เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1702 เสียงย่ำกลองรบ
ตอนที่ 1,702 เสียงย่ำกลองรบ
“เฮ้อ นี่มัน…”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
ถึงเขาจะไม่อยากปฏิเสธกล้ามเนื้อแปดมัดบริเวณหน้าท้องก็ตาม
แต่ทางสาว ๆ จะคิดอย่างไรกับรูปลักษณ์ใหม่ของเขาบ้าง?
โชคดีที่ใบหน้าของเขาไม่ได้มีกล้ามเนื้อกำยำตามไปด้วย
เหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้เกิดขึ้นในวันที่หก
ความเปลี่ยนแปลงมาถึงโดยที่ผู้คนไม่ทันตั้งตัว
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงย่ำกลองรบดังกังวานในอากาศ
มีผู้คนยืนอยู่บนตึกสูงและเฝ้ามอง
บนท้องฟ้าปรากฏเรือเหาะสีแดงค่อย ๆ ลอยลำเข้ามา ก้อนเมฆในอากาศกระจายตัว คลื่นพลังปั่นป่วนรุนแรง
เรือเหาะสีแดงเคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
แผ่นดินสั่นสะเทือน
พื้นที่บริเวณชานเมืองมีฝุ่นตลบขึ้นมาราวกับพายุหมุน
แล้วกองทัพทหารม้าจำนวนมหาศาลก็ปรากฏตัวขึ้นในทะเลทราย
ท่ามกลางม่านฝุ่นที่ฟุ้งตลบ ประกายระยิบระยับจากคมอาวุธสะท้อนกับแสงแดด เกิดเป็นความรู้สึกคุกคามผู้คนชนิดหนึ่ง
กองทัพกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา
เรือเหาะห้าสิบลำปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
ศัตรูมาถึงแล้ว!!
เพียงไม่นาน เสียงสัญญาณเตือนภัยก็ดังก้องไปทั่วเขตหลานเหนี่ยว
ชาวบ้านชนชั้นผู้ใช้แรงงานเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความพิศวง และเมื่อรับทราบว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าของทุกคนก็แปรเปลี่ยนไป
ข่าวร้ายแพร่กระจายไปรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง
ฮันม่อซูหนึ่งในเจ็ดนายทหารผู้ควบคุมเขตเหยียนปิง ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มกองกำลังของหลินซิงเฉิงได้มาถึงแล้ว ฮันม่อซูมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิ เขานำกองทัพโลหิตเหล็กของตนเองมาเพื่อแก้แค้นให้แก่พวกของหลงเซวียน
ฮันม่อซูมีฉายาว่าแม่ทัพทะเลเลือด!
เขาเป็นนักฆ่าผู้โหดร้ายอำมหิต กระบี่ในมือเคยสังหารผู้คนมามากมายนับไม่ถ้วน
ว่ากันว่าทุกครั้งที่กองทัพโลหิตเหล็กออกสังหารศัตรู แม้แต่เป็ดไก่สักตัวก็ไม่มีเหลือรอด
ภายในเขตหลานเหนี่ยว หัวใจของผู้คนเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง
หลายคนหวาดกลัวจนถึงกับต้องไปหลบซ่อน
ผ่านไปไม่นาน
กองทัพฝ่ายศัตรูก็บุกเข้ามาประชิดเขตกำแพงเมือง
บัดนี้ กองทัพโลหิตเหล็กได้มาตั้งค่ายกลอยู่หน้ากำแพงเมือง พวกเขาแบ่งกองกำลังออกเป็นยี่สิบชุด แต่ยังไม่มีท่าทีว่าจะบุกโจมตีแต่อย่างใด
คมกระบี่และคมหอกสะท้อนประกายระยิบระยับ
ทันใดนั้น
รังสีอำมหิตแผ่ปกคลุมไปทั่วเมือง
บรรยากาศแห่งความกดดันทำให้ชาวเมืองรู้สึกว่านี่เป็นวันสุดท้ายของชีวิต
แม้แต่กลุ่มนายทหารก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาแล้ว
เพราะกองทัพฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งเกินไป
เซียนกระบี่หลินเป่ยเฉินเพียงผู้เดียวย่อมไม่สามารถคุ้มครองผู้คนได้ทั้งเมือง
สถานการณ์ในขณะนี้ ไม่ต่างจากฝูงหมาป่าที่กำลังไล่ต้อนลูกแกะน้อย ก่อนฉีกกระชากกัดกินด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต
“ดูเหมือนพวกเขาจะมาช้ากว่าที่คิด”
นักพรตหญิงชินยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือเหาะเซียนกระบี่ จ้องมองไปที่กลุ่มกองกำลังของศัตรูอย่างใช้ความคิด
“ไม่เลวขอรับ ไม่เลวเลย”
หลินเป่ยเฉินก็ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือเหาะเช่นกัน เขายืนกอดอก ยกมือจับคางและหัวเราะด้วยความร่าเริง “ฮันม่อซูผู้นี้นับว่ามีวิสัยทัศน์ ควรค่าต่อการชื่นชมยิ่งนัก”
“???”
นักพรตหญิงชินหันกลับมามองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความสงสัยใจ
หลินเป่ยเฉินยิ้มตอบกลับไปด้วยความมั่นใจว่า “ฮันม่อซูคงได้ยินชื่อเสียงของเซียนกระบี่หลินเป่ยเฉินมานานแล้ว เขาจึงรู้ว่าข้านั้น นอกจากจะหล่อเหลาแล้ว ก็ยังมีฝีมือแข็งแกร่งอีกด้วย การบุกโจมตีในครั้งนี้ ฮันม่อซูจึงต้องรวบรวมกำลังพลมาทั้งหมด… บุคคลที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลเช่นนี้ นับว่าหาได้ยากยิ่งนัก”
นักพรตหญิงชินถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
เอาที่เจ้าสบายใจเถอะ
นางไม่ได้พูดอะไรออกมา
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงย่ำกลองรบดังขึ้นอีกครั้ง
ดังอย่างเร่งเร้ามากขึ้น
เรือเหาะสีแดงลอยลำเข้ามาใกล้เขตกำแพงเมืองมากขึ้น
บนสะพานเรือ
เครื่องขยายเสียงรูปทรงหัวนกอินทรีพลันยื่นออกมาข้างหน้า
“ผู้ใดรับผิดชอบในการดูแลเขตหลานเหนี่ยว? จงไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้”
เสียงคำรามดังปานฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ชวนให้หัวใจของผู้คนรู้สึกตื่นตระหนกตกใจ
ไสหัวออกมา?
รอยยิ้มบนใบหน้าหลินเป่ยเฉินหายวับไปทันที
ให้ตายเถอะ พูดจาให้มันดี ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง?
มาถึงก็ประพฤติตัวหยาบคายเชียวหรือ?
รอยยิ้มขบขันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนักพรตหญิงชิน
หลินเป่ยเฉินหันไปชำเลืองมองนางและกล่าวว่า “เดี๋ยวข้าจะออกไปดัดนิสัยเขาเองขอรับ…”
หลินเป่ยเฉินเคลื่อนกายวูบ แล้วร่างของเขาก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศ
“ข้าพเจ้ามีนามว่าหลินเป่ยเฉิน เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเซียนกระบี่”
เด็กหนุ่มลอยตัวอยู่กลางอากาศ ชายเสื้อคลุมสีขาวปลิวไสวเช่นเดียวกับเส้นผมสีดำยาวสยาย เขาระเบิดเสียงหัวเราะอย่างมีสง่าราศี ก่อนกล่าวว่า “ท่านคงเป็นฮันม่อซูหนึ่งในเจ็ดแม่ทัพใหญ่ของรองผู้คุมสภาหลินซิงเฉิงสินะ? มีอะไรได้โปรดกล่าวออกมาเถอะ”
“หลินเป่ยเฉิน? ชื่อนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เสียงคำรามปานฟ้าถล่มดังตอบกลับมาโดยทันที ในน้ำเสียงนั้นแฝงด้วยความเหยียดหยามเย้ยหยันอยู่หลายส่วน “คนไร้นามไม่ควรค่าให้จดจำ เจ้าถือดีอย่างไรมาพูดคุยกับข้า? หากเจ้ายังไม่อยากตาย ก็จงไปบอกให้หัวหน้าของเจ้าออกมาเจรจากับข้าซะ”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เชี่ยเอ๊ย!
เส้นเลือดบนขมับของเขาเต้นตุบ ๆ
ไม่เหมือนที่คิดไว้สักนิด
แม้ไม่ต้องเหลียวมองกลับไปข้างหลัง หลินเป่ยเฉินก็พอจะคาดเดาได้ว่านักพรตหญิงชินคงกำลังยกมือปิดปากหัวเราะคิกคักด้วยความขบขันแทบตายแล้ว
“นี่ เจ้าไม่เคยได้ยินชื่อหลินเป่ยเฉินผู้สูงส่งแห่งกองทัพเซียนกระบี่ได้อย่างไร? เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ ช่างสามหาวยิ่งนัก จงบอกชื่อของเจ้าออกมาซะ”
หลินเป่ยเฉินพยายามแก้ไขสถานการณ์ต่อไปให้ตนเองอับอายน้อยลง
“ฮ่า ๆๆ หลินเป่ยเฉินแล้วจะอย่างไร? กองทัพเซียนกระบี่แล้วจะทำไม? สุดท้ายก็เป็นเพียงเศษสวะไร้ค่าอยู่ดี ข้ามีนามว่าแม่ทัพใหญ่ฮันม่อซูแห่งเขตปกครองเหยียนปิง ข้าคือผู้ติดตามคนสนิทของท่านรองผู้คุมสภาหลินซิงเฉิง มดปลวกต่ำต้อยอย่างเจ้ามีสิทธิ์อันใดมากล่าววาจากับข้า…”
บรรดานายทหารชั้นนำที่ยืนอยู่บริเวณหัวเรือเหาะสีแดงเพลิงต่างก็หัวเราะเยาะใส่หลินเป่ยเฉิน
ให้ตายสิ…
ใบหน้าของหลินเป่ยเฉินกระตุกระริก
ดูเหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะของนักพรตหญิงชินดังมาจากทางด้านหลังเขาอีกแล้ว
ใบหน้าของชาวเมืองที่อยู่บนพื้นดินต่างก็แสดงให้เห็นถึงความผิดหวัง
ภาพลักษณ์ที่หลินเป่ยเฉินอุตส่าห์สร้างขึ้นมา…
ถูกทำลายย่อยยับหมดแล้ว
หากไม่แก้แค้น เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
“เจ้ามีนามว่าฮันม่อซูสินะ?”
หลินเป่ยเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป นำเครื่องยิงจรวดมาประทับบนหัวไหล่และเหนี่ยวไกยิงโดยไม่ลังเลพร้อมกับระเบิดเสียงคำรามด้วยความดุร้ายว่า “ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าผู้ที่กล้าดูถูกข้านั้นจะมีจุดจบเป็นอย่างไร!”
ตู้ม!
ลูกระเบิดที่เกิดขึ้นจากการหลอมรวมพลังปราณอสูรระดับจอมจักรพรรดิพุ่งเป็นลำแสงทะลวงผ่านอากาศตรงเข้าไปหาเรือเหาะสีแดงเพลิงลำนั้น
“เจ้านี่มันไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริง ๆ กล้าดีอย่างไร…”
เสียงหัวเราะเยาะดังออกมาจากเครื่องขยายเสียงบริเวณหัวเรือเหาะ
แต่เสียงหัวเราะยังไม่ทันขาดหาย
ตู้ม!
ลูกระเบิดก็กระแทกเข้าใส่ลำเรือ
แสงสว่างสีส้มพลันสาดประกายเจิดจ้า!