เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1749 เบาะแส
ตอนที่ 1,749 เบาะแส
แต่เมื่อเขาเห็นเด็กหนุ่มที่ร่ำไห้ก่อนหน้านี้ถูกกระชากลากผมฉุดลากตัวไปอย่างโหดร้าย คราบเลือดลากเป็นทางยาวอยู่บนพื้นดิน ในที่สุด ปี๋อวิ่นเถาก็ทนไม่ไหวอยู่ดี
เขาสะบัดมือของเสี่ยวไป๋ออกไป
“หยุดนะ”
ปี๋อวิ่นเถากระโดดออกไปทิ้งตัวยืนขวางทางพวกของเมียวอวี้พร้อมกับกล่าวว่า “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว พวกท่านจะพาตัวผู้บาดเจ็บไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
“หืม?”
เมียวอวี้หยุดชะงักและระเบิดเสียงหัวเราะเยาะทันที “ปี๋อวิ่นเถา ข้ารู้จักเจ้าและเจ้าก็รู้จักข้า ฮ่า ๆๆ นี่มันอะไรกัน? โดนลดตำแหน่งเพียงครั้งเดียว เจ้าไม่รู้แล้วหรือว่าพวกเราทำงานกันอย่างไร? ไม่ทราบว่าเจ้าอยากตายจริง ๆ ใช่หรือไม่?”
ปี๋อวิ่นเถาเอื้อมมือจับด้ามกระบี่ของตนเองและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “หากพวกท่านจะพาตัวผู้รอดชีวิตไป ก็เอาสาส์นมอบหมายอำนาจจากหน่วยสืบสวนพิเศษมาให้ข้าดูเสียก่อน มิเช่นนั้น… ก็ห้ามพาผู้รอดชีวิตไปไหนเด็ดขาด”
“นี่เจ้ากำลังคิดขัดคำสั่งข้าใช่หรือไม่?”
เมียวอวี้หัวเราะในลำคอ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ออกคำสั่งในครั้งนี้เป็นผู้ใด?”
ปี๋อวิ่นเถาตอบเสียงเรียบว่า “ข้าไม่อยากรู้”
“เจ้า…”
เมียวอวี้ชักสีหน้าด้วยความเดือดดาลใจ “เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้วหรือไร?”
บรรดาผู้ติดตามรอบกายเมียวอวี้ชักกระบี่ออกมาทันที
เสี่ยวไป๋เห็นสถานการณ์ไม่ถูกต้อง จึงได้แต่ถอนหายใจและลอบสบถก่นด่าบรรพบุรุษของปี๋อวิ่นเถาอยู่ในใจ แต่เขาก็ตัดสินใจได้โดยไม่ลังเลเช่นกัน เพียงพริบตาต่อมา เสี่ยวไป๋ก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายปี๋อวิ่นเถาและพร้อมที่จะต่อสู้ไปด้วยกัน
ปี๋อวิ่นเถากระซิบออกมาว่า “เก่งจริงพวกท่านก็เข้ามา”
ด้ามกระบี่ของเขาถูกดึงออกมาจากฝักเพียงเล็กน้อย
แต่ประกายกระบี่กลับสาดส่องเย็นชาราวกับม่านน้ำตก
คลื่นพลังกดดันแผ่กระจายไปรอบบริเวณ
มวลอากาศบีบตัวปั่นป่วนรัดแน่น
สีหน้าของเมียวอวี้แปรเปลี่ยนไป
เขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปี๋อวิ่นเถา
อันที่จริง นับดูผู้คนในหน่วยสืบสวนพิเศษทั้งหมด แทบไม่มีผู้ใดสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของปี๋อวิ่นเถาได้เลยด้วยซ้ำ
นี่จึงเป็นสาเหตุที่องค์จักรพรรดิองค์ก่อนประเมินค่าปี๋อวิ่นเถาไว้สูงส่งถึงเพียงนั้น… และยกย่องให้ปี๋อวิ่นเถาเป็นหนึ่งในยอดอัจฉริยะแห่งยุค
“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก?”
ปี๋อวิ่นเถากดด้ามจับกระบี่กลับคืนฝักด้วยสีหน้าขึงขัง
“เจ้าตายแน่”
ในที่สุด เมียวอวี้ก็ยกมือออกคำสั่งให้พรรคพวกของตนเองล่าถอย “ทั้งเจ้าและลูกสมุนของเจ้า ครอบครัวของเจ้า สหายของเจ้า ทุกคนจะต้องตายกันทั้งหมด แล้วเจ้าจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจของเจ้าในวันนี้”
ปี๋อวิ่นเถาไม่พูดคำใด
จากนั้นกลุ่มเจ้าหน้าที่จากหน่วยสืบสวนพิเศษก็ล่าถอยกลับไปอย่างไม่เต็มใจ
ปี๋อวิ่นเถาหันกลับมามองหน้าเสี่ยวไป๋ ยิ้มอย่างขอโทษและกล่าวว่า “ข้าเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยสืบสวนพิเศษ องค์จักรพรรดิ์ก่อตั้งหน่วยสืบสวนพิเศษขึ้นมาเพื่อช่วยสืบสวนและไขคดีให้แก่ผู้ที่ได้รับมลทินอย่างไม่ยุติธรรม เช่นเดียวกับการลงโทษผู้กระทำผิดโดยไม่มีข้อยกเว้น ก่อนหน้านี้ องค์จักรพรรดิดูแลข้าเป็นอย่างดี ตราบใดที่ข้ายังสวมใส่ชุดเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่แห่งหน่วยสืบสวนพิเศษอยู่เช่นนี้ ข้าจะยอมก้มหัวให้กับความอยุติธรรมไม่ได้เป็นอันขาด…”
เสี่ยวไป๋โบกมือตัดบทว่า “ช่างเถอะ ข้ารู้ตั้งนานแล้ว… เฮ้อ ก็ใครใช้ท่านจะกลายมาเป็นพี่เขยของข้าล่ะ ข้าก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ยอมติดตามท่านไปจนวันตายเท่านั้น”
ปี๋อวิ่นเถาตบหัวไหล่เสี่ยวไป๋หนัก ๆ
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายในคุกใต้ดินเมื่อวันนั้น ปี๋อวิ่นเถาก็ได้แต่ถามตนเองอยู่เสมอว่าการกระทำของหลินเป่ยเฉินคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือไม่
ปี๋อวิ่นเถารู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่ผิดหลักการ
แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
ทันใดนั้น มือของเขาก็กุมด้ามจับกระบี่แนบแน่นอีกครั้ง
ปี๋อวิ่นเถากำชับกับตนเองว่าเขาตัดสินใจไม่ผิด
บ้านเมืองจำเป็นต้องมีกฎหมาย!
ผู้คนจำเป็นต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย!!
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม
“เร็วเข้า ส่งผู้บาดเจ็บทั้งหมดไปที่สำนักพยาบาลได้แล้ว”
ปี๋อวิ่นเถาออกคำสั่งเสียงดังด้วยความกระตือรือร้น
และเขาก็เป็นผู้ควบคุมการส่งตัวผู้รอดชีวิตนับร้อยคนไปยังสำนักพยาบาลประจำสภาขุนนางด้วยตนเอง
ตอนแรก รองผู้คุมสภาสวีฉานหลี่ก็ไม่อยากจะรับตัวผู้บาดเจ็บเหล่านี้เอาไว้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการตั้งคำถามของปี๋อวิ่นเถาและได้รับแรงกดดันจากฝูงชน ในที่สุด สำนักพยาบาลประจำสภาขุนนางก็ต้องรับตัวผู้บาดเจ็บทั้งหมดเอาไว้เพื่อทำการรักษาแต่โดยดี
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ผู้บาดเจ็บทั้งหมดได้รับการรักษาแล้ว
“หืม? ไม่นะ ทำไมถึงมีคนหายไปตั้งสามคน?”
เมื่ออ่านรายชื่อผู้ที่เข้ารับการรักษา เสี่ยวไป๋ก็แสดงสีหน้าสงสัยออกมาทันที เมื่อตรวจสอบกับรายชื่อผู้บาดเจ็บก่อนหน้านี้ เขาก็ได้รับคำยืนยันว่ามีคนหายไปสามคนจริง ๆ
“นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของพวกเรา…” เจ้าหน้าที่ประจำสำนักพยาบาลรีบแก้ต่างให้ตนเองโดยเร็ว
ปี๋อวิ่นเถานำรายชื่อมาตรวจสอบดูอย่างเคร่งเครียดและก็ยืนยันการค้นพบของเสี่ยวไป๋
มีผู้รอดชีวิตหายตัวไปสามคน
เขาจ้องมองรายชื่ออย่างใช้ความคิด
ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงเอะอะวุ่นวายตามมาด้วยเสียงกรีดร้องดังขึ้นในสำนักพยาบาล
“ช่วยด้วย! มีกลุ่มคนสวมใส่หน้ากากไม่ทราบที่มาได้ตกตายอยู่หน้าห้องพยาบาลเป็นจำนวนนับสิบคนแล้ว…” หมอยาที่กำลังปฏิบัติงานส่งเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนก
…
“นายน้อยขอรับ จักรพรรดิองค์ใหม่ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาฉบับแรกออกมาแล้ว”
หวังจงยิ้มและรายงานว่า “ในอีกสองวันหลังจากนี้ ณ ตำหนักหมาป่าในวังหลวง งานเลี้ยงล่ากวางจะจัดขึ้นที่นั่น และองค์จักรพรรดิองค์ใหม่จะแสดงตัวต่อหน้าผู้เข้าร่วมงาน ผู้คนจากกองทัพเซียนกระบี่ก็ได้รับเชิญเช่นกัน นายท่านจะให้พวกเราติดตามไปกี่คนดีขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินพยักเพยิดหน้าให้แก่พ่อบ้านชรา “เจ้าจัดการเองก็แล้วกัน”
ความคิดและสมาธิทั้งหมดของหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ทุ่มเทอยู่ที่แผ่นดินตงเต้า
เขาเดินทางไปกลับที่นั่นวันละหลายครั้ง
แอปพลิเคชันต่าง ๆ ในโทรศัพท์มือถือยังคงทำการอัปเดตตัวเองต่อไป
“นายน้อย เมืองอิ่นเฉินส่งข่าวกลับมาแล้วขอรับ ปรากฏว่าท่านผู้คุมสภาฮวาไป๋ได้ส่งกองทัพมาช่วยเหลือพวกเราจัดการกองทัพของศัตรูหมดสิ้น มิหนำซ้ำ เขายังถอนกำลังออกไปจากพื้นที่การปกครองของกองทัพเซียนกระบี่อีกด้วย…”
หวังจงรายงานอีกครั้ง
“โฮะ ๆ น่าสนใจดีนี่นา”
หลินเป่ยเฉินว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้คุมสภาฮวาไป๋ก็เพิ่งส่งคนมามอบของขวัญเพื่อผูกมิตรกับพวกเราไม่ใช่หรือ?”
“ใช่แล้วขอรับนายน้อย”
หวังจงยิ้มแย้มต่อไป “บ่าวได้จัดการรับของขวัญแทนนายน้อยเรียบร้อยแล้ว”
หลินเป่ยเฉินกล่าวขึ้นทันทีว่า “เจ้าบอกว่าจะนำของขวัญทั้งหมดไปเปลี่ยนเป็นเงินสดไม่ใช่หรือ? บัดนี้ เงินอยู่ที่ใด?”
หวังจงรีบนำแผ่นป้ายทองคำออกมาประคองส่งมอบให้ด้วยสองมือ “นี่คือป้ายบรรจุเงินสดจากสำนักฝากเงินเถียนเถียนขอรับ ในนี้บรรจุเงินสดอยู่ทั้งสิ้นเป็นจำนวนห้าแสนตำลึงเงิน”
หลินเป่ยเฉินรับป้ายทองคำมาดูและถามด้วยความสงสัย “เจ้าคงไม่ได้แอบยักยอกเงินบางส่วนเอาไว้เองหรอกกระมัง?”
หวังจงรีบส่ายศีรษะเร็วไว “นายน้อย บ่าวดูแลนายน้อยไม่ต่างจากดูแลบุตรชายของตนเอง มีบิดาที่ไหนบ้างยักยอกเงินของบุตรชายล่ะขอรับ…”
พลั่ก!
หวังจงลอยกระเด็นออกไปทันที
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา ชายชราก็วิ่งกลับเข้ามาด้วยสีหน้าปราบปลื้มใจ “ขอบคุณนายน้อยสำหรับความเมตตา…”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว
ทันใดนั้น ดูเหมือนหวังจงจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงด้วยสิขอรับ มีบางอย่างที่นายน้อยอาจสนใจ เมื่อคืนนี้ เกิดเหตุไฟไหม้ในย่านชุมชนแออัดในเขตพื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเทียนหลางซิง มีผู้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก”
“บ่าวให้คนไปสืบหาข้อมูลดูแล้ว ปรากฏว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์นักปรุงยาเฉินปี้หยางที่หายตัวไปขอรับ มีคนค้นพบเบาะแสว่าอาจารย์เฉินซ่อนตัวอยู่ในชุมชนแออัดแห่งนี้ แต่ไม่ว่าหาอย่างไรก็หาตัวไม่เจอ สุดท้ายพวกเขาจึงได้วางเพลิงเพื่อบีบบังคับให้อาจารย์เฉินหลบหนีออกมา…”