เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1692 กลุ่มขอทานข้างถนน
ตอนที่ 1,692 กลุ่มขอทานข้างถนน
เย่เทียนหลิงและพรรคพวกมีหน้าที่เข้าไปในตัวเมืองเพื่อซื้ออาหารและน้ำดื่มกลับไปแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านบริเวณท่าเทียบเรือในทุก ๆ สามถึงสี่วัน ซึ่งทุกครั้งก็จะเป็นการจัดแถวแจกอาหารเพื่อการกุศล…
“พวกท่านจะเข้าไปในตัวเมืองอย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นพวกเราเข้าไปพร้อมกันเลยดีหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเอ่ยคำเชิญ
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยขอรับ”
เย่เทียนหลิงตอบรับโดยไม่ลังเล
หลังเห็นการแสดงฝีมือของหลินเป่ยเฉินเมื่อคืนนี้ นายทหารร่างใหญ่ก็มั่นใจแล้วว่าการที่มีหลินเป่ยเฉินอยู่ข้างกาย ก็จะทำให้การเดินทางเข้าไปซื้อของในตัวเมืองราบรื่นขึ้นอย่างแน่นอน
ครืด! ครืด!
ประตูหินบริเวณกำแพงเมืองเปิดออกอย่างเชื่องช้า
กลุ่มคนเดินเข้าไป
เมื่อพ้นจากกำแพงเมืองบริเวณท่าเทียบเรือเข้ามาแล้ว พวกเขาใช้เวลาเดินเท้าเพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น ก็มาถึงถนนสายหลักฝั่งตะวันตกประจำตัวเมืองเป็นที่เรียบร้อย
บรรยากาศของเมืองยังคงรกร้างและวังเวงเช่นเมื่อวาน
บนท้องถนนปกคลุมด้วยเม็ดทรายสีเหลือง
อาคารบ้านเรือนว่างเปล่า บางหลังอยู่ในสภาพทรุดโทรมถล่มทลาย ฝุ่นหินดินทรายเข้าไปเกาะอยู่ตามข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน โต๊ะและเก้าอี้มีฝุ่นจับหนาเตอะ ข้าวของเครื่องใช้กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ
สัตว์อสูรส่วนใหญ่มักจะนอนหลับในเวลากลางวัน ดังนั้น พวกมันจึงไม่ปรากฏตัวออกมา
สองข้างถนนจะพบเจอซากศพแห้งกรังเป็นจำนวนมาก มีทั้งซากศพของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซากศพของเผ่าพันธุ์ปีศาจและซากศพของเผ่าพันธุ์อสูร
แต่ส่วนใหญ่จะเป็นซากศพของมนุษย์
พื้นที่บางตำแหน่งจะเห็นศพมนุษย์กองรวมกันอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้คนที่มีพลังยุทธ์ต่ำต้อย ไร้สถานะ ไร้ชื่อเสียง สีหน้าก่อนหมดลมหายใจมีแต่ความหมดหวัง สามีโอบกอดภรรยา มารดาโอบกอดบุตร เด็ก ๆ โอบกอดบิดามารดา ผู้เฒ่าผู้แก่โอบกอดบุตรหลาน...
ก่อนตายพวกเขาใกล้ชิดกันเท่าไหร่ หลังเสียชีวิตพวกเขาก็ยังใกล้ชิดกันดังเดิม… มองไปแล้วแทบไม่ต่างจากกลุ่มรูปปั้น
บางทีอาจเป็นเพราะศพของพวกเขาเหี่ยวแห้งมากเกินไป บรรดาสัตว์อสูรจึงไม่สนใจกัดกิน
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ หนังหัวของหลินเป่ยเฉินก็ชายิบ
บนพื้นทรายมีกองกระดูกขาวโพลนอยู่เต็มไปหมด
สามารถมองเห็นหัวกะโหลกสีขาวได้ทุกหนทุกแห่งในพื้นทราย เบ้าตากลวงโบ๋ งูและแมลงเลื้อยคลานออกมาจากด้านในหัวกระโหลก มองดูไม่ต่างจากคนตายเหล่านี้กำลังกล่าวโทษโชคชะตาชีวิตอันแสนเศร้าของตนเอง
ภาพเหล่านี้ หลินเป่ยเฉินเคยเห็นแต่ในภาพยนตร์แนวโลกล่มสลายจากชาติภพที่แล้ว
อย่างเช่น โลกหลังเจอสงครามนิวเคลียร์ในภาพยนตร์เรื่อง ‘Mad Max’ หรือโลกหลังการล่มสลายในการ์ตูนเรื่องหมัดเทพเจ้าดาวเหนือ…
ยากจินตนาการได้ว่าเพียงหนึ่งปีก่อน เมืองแห่งนี้ยังเป็นมหานครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งอาณาจักรซือเว่ย
“พื้นที่เขตนี้อยู่ในการดูแลของท่านแม่ทัพใหญ่หลงเซวียน แต่ที่นี่เหลือประชากรเดิมอยู่ไม่ถึงหนึ่งส่วน ส่วนใหญ่พวกเขาจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมือง และได้รับการกดขี่จากกองทัพของท่านแม่ทัพใหญ่หลงเซวียนอย่างโหดร้ายทารุณ แม้แต่การออกมาเดินตามท้องถนน พวกเขาก็ไม่ได้รับอนุญาต…”
ระหว่างนำทาง เย่เทียนหลิงก็รับหน้าที่อธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ไปด้วย “พวกเรากำลังอยู่ในเขตหลานเหนี่ยว ซึ่งยังคงอยู่ห่างไกลจากพื้นที่ใจกลางเมืองพอสมควร และตามกฎของท่านแม่ทัพใหญ่หลงเซวียน ห้ามไม่ให้มีการใช้วิชาบู๊ภายในตัวเมือง ห้ามไม่ให้ผู้ฝึกยุทธ์เหาะเหินเดินอากาศ ทุกคนต้องเดินด้วยเท้าเท่านั้น… และอีกประมาณหนึ่งก้านธูป พวกเราก็จะพบเจอกับด่านตรวจคนเข้าเมืองชั้นใน เมื่อจ่ายค่าผ่านทางเพื่อแลกกับป้ายประจำตัวเสร็จเรียบร้อย เราถึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ตัวเมืองได้อย่างเป็นทางการขอรับ”
ระหว่างทาง นักพรตหญิงชินใช้สายตาสำรวจมองรอบตัวด้วยความพินิจพิเคราะห์
หลินเป่ยเฉินเปิดแอปไป่ตู้ แมป
บนแผนที่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือแสดงให้เห็นว่าบริเวณแถบนี้มีสัตว์อสูรระดับสูงอยู่เป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับยอดฝีมือที่ไม่ทราบตัวตนอีกกลุ่มใหญ่
โชคดีที่สัตว์อสูรและยอดฝีมือเหล่านั้นไม่ใช่ภัยคุกคามของเย่เทียนหลิงและพรรคพวก
เห็นได้ชัดว่าการที่พวกเขาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของท่านผู้กล้าแซ่โจว คือสิ่งที่ช่วยสร้างความปลอดภัยให้แก่พวกของเย่เทียนหลิงได้ในระดับหนึ่ง
ในที่สุด เย่เทียนหลิงก็กล่าวขึ้นมาว่า “พวกเรามาถึงแล้ว”
เบื้องหน้าห่างออกไปประมาณครึ่งลี้เป็นที่ตั้งของอาคารสองหลังที่มีความสูงเสียดฟ้า อาคารทั้งสองหลังเอียงเข้าหากันเกิดเป็นการช่วยค้ำจุนกันและกัน ไม่ต่างจากผู้คนที่กำลังเดินกอดคอกันอยู่บนท้องถนน
ด้านหน้าอาคารสูงเสียดฟ้าทั้งสองหลังนั้นเป็นที่ตั้งของป้อมปราการหลังใหญ่
บริเวณหน้าประตูทางเข้ามีนายทหารในชุดเกราะสีแดงยืนตรวจตราผู้คนที่กำลังจะเข้าเมืองด้วยความเข้มงวด
บัดนี้ มีผู้คนยืนต่อแถวเพื่อจ่ายเงินค่าผ่านทางสำหรับการเข้าสู่ตัวเมืองยาวเหยียดหลายสิบคน
แต่ละคนล้วนสวมใส่เสื้อผ้าซอมซ่อ ร่างกายซูบผอม ใบหน้าซูบตอบ
หลินเป่ยเฉินถึงกับประหลาดใจไม่น้อย
เย่เทียนหลิงอธิบายว่าไม่ใช่ทุกคนในเมืองนี้ที่จะสามารถได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยจากกองทัพของท่านแม่ทัพใหญ่ บรรดาคนยากคนจนไม่มีเงินมาจ่ายค่าที่พักภายในตัวเมือง พวกเขาจึงต้องย้ายไปเช่าบ้านอยู่ด้านนอกกำแพงเมืองแทน…
ในช่วงกลางวัน ชาวเมืองเหล่านี้ก็จะกลับเข้ามาในตัวเมืองเพื่อทำงานแลกน้ำและอาหาร ในตอนกลางคืน พวกเขาก็จะกลับออกไปก่อนที่ประตูเมืองจะปิดลง หากกลับออกไปไม่ทันเวลา พวกเขาก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง…
ชีวิตของชาวเมืองไม่เคยยากลำบากถึงเพียงนี้มาก่อน
หลินเป่ยเฉินและคณะค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ประตูของด่านตรวจคนเข้าเมือง
บริเวณหน้าประตูทางเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง นอกจากแถวของคนยากคนจนที่รอรับการตีตราอนุญาตเพื่อเข้าสู่ในตัวเมืองแล้ว พื้นที่โดยรอบก็ยังมีกลุ่มขอทานจำนวนมากมานั่งเรียงรายขอรับเงินและอาหาร ซึ่งความวุ่นวายโกลาหลที่เกิดขึ้น ก็ทำให้สภาพของสถานที่แห่งนี้แทบไม่ต่างไปจากตลาดมืดสักเท่าไหร่
“มีเพียงแต่ชนชั้นยอดฝีมือเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ทำงานอยู่ในตัวเมืองได้อย่างถาวร ส่วนผู้ที่ขาดคุณสมบัติ ผู้ที่อ่อนแอ คนป่วย คนพิการ ต่างก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่พื้นที่ใจกลางเมืองเด็ดขาด เพราะในความคิดของท่านแม่ทัพหลงเซวียน บุคคลเหล่านี้ทำงานไม่ได้ จึงถือว่าเป็นตัวไร้ประโยชน์”
เย่เทียนหลิงอธิบาย
“แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ไปอยู่ที่ท่าเทียบเรือล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินถาม
เย่เทียนหลิงตอบว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่หลงเซวียนไม่อนุญาตขอรับ บางคนไม่อยากอยู่ในเมืองนี้อีกแล้ว พวกเขาอยากจะออกไปอยู่ที่ท่าเทียบเรือด้านนอก แต่สุดท้ายก็ถูกลูกสมุนของท่านแม่ทัพใหญ่ฆ่าตายระหว่างทาง…”
“ไม่อนุญาตให้ออกไปเนี่ยนะ?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ? ในเมื่ออยู่ที่นี่พวกเขาก็ถูกมองเป็นตัวไร้ประโยชน์ แล้วเหตุไฉนถึงจะย้ายไปอยู่ที่ท่าเทียบเรือไม่ได้? หรือแม่ทัพหลงเซวียนต้องการให้พวกเขาอดตายอยู่ที่นี่?”
เย่เทียนหลิงตอบด้วยความหมดหวังว่า “ว่ากันว่าท่านแม่ทัพหลงเซวียนต้องการใช้ผู้เฒ่าผู้แก่ คนยากคนจน คนเจ็บคนป่วย คนพิการเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้บรรดาผู้คนซึ่งยังมีคุณสมบัติได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ด้านในตัวเมืองได้ระลึกอยู่เสมอว่า ตนเองโชคดีเพียงใดที่ยังมีโอกาสเข้าไปทำงาน และเพื่อที่ชาวเมืองเหล่านั้นจะไม่ลุกขึ้นมาต่อต้านตนเองขอรับ”
แม่ทัพใหญ่หลงเซวียนไม่ใช่ตัวดีจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินกวาดตามองไปยังแถวของกลุ่มขอทานที่อยู่ริมถนน
ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นคนชรา เด็กน้อยและสตรีผู้อ่อนแอ
ทุกคนมีผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าสกปรก ผิวหนังหุ้มกระดูก สีหน้าเฉยชา ดวงตาเหม่อลอย พวกเขาจะเฝ้ามองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยความหมดหวัง และพยายามใช้สัญชาตญาณคาดเดาว่าผู้คนเหล่านั้นเป็นบุคคลอันตรายหรือไม่หากตนเองจะเข้าไปร้องขออาหาร...
กลุ่มขอทานไม่กล้ามาร้องขอต่อบรรดานายทหารในชุดเกราะสีแดง
เพราะแทนที่จะได้รับความเมตตา พวกเขากลับถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บเสียนี่!