เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1711 หายตัวไปตลอดกาล
ตอนที่ 1,711 หายตัวไปตลอดกาล
“วิชาปราณกระบี่คงกระพัน?”
หูจงเซียนไม่ตอบคำถาม แต่กลับอุทานออกมาเสียงแหบแห้งด้วยความตกตะลึง “นี่คือวิชาปราณกระบี่คงกระพันในตำนานใช่หรือไม่?”
“ไม่เลวนี่นา” หลินเป่ยเฉินว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าตำนานของข้าจะถูกเล่าขานมาถึงสถานที่แห่งนี้แล้ว”
หูจงเซียนได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง
เขากล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ท่านแม่ทัพหลิน ท่านรู้หรือไม่ว่ากองทัพอีกาดำมีอิทธิพลเพียงใด? จางหรู่คนที่ท่านเพิ่งสังหารทิ้งไปนั้น ถูกวางตัวให้เป็นท่านผู้คุมสภาในอนาคตเชียวนะ… คราวนี้ท่านต้องเดือดร้อนแน่”
เดิมที ตำแหน่งท่านผู้คุมสภาแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ในอาณาจักรซือเว่ยนั้นอยู่ในการครอบครองขององค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์เทียนหลางเซิน
แต่เมื่อพระองค์ท่านสิ้นพระชนม์และบ้านเมืองเกิดความวุ่นวายโกลาหล สภาขุนนางเกิดการสั่นคลอนทางอำนาจ แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพอีกาดำจึงขึ้นยึดครองตำแหน่งนี้โดยที่ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน
ดังนั้น ผู้คนจึงเชื่อมั่นว่ากองทัพอีกาดำจะต้องครอบครองความยิ่งใหญ่ไปอีกหลายชั่วอายุคน
และการสังหารทูตประจำกองทัพของพวกเขาก็ไม่ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง
“ก็ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะไม่ขี้ขลาดก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินตอบรับกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงใจและจริงจัง
กล่าวจบ เขาก็หันไปพยักหน้ากับผู้ติดตามของตนเอง
และเริ่มเดินขบวนไปยังคฤหาสน์ฝั่งตรงข้าม
…
ข่าวเรื่องการสังหารจางหรู่แพร่สะพัดออกไป
เขตเทียนหลางซิงเกิดการสั่นสะเทือนอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้คนยังไม่ทันหายตกตะลึงจากข่าวความตายของสวีฮัง ซึ่งเป็นผู้ติดตามคนสนิทของหลินซิงเฉิง ทุกคนก็ต้องมาตกตะลึงกับข่าวความตายของจางหรู่อีกระลอก
ณ ฐานบัญชาการลับของท่านผู้คุมสภาขุนนาง
ที่นี่มีการวางกำลังเวรยามอย่างแน่นหนา
มีการจัดสร้างค่ายอาคมกว่าร้อยชั้น
แม้ผู้คนจะไม่สามารถมองเห็นค่ายอาคมเหล่านั้นได้ด้วยตาเปล่า แต่ตราบใดที่ผู้คนมีพลังในขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไป พวกเขาก็จะสัมผัสได้ถึงพลังกดดันคุกคามจากค่ายอาคมที่อยู่ในฐานบัญชาการแห่งนี้ แม้ว่าตนเองจะอยู่ห่างไกลออกไปหลายสิบลี้ก็ตาม
ขณะนี้ เป็นเวลายามบ่าย อากาศร้อนอบอ้าว
ในห้องโถงใหญ่
ได้ยินเสียงร่ำไห้ดังออกมาจากด้านใน
“ไม่ได้นะ เรื่องนี้จะปล่อยผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด เจ้าจำได้หรือไม่ แม่เจ้าก็ตายตั้งแต่อายุยังน้อย เจ้าเติบโตขึ้นมาโดยอาศัยน้ำนมของป้า ตอนที่เจ้ายังเด็ก ป้าก็คอยโอบอุ้มเจ้าจนถึงอายุสามขวบ…”
หญิงวัยกลางคนผู้สวมใส่อาภรณ์หรูหราและมีใบหน้างดงามยกมือปาดน้ำตาด้วยความโศกเศร้า
นางกัดฟันด้วยความเคียดแค้นขณะร่ำไห้ต่อไป “หลินเป่ยเฉิน ฆาตกรต่ำช้าผู้นั้นถึงกับกล้าฆ่าบุตรชายของข้า เขาฆ่าหลานชายของเจ้าเชียวนะ… เจ้าต้องไปแก้แค้นให้แก่ป้าเดี๋ยวนี้”
บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ค่อนข้างตึงเครียด
นอกจากหญิงวัยกลางคนผู้นี้แล้ว ภายในห้องก็ยังมีผู้คนอยู่อีกหลายคน
ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมสีม่วงนั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ บนศีรษะของเขาสวมใส่มงกุฎทองคำ บนเสื้อคลุมประดับลวดลายมังกรทองระยิบระยับ ซึ่งเป็นสีเดียวกับเส้นผมอันดกหนาของเขา
บุคคลผู้นี้คือฮวาไป๋ ผู้คุมสภาขุนนางคนปัจจุบันของอาณาจักรซือเว่ย
ด้านขวามือของฮวาไป๋นั่งเรียงรายด้วยสามคนสนิทที่เขาเชื่อใจมากที่สุด ซึ่งบุคคลเหล่านั้นประกอบไปด้วยเจียงสือ ลั่วอี้หู และซือเทียนซิง
นอกจากนี้ สองฝั่งของห้องโถงใหญ่ยังมีสาวรับใช้ผู้มีหน้าตางดงามสมบูรณ์แบบยืนอยู่อีกฝั่งละสี่คน
พวกนางมีอายุเท่ากัน มีส่วนสูงเท่ากัน แต่งกายแบบเดียวกัน สวมเครื่องประดับชุดเดียวกัน แต่งเครื่องสำอางชนิดเดียวกัน มีกิริยาวาจาอ่อนน้อมอ่อนหวานไม่แตกต่างกัน…
สาวรับใช้ทั้งแปดนับว่าเป็นหญิงงามที่หาได้ยากยิ่ง
แม้ว่าพวกนางจะมีสถานะเป็นเพียงสาวรับใช้เท่านั้น แต่เสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับที่อยู่บนร่างกายของพวกนางก็มีราคาสูงส่งไม่ใช่น้อย
เพียงปิ่นปักผมชิ้นเดียวก็มีมูลค่าเพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ฆ่ากันตายได้แล้ว
ชุดกระโปรงสีขาวที่ตัดเย็บอย่างประณีตนั้น แม้แต่บรรดาภรรยาน้อยของเหล่าคหบดีใหญ่ในตัวเมืองก็ยังไม่มีปัญญาหามาสวมใส่เลยด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ ข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ภายในห้องโถงใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ตะเกียง พรมปูพื้น หรือภาพวาดบนผนัง ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็มีราคานับหมื่นตำลึงเงินขึ้นไปทั้งสิ้น
แม้แต่พรมเช็ดเท้าก็ยังถักทอด้วยด้ายเงินบริสุทธิ์
สถานที่แห่งนี้จึงมีความหรูหราเป็นอย่างยิ่ง
นี่แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจและความแข็งแกร่งของฮวาไป๋ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
เขามีความร่ำรวยล้นฟ้า
เช่นเดียวกับอำนาจที่อยู่ในมือ
“ท่านป้าอย่าได้เป็นกังวลไปเลย”
ฮวาไป๋ยื่นมือเข้าไปช่วยประคองหญิงวัยกลางคนลุกขึ้นด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ท่านป้าวางใจเถอะ ข้ารู้ข่าวความตายของหลานชายข้าแล้ว ข้าจะต้องแก้แค้นให้แก่เขาอย่างแน่นอน”
หญิงวัยกลางคนแสดงสีหน้าพึงพอใจ ก่อนที่สาวรับใช้จะช่วยประคองนางออกไปจากห้องโถงใหญ่แห่งนี้
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
“นายท่านคิดจะจัดการกับหลินเป่ยเฉินจริง ๆ หรือขอรับ?”
ที่ปรึกษาเจียงสือถามขึ้นมาทันที
ฮวาไป๋ถามกลับไปว่า “เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”
เจียงสือหรี่ตาลงและกล่าวอย่างเชื่องช้า “หลินเป่ยเฉินกำลังสร้างชื่อเสียงและเป็นขวัญใจประชาชน เวลานี้เราอย่าเพิ่งไปมีเรื่องขัดแย้งกับเขาดีกว่าขอรับ หากนายท่านต้องการจะยึดครองอาณาจักรซือเว่ย สิ่งเดียวที่ไม่สมควรทำก็คือการเป็นศัตรูกับขวัญใจประชาชน”
ฮวาไป๋ไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ แต่หันไปถามที่ปรึกษาอีกสองคนว่า “พวกเจ้ามีความคิดเห็นเป็นอย่างไรบ้าง?”
ลั่วอี้หูเป็นสตรีผู้สวมใส่ชุดเสื้อคลุมหนังสัตว์ นางมีอายุประมาณสามสิบปี ใบหน้าอมทุกข์ประดับรอยแผลเป็นจำนวนมาก ดูเหมือนในอดีต สตรีผู้นี้คงจะถูกกระบี่ฟันใส่ใบหน้ามาไม่น้อย รูปลักษณ์ของนางจึงดูน่าขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก
ลั่วอี้หูตอบสั้น ๆ แต่ได้ใจความว่า “พี่เจียงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
ซือเทียนซิงเป็นบุรุษผู้มีดวงตาเสือดาว ปากกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ลักษณะเป็นผู้น่าหวาดกลัวที่ชาวบ้านมักจะเอาไว้ใช้ข่มขู่ลูกหลานยามกลางคืนให้หยุดส่งเสียงร้องไห้
ซือเทียนซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบว่า “บัดนี้ ยังมีกองทัพไร้นายอยู่อีกเป็นจำนวนมาก หากพวกเขาได้รับทราบว่านายท่านยินดีให้อภัยต่อผู้ที่ฆ่าหลานชายของตนเอง พวกเขาก็จะมองว่านายท่านเป็นบุคคลที่มีจิตใจสูงส่งและยินดีมอบโอกาสให้แก่ผู้อื่นเสมอ ในอนาคตข้างหน้า ก็จะต้องมีนายทหารจำนวนมากยินดีเปลี่ยนฝ่ายมารับใช้นายท่านแน่นอนขอรับ”
“ฮ่า ๆๆ”
ฮวาไป๋ปรบมือระเบิดเสียงหัวเราะ
“พวกเจ้ากล่าวได้ถูกใจข้ายิ่งนัก จากข้อมูลที่พวกเราสืบทราบมา หลินเป่ยเฉินมียอดฝีมือที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักราคอยให้ความช่วยเหลือ นับดูดินแดนของเราในขณะนี้ จะมีสักกี่คนที่สามารถบรรลุได้ถึงขั้นนั้น?”
“หากข้าคิดแก้แค้นหลินเป่ยเฉินที่เขาฆ่าหลานชายของข้า พวกเราก็จะกลายเป็นศัตรูกันโดยทันที นั่นจะไม่ทำให้หลินซิงเฉิงหัวเราะเยาะเอาหรือ? ดูอย่างเขาสิ สูญเสียไปถึงเจ็ดเขตแดนสำคัญของตนเอง แต่หลินซิงเฉิงก็ยังไม่กล้าทำอะไรหลินเป่ยเฉิน มิหนำซ้ำ เขายังพยายามหาทางเอาชนะใจหลินเป่ยเฉินอีกด้วย”
สิ่งที่ฮวาไป๋กล่าวออกมาเป็นความจริงทุกประการ
“แล้วนายท่านจะอธิบายต่อแม่เฒ่าอย่างไร?”
ลั่วอี้หูถามออกมาอีกครั้ง
“กล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว คนผู้นี้ข้าให้ความเคารพเสมือนมารดาของตนเองมาโดยตลอด น่าเสียดายที่มารดาแท้ ๆ ของข้าจากไปเร็วเหลือเกิน นี่จึงเป็นความเสียใจเดียวในชีวิตข้า”
น้ำเสียงของฮวาไป๋บอกชัดถึงความเจ็บปวดใจ
เขากล่าวด้วยสีหน้าโศกเศร้าว่า “แต่ท่านป้าของข้า ทุกครั้งที่นางเห็นหน้าข้า นางก็มักจะพูดเสมอว่า ‘มารดาของเจ้าตายเร็วเกินไป’ ซึ่งเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจของข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า… ที่ปรึกษาลั่ว เจ้าช่วยบอกข้าทีเถอะ เจ้าจะทำอย่างไรกับคนที่ชอบทำร้ายจิตใจเจ้าทุกครั้งที่พบหน้าเช่นนั้น?”
ลั่วอี้หูกระซิบตอบว่า “ข้าจะทำให้คนผู้นั้นหายตัวไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”