เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1712 ข้าเป็นคนกตัญญู
ตอนที่ 1,712 ข้าเป็นคนกตัญญู
“แต่นางเป็นท่านป้าของข้านะ”
ฮวาไป๋ถอนหายใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “ข้าเป็นคนกตัญญู จะให้ฆ่าท่านป้าของตนเองได้อย่างไร?”
ลั่วอี้หูไม่พูดคำใดออกมา
ฮวาไป๋กล่าวต่อไปว่า “เรื่องนี้คงต้องฝากเจ้าช่วยดูแลแล้วล่ะ… อย่าให้นางต้องทรมานก่อนตายก็แล้วกัน”
ลั่วอี้หูพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที
“ช้าก่อน”
ฮวาไป๋โพล่งขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนเด็ก ๆ ที่ข้าเกือบอดตาย ข้ารอดชีวิตมาได้เพราะรับประทานน้ำนมของท่านป้า นางเมตตาต่อข้าเหลือเกิน…”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ฮวาไป๋ก็หยุดชะงักและเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังมากขึ้น “คนกตัญญูเช่นข้า หากจะส่งท่านป้าไปสู่โลกหลังความตาย ส่งนางไปคนเดียวท่านป้าคงเหงาแย่ ที่ปรึกษาลั่ว ช่วยส่งท่านลุงไปอยู่เป็นเพื่อนท่านป้าด้วยเถอะ รวมถึงหลาน ๆ คนอื่น ๆ ของข้าด้วยเช่นกัน เอาเป็นว่าผู้คนทั้งตระกูลของท่านป้า เจ้าช่วยส่งไปอยู่เป็นเพื่อนนางให้หมดก็แล้วกัน… ท่านป้าจะได้ไม่เหงาอีกต่อไป”
เมื่อคิดจะกำจัดผู้ใด ก็ต้องถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก
ลั่วอี้หูพยักหน้ารับคำในความเงียบและหมุนกายเดินจากไป
“เฮ้อ ท่านลุงผู้น่าสงสาร”
ฮวาไป๋รำพึงรำพันด้วยสีหน้าเศร้าโศก
น้ำตาแทบไหลออกมาแล้ว
เขากล่าวต่อไปว่า “เมื่อไม่มีตระกูลจาง กองทัพอีกาดำก็จะไร้ผู้ควบคุม ขืนปล่อยไว้เช่นนี้ กองทัพคงต้องตกไปอยู่ในกำมือของคนนอกเป็นแน่แท้ ที่ปรึกษาเจียง เจ้าช่วยไปจัดการเรื่องนี้ด้วยก็แล้วกัน เก็บรวบรวมทรัพย์สินทั้งหมดของกองทัพอีกาดำเอามาเป็นของเราให้ได้ และหากพบเจอผู้คนจากกองทัพเซียนกระบี่ระหว่างทาง ก็บอกพวกเขาด้วยว่าข้าตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้พบเจอกับเซียนกระบี่หลินเป่ยเฉินในงานเลี้ยงล่ากวางแทบแย่แล้ว”
เจียงสือพยักหน้าและลุกขึ้นยืนเดินจากไป
ฮวาไป๋ยกมือปาดคราบน้ำตาไปจากหางตา ก่อนจะหันมามองหน้าซือเทียนซิง ซึ่งเป็นที่ปรึกษาคนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ในห้องโถงใหญ่
“ที่ปรึกษาซือ ท่านรีบจัดการเรื่องราวในงานเลี้ยงล่ากวางให้ดี คำสั่งของข้าไม่มีสิ่งใดซับซ้อน ‘กวาง’ ทุกตัวต้องเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว คนอื่นเอาไปแค่ลูกกวางก็พอแล้ว”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของฮวาไป๋ก็แสดงออกถึงความสุขอันเปี่ยมล้น
…
“ว่าไงนะขอรับ? นายท่านคิดจะฆ่าหลินเป่ยเฉินอย่างนั้นหรือ?”
หูจงเซียนอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง “นายท่านลองคิดให้ดีก่อนเถอะขอรับ หลินเป่ยเฉินมีจอมเทพจักราคอยให้ความช่วยเหลือ แทนที่จะเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย พวกเราแสร้งแกล้งรับหลินเป่ยเฉินเข้ามาเป็นพวก ก่อนจะตลบหลังในภายหลังไม่ดีกว่าหรือ?”
ผู้ติดตามคนสนิทกล่าว
ในฐานะที่ปรึกษาส่วนตัวของหลินซิงเฉิง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หูจงเซียนมีโอกาสได้เสนอความคิดเห็นและช่วยทำให้หลินซิงเฉิงเปลี่ยนแปลงแผนการให้รอบคอบรัดกุมมากขึ้น
บัดนี้ ในอาณาจักรซือเว่ย ไม่มีผู้ใดไม่เคยทราบถึงความน่ากลัวของหลินเป่ยเฉิน
การที่มียอดฝีมือในขั้นจอมเทพจักราคอยหนุนหลัง คือสิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินมีสิทธิ์ในการเข้าร่วมโต๊ะเจรจากับทุกสำนัก
แม้จะยังมีนายทหารระดับสูงอีกหลายคนไม่หลงเชื่อไปกับภาพลักษณ์อันสูงส่งของเซียนกระบี่หลินเป่ยเฉิน แต่ในฐานะที่ปรึกษาของรองผู้คุมสภา หูจงเซียนย่อมมองเห็นถึงความน่ากลัวของเด็กหนุ่มได้อย่างชัดเจน
ในอนาคตข้างหน้า หลินเป่ยเฉินจะต้องเป็นใหญ่เป็นโตในอาณาจักรซือเว่ยอย่างแน่นอน
จึงไม่สมควรไปมีเรื่องขัดแย้งกับคนผู้นี้โดยเด็ดขาด
“นายท่านขอรับ ที่ปรึกษาหูกล่าวได้ถูกต้อง”
“ศัตรูของเราล้วนอยากให้เราเปิดฉากสู้รบกับหลินเป่ยเฉินทั้งสิ้น”
“นายท่านได้โปรดอย่าเพิ่งทำสิ่งใดวู่วาม หากหลินเป่ยเฉินหันไปร่วมมือกับฮวาไป๋ พวกเราก็คงมีปัญหาใหญ่แล้ว”
บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาและที่ปรึกษาคนอื่น ๆ ต่างก็พยายามโน้มน้าวให้หลินซิงเฉิงเปลี่ยนใจ
หลินซิงเฉิงยังคงนั่งนิ่งเงียบอยู่หลังโต๊ะไม้ขนาดใหญ่
เขาสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีดำซึ่งตัดเย็บอย่างประณีต ใบหน้าคมสันหล่อเหลา แม้จะไร้อารมณ์ไปบ้าง แต่ก็เป็นใบหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความสูงส่งและสง่างามได้เป็นอย่างดี
หลินซิงเฉิงถือเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ
ในกลุ่มรองผู้คุมสภาทั้งห้าคนแห่งอาณาจักรซือเว่ย หลินซิงเฉิงขึ้นชื่อในเรื่องของความสง่างาม ความมุ่งมั่น ความองอาจห้าวหาญ ดังนั้น บรรดานายทหารและขุนนางจำนวนมากจึงยกย่องให้หลินซิงเฉิงเป็นหัวหน้ากลุ่มรองผู้คุมสภาทั้งห้าไปโดยปริยาย
แต่บัดนี้ หลินซิงเฉิงกลับมีสีหน้าเรียบเฉย
“ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนใจเด็ดขาด”
หลินซิงเฉิงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง “หลินเป่ยเฉินแย่งชิงเขตแดนทั้งเจ็ดไปจากกำมือของข้า หากสักวันหนึ่งพวกเจ้ามาอยู่ในตำแหน่งเดียวกับข้า พวกเจ้าก็ต้องทำเช่นนี้เหมือนกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม… ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้หลินเป่ยเฉินกับพรรคพวกของมันลอยนวลไปเด็ดขาด”
ถ้อยคำเหล่านี้ดังกังวานในอากาศ
หูจงเซียนและคนอื่น ๆ ไม่กล้าพูดคำใดออกมาอีกแล้ว
พวกเขาตัวสั่นเทา
รู้สึกละอายใจ
ความองอาจห้าวหาญและความมุ่งมั่นเช่นนี้คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเลือกติดตามหลินซิงเฉิงมาตั้งแต่แรกไม่ใช่หรือ?
แล้วพวกเขาจะมีหน้าไปขอร้องให้หลินซิงเฉิงเปลี่ยนใจได้อย่างไร?
“ในเมื่อนายท่านยืนยันที่จะจัดการกับหลินเป่ยเฉิน พวกเราก็ต้องจัดการให้เร็วที่สุดขอรับ และเราจะเปิดโอกาสให้เขาตอบโต้กลับมาไม่ได้เด็ดขาด”
“ใช่ขอรับ พวกเราต้องลงมือให้เร็วไว”
“กราบเรียนนายท่าน ข้าน้อยคิดว่าในขณะที่เราจัดการกับหลินเป่ยเฉินนั้น เราก็สมควรจัดการกับผู้ติดตามของเขาด้วยเช่นกัน”
“ที่ปรึกษาหูกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ในเมื่อพวกเราคิดกำจัดเขา เราก็ต้องกำจัดอย่างถอนรากถอนโคน เมื่อเราสามารถทำลายกองทัพเซียนกระบี่ได้สำเร็จ เมื่อหลินเป่ยเฉินถึงแก่ความตายเรียบร้อย อาณาจักรซือเว่ยก็จะตกเป็นของพวกเรา ไม่มีผู้ใดจะมาเป็นขวากหนามของพวกเราได้อีกต่อไป”
“ทุกท่านอย่าลืมว่าเราต้องหาวิธีรับมือกับยอดฝีมือระดับจอมเทพจักราที่คอยหนุนหลังหลินเป่ยเฉินอยู่ด้วย หากหลินเป่ยเฉินไม่ได้รับการช่วยเหลือจากจอมเทพจักรา แผนการทุกอย่างของพวกเราก็คงง่ายดายขึ้นแล้ว”
“และก่อนที่จะถึงตอนนั้น เราต้องทำให้สภาพจิตใจของหลินเป่ยเฉินย่ำแย่ยับเยิน เขาจะได้ไม่มีจิตใจในการต่อสู้อีกต่อไป”
ในสำนักงานของท่านรองผู้คุมสภาขุนนาง หูจงเซียนและกลุ่มที่ปรึกษาต่างก็เริ่มระดมสมองเสนอความคิดเห็นของตนเองออกมา
ในที่สุด แผนการของพวกเขาก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
สุดท้าย ปัญหาเดียวที่เหลืออยู่ก็คือพวกเขาจะจัดการกับยอดฝีมือขั้นจอมเทพจักราที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังหลินเป่ยเฉินอย่างไรดี?
หากรับมือกับยอดฝีมือผู้นั้นไม่ได้ แผนการทุกอย่างก็ไร้ความหมาย
ความแข็งแกร่งของยอดฝีมือในขั้นจอมเทพจักรา คือสิ่งที่พร้อมทำลายแผนการของพวกเขาได้เสมอ
“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”
ในที่สุด ใบหน้าของหลินซิงเฉิงก็แสดงรอยยิ้มออกมาแล้ว เขาลุกขึ้นยืนด้วยความสงบสุขุมและกล่าวเสียงดังอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “เพียงเท่านี้ก็ต้องรบกวนพวกเจ้าคอยวางแผนการให้ข้ามามากแล้ว เรื่องสำคัญเช่นนี้ เดี๋ยวข้าจะจัดการให้เอง พวกเจ้าวางใจได้”
ทุกคนล้วนประหลาดใจและมีความสุข
ที่แท้ท่านรองผู้คุมสภาหลินซิงเฉิงก็มีแผนการรับมือกับจอมเทพจักราอยู่แล้ว
หากเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะจัดการกับหลินเป่ยเฉินได้อย่างไม่มีปัญหาเท่านั้น แผนการที่เคยวางเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็คงไม่มีปัญหาแล้วกระมัง?
“ข้าน้อยจะทำให้ดีที่สุดขอรับ”
ทุกคนพร้อมใจกันประสานเสียงด้วยความตื่นเต้น