เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1694 หอสุราเซียนเมามาย
ตอนที่ 1,694 หอสุราเซียนเมามาย
จังหวะที่ฉีเจียงกำลังจะหันหัวอูฐมังกรของตนเองกลับไป สายตาของเขาก็หันมาพบเข้ากับนักพรตหญิงชินที่ยืนอยู่ข้างหลินเป่ยเฉินพอดิบพอดี หลังจากนั้น ฉีเจียงก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะขี่สัตว์อสูรของตนเองจากไปโดยไม่พูดคำใดอีก
บรรดานายทหารผู้ติดตามระเบิดเสียงหัวเราะเยาะ ก่อนจะฉุดลากเกวียนบรรทุกกรงไม้หายเข้าไปในตัวเมือง
บิดามารดาที่เห็นลูกสาวของตนเองถูกส่งตัวเข้าไปในกรงไม้ ไม่สามารถทำสิ่งใดได้นอกจากโอบกอดถังน้ำและหมั่นโถวเหล่านั้นด้วยน้ำตาที่ไหลริน...
“โอ๊ย…”
พลัน เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น
ปรากฏว่ามีคนบางคนอาศัยจังหวะที่ชายวัยกลางคนยังไม่ฟื้นคืนสติ พยายามจะขโมยถังน้ำและหมั่นโถวไปจากบิดาของเด็กสาวผู้โชคร้าย และชายวัยกลางคนก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาพอดี จึงระเบิดเสียงคำรามและต่อยหัวขโมยลอยกระเด็นออกไป
คนอื่น ๆ ที่คิดจะเข้าไปขโมยน้ำดื่มและหมั่นโถวเหล่านั้นรีบแยกย้ายหายไปโดยทันที
ชายวัยกลางคนลุกขึ้นปาดเลือดออกไปจากใบหน้า ดื่มน้ำในถังด้วยความหิวโหย ก่อนจะรับประทานหมั่นโถวด้วยความมูมมาม เมื่อเรี่ยวแรงฟื้นคืนกลับมาแล้ว เขาก็ยันกายลุกขึ้นยืนและหมุนตัวเดินหายไปอย่างรวดเร็ว
“พวกเราไปกันเถอะ”
หลินเป่ยเฉินว่า
กลุ่มคนเดินไปข้างหน้า
เมื่อจ่ายค่าผ่านทางเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้เดินผ่านเข้าสู่ตัวเมืองชั้นในได้อย่างเป็นทางการ
กองทัพเจี๋ยซิงเข้ามาบูรณะพื้นที่เขตนี้เป็นอย่างดี อาคารบ้านเรือนที่เคยพังถล่มก็ได้รับการก่อสร้างขึ้นมาใหม่อย่างมั่นคงแข็งแรง
หากมองลงมาจากบนฟ้า เมืองชั้นในแห่งนี้มีลักษณะคล้ายกับเขาวงกต
ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
นายทหารหน่วยลาดตระเวนเดินอยู่ตามท้องถนนอย่างหนาแน่น
เขตเมืองชั้นในมีผู้คนให้พบเจอบนท้องถนนมากกว่าเขตเมืองชั้นนอกอย่างเห็นได้ชัด
ร้านค้าข้างถนนกำลังเปิดกิจการ ส่วนใหญ่จะเป็นร้านขายอาหาร ขายผัก ผลไม้และน้ำดื่ม รวมไปถึงสิ่งของอุปโภคบริโภค เช่นเดียวกับอาวุธและชุดเกราะ ไปจนถึงยารักษาโรคและอื่น ๆ อีกมากมาย
แต่ในร้านค้ามีผู้คนไม่มากนัก
บนท้องถนนเต็มไปด้วยคนยากคนจนที่รีบเร่งมาทำงาน
ร่างกายของพวกเขาซูบผอม และใบหน้าก็ซูบตอบ
แต่ก็ยังมีบรรดาผู้คนที่ร่ำรวยเดินสวมใส่เสื้อผ้าหรูหรา ได้รับการคุ้มครองจากนายทหารในชุดเกราะสีแดงให้เห็นอยู่บ้างเช่นกัน
กลิ่นของอาหารและสุราลอยออกมาจากร้านอาหารข้างทาง
“สุราเหม็นหืน เนื้อก็เหม็นเน่า นึกว่ากลิ่นซากศพเลยนะเนี่ย…”
หลินเป่ยเฉินอดบ่นออกมาไม่ได้
แต่พวกของเย่เทียนหลิงกับเซี่ยถิงอวี่ไม่ได้คิดเช่นนั้น
นักพรตหญิงชินทำตาดุมองไปที่หลินเป่ยเฉินเพื่อเตือนให้เขาอยู่เงียบ ๆ
เมื่อเดินตัดข้ามถนนออกไป พวกของเย่เทียนหลิงก็แยกย้ายไปซื้อข้าวของที่จำเป็น
ก่อนหน้านี้ ทางท่าเทียบเรือได้เจรจาซื้อขายอาหารกับทางร้านค้าด้านในตัวเมืองเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลุ่มนายทหารยามจากกำแพงเมืองชั้นนอกจึงสามารถซื้อหาวัตถุดิบต่าง ๆ ในการทำอาหารได้ในราคาถูกเป็นพิเศษ
หลินเป่ยเฉินกับนักพรตหญิงชินเดินรับชมบรรยากาศในตัวเมืองได้อย่างอิสระ
หลังจากนั้นไม่นาน
ทั้งสองคนก็มาหยุดยืนอยู่หน้าหอสุราขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า ‘หอสุราเซียนเมามาย’
นี่เป็นหอสุราที่ใหญ่ไม่เป็นสองรองใครภายในเขตเมืองชั้นใน ผู้คนที่เดินเข้าออกต่างก็เป็นผู้ที่อยู่ในฐานะมีอันจะกินทั้งสิ้น
คราวนี้ กลิ่นสุราและอาหารที่ลอยออกมาชวนให้น้ำลายไหลยิ่งนัก
ในหอสุรามีผู้คนเข้ามาทานอาหารอยู่หนาตา
นับจากชั้นแรกไปจนถึงชั้นที่หก หน้าต่างของหอสุราจะเปิดกว้าง จนมองเห็นได้ว่าด้านในมีลูกค้าแน่นขนัดเพียงใด และเสียงพูดคุยตามโต๊ะอาหารไม่เคยหยุดชะงักขาดหาย
ในทางกลับกัน บนชั้นที่เจ็ดของหอสุราหน้าต่างกลับปิดสนิทแน่น แต่หลังหน้าต่างบานนั้นนอกจากได้ยินเสียงหัวเราะของบุรุษผู้ชั่วร้ายแล้ว บางครั้งก็จะมีเสียงร้องไห้ของสตรีเล็ดลอดออกมาอีกด้วย
“ที่นี่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองหอสุราขนาดใหญ่
นักพรตหญิงชินพยักหน้า
ทั้งสองคนกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน
โครม!
ทันใดนั้น ร่างในชุดสีขาวก็กระโดดออกมาจากหน้าต่างที่ปิดสนิทแน่นและตกกระแทกพื้นอย่างรุนแรง ส่งผลให้ฝุ่นผงฟุ้งตลบในอากาศ
เป็นเด็กสาวผู้หนึ่ง
ร่างของนางกระแทกพื้นดินอย่างแรง ไม่ทราบเลยว่ากระดูกให้ร่างกายแตกหักไปกี่ส่วน แขนขาของนางหักงอผิดรูป โลหิตไหลทะลักออกมาจากร่างกาย เพียงพริบตาเดียว นางก็นอนจมอยู่ในกองเลือดของตนเองแล้ว
“บัดซบ…”
ได้ยินเสียงคำรามดังออกมาจากชั้นที่เจ็ดของหอสุราเซียนเมามาย
นายทหารฉีเจียงยื่นศีรษะออกมาจากกรอบหน้าต่าง พร้อมกันนั้นก็ระเบิดเสียงคำรามว่า “นางน่าจะยังไม่ตาย เอาตัวกลับขึ้นมาให้ข้า เฮอะ ต่อให้นางตายแล้ว นางก็หนีข้าไม่พ้นหรอก”
หลินเป่ยเฉินและนักพรตหญิงชินหันมองหน้ากัน
หลินเป่ยเฉินเดินไปปัดผมออกจากใบหน้าของเด็กสาวที่กระโดดลงมาจากหอสุราชั้นเจ็ด เผยให้เห็นถึงใบหน้าสวยงามเกินกว่าเด็กสาวปกติทั่วไป
เป็นไปตามคาด
นางคือเด็กสาวคนเดียวกับก่อนหน้านี้ที่ถูกบังคับจับตัวมานั่นเอง
บัดนี้ เด็กสาวใกล้หมดสติเต็มที นางพยายามลืมตาจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉิน โลหิตไหลทะลักออกจากปากและจมูก ราวกับว่าต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่สามารถพูดออกมาได้
แต่ถึงกระนั้น หลินเป่ยเฉินก็ยังสามารถมองเห็นความรู้สึกโล่งใจในแววตาของนางได้อย่างชัดเจน
หลินเป่ยเฉินจับมือที่เย็นเยียบของนางเอาไว้
เขาถ่ายทอดพลังปราณของตนเองเข้าสู่ร่างกายของเด็กสาว
ในไม่ช้า โลหิตของนางก็หยุดไหล
กระดูกที่แตกหักได้รับการสมานตัว
เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น บาดแผลที่ปรากฏบนร่างกายก็สลายหายไปไม่เหลือแม้แต่รอยแผลเป็นสักรอยเดียว ราวกับว่านางไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน
สำหรับเด็กสาวที่บาดเจ็บจากการตกลงมาจากที่สูงเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องยากลำบากสำหรับการรักษา
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าหลินเป่ยเฉินเป็นผู้มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เขาย่อมต้องรักษานางได้อยู่แล้ว
ดวงตาที่พร่ามัวของเด็กสาวกลับมามองเห็นได้เด่นชัดมากขึ้น
นางลุกขึ้นนั่งด้วยความตกตะลึงและงุนงง ก่อนจะก้มมองสองมือและร่างกายของตนเองด้วยความเหลือเชื่อ
ชุดกระโปรงสีขาวของนางยังแปดเปื้อนด้วยคราบเลือด
แต่นางไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว
เหลือแต่เพียงอาการวิงเวียนศีรษะเพราะสูญเสียเลือดไปจำนวนมากนั่นเอง
“กินนี่สิ”
หลินเป่ยเฉินยื่นโอสถบำรุงโลหิตให้แก่เด็กสาว
นางลังเลเล็กน้อย แต่ก็รับไปกลืนลงคอในที่สุด กระแสพลังร้อนอุ่นไหลเวียนไปทั่วร่างกาย อาการวิงเวียนศีรษะหายไป เด็กสาวเงยหน้าถามว่า “นะ… นายท่านช่วยข้าน้อยไว้หรือเจ้าคะ?”
นางจำหลินเป่ยเฉินได้ดี
บริเวณหน้าประตูด่านตรวจคนเข้าเมือง หลินเป่ยเฉินยืนแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคน
แต่ด้วยความที่เขาหล่อเหลามาก เมื่อเด็กสาวได้พบเห็นแล้วครั้งหนึ่ง ก็จะไม่มีทางลืมเลือนใบหน้าของเขาได้เด็ดขาด
คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะได้มาพบกันอีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้
หลินเป่ยเฉินไม่ตอบคำถาม
เพราะบัดนี้ นายทหารในชุดเกราะสีแดงกลุ่มหนึ่งกรูออกมาจากประตูของหอสุราเซียนเมามาย และกำลังเดินตรงมาหาพวกเขาแล้ว
ผู้ที่เดินนำมาหน้าสุดเป็นนายทหารร่างสูงใหญ่กิริยาวาจาก้าวร้าวดุดัน เมื่อดวงตากวาดมองไปที่เด็กสาวชุดขาว เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังเฮอะฮะ