางการเดินเรือ
หลินเป่ยเฉินอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ อวกาศไม่ว่าในโลกไหนก็เหมือนกันหมดสิน่า
“พื้นที่เขตนี้เรียกว่าสายพานยมทูตขอรับ”
หมิงเซวี่ยเฟิงเดินเข้ามารายงาน
นักพรตหญิงชินถามด้วยความสงสัย “มีวิธีแก้ไขหรือไม่?”
เนื่องจากศึกษาวิชาตามสายเลือดผู้เยียวยา นักพรตหญิงชินจึงมีความปรารถนาที่จะเก็บเกี่ยวความรู้รอบตัวให้ได้มากที่สุด
หมิงเซวี่ยเฟิงรีบตอบกลับด้วยความกระตือรือร้นว่า “สายพานยมทูตเกิดขึ้นจากการรวมตัวของเศษซากอุกกาบาตจำนวนมาก ด้านในอุกกาบาตเหล่านั้นยังคงมีพลังทำลายล้างซุกซ่อนอยู่ หากมีวัตถุประสงค์ปลอมเข้าไปก่อกวน ความสมดุลในการโคจรของพวกมันก็จะสูญเสียลงไป ส่งผลให้อุกกาบาตเหล่านั้นพุ่งชนเข้าใส่กันอย่างรุนแรง”
“ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีทางเลยที่เรือเหาะของพวกเราจะแล่นเข้าไปได้ขอรับ ต่อให้เป็นผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถรอดชีวิตกลับออกมาได้ ข้าน้อยเคยได้ยินตำนานเล่าขานว่าในครั้งโบราณนั้น เกิดสายพานยมทูตเช่นนี้ขึ้นหลายตำแหน่ง แม้แต่ผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักราก็นำชีวิตไปทิ้งในนั้นมาแล้ว สายพานยมทูตจึงถือเป็นสถานที่ ๆ อันตรายยิ่งนัก…”
หลินเป่ยเฉินได้รับฟังดังนั้นหัวใจก็กระตุกวาบ
น่ากลัวเหมือนกันแฮะ
ในอวกาศไม่ว่าจะเป็นโลกใบไหน ต่างก็มีอันตรายซ่อนอยู่ทุกหนทุกแห่งจริง ๆ
ณ เวลานี้ หลินเป่ยเฉินเริ่มอยากฝึกวิชาตามสายเลือดผู้เยียวยาขึ้นมาบ้างแล้ว ติดอยู่ตรงที่ว่าสติปัญญาของเขาไม่ค่อยอำนวยเท่านั้นเอง
แต่ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
เขากางหูรับฟังต่อไป
“สายพานยมทูตในจุดนี้คือเส้นแบ่งกั้นเขตแดนระหว่างอาณาจักรหลิวเยวียนกับอาณาจักรซือเว่ย เราจำเป็นต้องอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของสายพานยมทูตเพื่อไปสู่จุดทิ้งสมอหมายเลข 257 และเมื่อโผล่ออกไปที่จุดทิ้งสมอหมายเลข 258 ถึงตอนนั้น เราก็จะไปอยู่ในอาณาเขตของอาณาจักรซือเว่ยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเราก็ต้องจ่ายค่าผ่านทางด้วยขอรับ เมื่อทำการยืนยันตัวตนเรียบร้อย เราถึงจะได้รับสิทธิ์ให้เดินทางในอาณาจักรซือเว่ยต่อไป”
“อาณาจักรซือเว่ยอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์เทียนหลางเซิน มีเมืองหลวงชื่อเมืองเทียนหลางซิง องค์ชายใหญ่ผู้ปกครองบัลลังก์ในขณะนี้มีนามว่าเต้าเจี๋ยนเซียว เขามีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักราระดับ 3 และยังเป็นผู้ที่แข็งแกร่งและทรงอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรซือเว่ยอีกด้วย…”
“ส่วนพระพันปีมีนามว่าเต้าหลานเฟิง เป็นธิดาองค์ที่เจ็ดสิบสามของกษัตริย์เต้าหมิงซื่อ ในอดีต นางเคยได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในยอดหญิงงามแห่งอาณาจักรซือเว่ย อีกทั้งยังมีฝีมือการต่อสู้ไม่เป็นรองบุรุษ ปัจจุบัน มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิ…”
“อาณาจักรแห่งนี้แตกต่างจากอาณาจักรหลิวเยวียนราวฟ้ากับดิน นิสัยของผู้คนค่อนข้างป่าเถื่อนโหดร้าย เพราะฉะนั้น อย่าได้ประมาทพวกเขาเป็นอันขาด”
“ดังนั้น หากพวกเราได้เข้าไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง และมีผู้คนพูดจาไม่ดีใส่นายท่าน นายท่านอย่าเพิ่งโกรธแค้นนะขอรับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าน้อยจัดการเอง”
หมิงเซวี่ยเฟิงอธิบายรายละเอียดทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
“เหตุไฉนเจ้าถึงคิดว่าข้าเป็นคนโกรธแค้นง่ายดายถึงเพียงนั้น?” หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ “เสี่ยวหมิง เจ้าไม่เข้าใจข้าเลยจริง ๆ ข้าเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้นเป็นเลิศเสมอ คติประจำใจของข้าก็คือโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ทนอยู่เงียบ ๆ ดีกว่า ไม่ต้องเดือดร้อนผู้ใด”
หมิงเซวี่ยเฟิงถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เพราะเขาไม่แน่ใจเลยว่านายท่านกำลังพูดจริงหรือล้อเล่นอยู่กันแน่?
หากท่านสามารถอดทนอดกลั้นได้จริง ผู้คนตระกูลฮั่วแม้แต่ลูกเล็กเด็กแดงหรือคนแก่ชราก็คงไม่ถูกฆ่าตายยกครัวเช่นนั้นหรอก
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาอีกครั้งและกล่าวว่า “เฮอะ เจ้าไม่เชื่อข้าสินะ ใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึงจริง ๆ …เอาเถอะ ไปถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองของอาณาจักรหลิวเยวียนเมื่อไหร่ เดี๋ยวข้าจะแกล้งเป็นใบ้หูหนวกก็แล้วกัน… เตรียมตัวเข้าจุดทิ้งสมอได้แล้ว”
หมิงเซวี่ยเฟิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
…
ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป
อาณาจักรซือเว่ย
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือเหาะ สองตาจ้องมองไปที่ใบหน้าของหมิงเซวี่ยเฟิงเขม็ง
หวังจง นักพรตหญิงชินและคนอื่น ๆ ต่างก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน
“นี่หรือคือด่านตรวจที่เจ้าว่า?”
หลินเป่ยเฉินชี้มือไปที่ซากของเรือเหาะไม่ต่ำกว่าสี่สิบลำที่ลอยอยู่เบื้องหน้า เช่นเดียวกับซากศพของผู้คนนับไม่ถ้วน “บุคคลเหล่านี้หรือที่เจ้ากลัวว่าพวกเขาจะมาพูดไม่ดีใส่ข้า แต่เจ้าคงหายห่วงได้แล้วกระมัง เพราะว่าพวกเขาพูดไม่ได้แล้วไงล่ะ”
การเดินทางผ่านจุดทิ้งสมอของเรือเหาะหยางเว่ยลุล่วงไปด้วยดี
สิ่งที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขาในขณะนี้ สมควรเป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองของอาณาจักรซือเว่ย
แต่มันกลับกลายเป็นสนามรบที่ถูกทิ้งร้าง
เรือเหาะจำนวนมากชำรุดเสียหายกลายเป็นเศษขยะ
ซากศพนายทหารของอาณาจักรซือเว่ยจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่ในอากาศ สีหน้าของซากศพเหล่านั้นแสดงออกถึงความสยดสยอง คราบโลหิตแห้งกรังแปดเปื้อนเต็มลำตัว…
บรรยากาศมีแต่กลิ่นคาวแห่งความตาย
นี่คือภาพที่น่าสยดสยองมากเกินไป
“หรือว่าอาณาจักรซือเว่ยก็ถูกโจมตีแล้วเช่นกัน?”
หมิงเซวี่ยเฟิงเองก็ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย
เป็นผู้ใดกันนะที่กล้าบุกรุกอาณาจักรซือเว่ย?
อาณาจักรแห่งนี้มีรากฐานอำนาจมั่นคงแข็งแรง ไม่ได้แข็งนอกอ่อนในเหมือนสภาขุนนางของอาณาจักรหลิวเยวียน ที่นี่มีกองทัพที่น่าเกรงขาม ไม่ว่าศัตรูเป็นเผ่าพันธุ์ใด พวกเขาล้วนเอาชนะได้แน่นอน
การทำลายด่านตรวจคนเข้าเมืองของอาณาจักรซือเว่ยเช่นนี้ ก็ไม่ต่างจากการประกาศสงครามไม่ใช่หรือ?
“พวกเผ่าพันธุ์ปีศาจมันขยายอิทธิพลมาถึงที่นี่แล้วหรือไง?”
หลินเป่ยเฉินเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นในหัวใจ
แต่ไม่น่าเป็นไปได้
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเพิ่งครอบครองเมืองหลันจี๋ซิงได้สำเร็จ นางยังไม่ทันได้บุกยึดครบเจ็ดสิบสองเมืองเลยด้วยซ้ำ จึงไม่น่าจะมีเวลาขยายอิทธิพลรวดเร็วถึงเพียงนี้
หมิงเซวี่ยเฟิงสั่งให้กะลาสีเรือแยกย้ายออกไปสำรวจสมรภูมิรบอย่างระมัดระวัง
ในที่สุด พวกเขาก็ได้ข้อสรุป…
“การโจมตีด่านตรวจในครั้งนี้ ดูเหมือนจะเป็นฝีมือของกองทัพซือเว่ยด้วยกันเองนี่แหละขอรับ”
หมิงเซวี่ยเฟิงรายงานด้วยใบหน้าซีดขาว “ในสมรภูมิรบ พวกเราพบเจอแต่ศพของนายทหารจากกองทัพซือเว่ยเท่านั้น และบางศพก็อยู่ในท่วงท่าที่กำลังสังหารกันเองอีกด้วย… ดูเหมือนจะเกิดการกบฏขึ้นในอาณาจักรซือเว่ยขอรับ…”
สภาขุนนางของอาณาจักรหลิวเยวียนเพิ่งจะล่มสลายลงไป นี่ก็เกิดการกบฏขึ้นในอาณาจักรซือเว่ยอีกแล้วหรือ…
ในช่วงเวลาระหว่างนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์จะรู้จักรักสามัคคีกันบ้างไม่ได้หรือไงนะ?
เรือเหาะหยางเว่ยค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากสมรภูมิรบอย่างแช่มช้า
ตู้ม!
ทันใดนั้น สิ่งไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น
ห่างออกไปไม่ไกล เกิดการระเบิดของแสงไฟสว่างวาบ
แล้วเรือเหาะสีแดงที่มีท้ายเป็นสีเงินลำหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตา บริเวณใต้ท้องเรือกำลังมีเปลวไฟลุกโชน และเรือเหาะลำนั้นก็กำลังหลบหนีอย่างรวดเร็ว
ด้านหลังเรือเหาะลำนี้ไล่ล่าติดตามมาด้วยกลุ่มเรือเหาะสีดำทมิฬอีกหลายสิบลำ