เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1759 ช่วยทำความเข้าใจ
ตอนที่ 1,759 ช่วยทำความเข้าใจ
ปี๋อวิ่นเถาจ้องมองหลี่เถียนซิงด้วยสีหน้าเรียบเฉยและกล่าวว่า “ใต้เท้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยหรือ?”
“หากเจ้าอยากจะก่อกวน ก็สมควรรู้จักกาละเทศะเสียบ้าง”
หลี่เถียนซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอำนาจที่มีอยู่เหนือกว่า “ในฐานะผู้บังคับบัญชาหน่วยสืบสวนพิเศษ ข้าขอสั่งให้เจ้าทิ้งกระบี่และออกไปรอรับการลงโทษที่ด้านนอกเดี๋ยวนี้”
ปี๋อวิ่นเถายิ้มออกมาเล็กน้อย “หากข้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งล่ะ?”
หลี่เถียนซิงชักสีหน้าด้วยความเดือดดาลใจมากยิ่งขึ้น “เจ้าคิดจะกบฏอย่างนั้นหรือ?”
ปี๋อวิ่นเถาระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความเย้ยหยัน “กบฏ? เปล่าเลย ข้าเพียงมาถามหาความยุติธรรม หากใต้เท้ามอบให้ข้าไม่ได้ ข้าก็คงต้องตามหาความยุติธรรมด้วยตนเอง”
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินส่งเสียงแทรกขึ้นว่า “ที่นี่มียอดฝีมืออยู่มากมาย หลายคนล้วนมีพลังแข็งแกร่งมากกว่าท่าน ไม่ทราบว่าท่านอยากจะกระทำเช่นนี้จริง ๆ หรือ?”
ปี๋อวิ่นเถาหันกลับมาจ้องมองหลินเป่ยเฉิน
ความผิดหวังปรากฏขึ้นในแววตาของเขาเล็กน้อย
“บุรุษผู้สูญเสียหญิงอันเป็นที่รัก ย่อมสามารถกระทำได้ทุกเรื่องราว”
หลังพูดประโยคนี้จบลง ปี๋อวิ่นเถาก็ตัดสินใจเด็ดขาด เขาหมุนตัวตวัดกระบี่ในมือจี้แทงใส่สวีฉานหลี่ซึ่งนั่งอยู่ในกลุ่มรองผู้คุมสภา
“บังอาจนัก!”
“ชั่วร้ายเกินไปแล้ว!”
“หยุดมันให้ได้!”
ในท้องพระโรงเกิดเสียงตะโกนวุ่นวาย
เงาคนเคลื่อนไหววูบวาบ
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
เสียงอาวุธปะทะกันดังสนั่น
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ตามมาด้วยเสียงการระเบิดพลังอย่างรุนแรง
เงาคนเปลี่ยนแปลงตำแหน่งในขณะที่การต่อสู้ดำเนินต่อไป
ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ
เงาคนก็แยกออกจากกัน
ปี๋อวิ่นเถาทิ้งตัวกลับลงมาบนพื้นหิน ก่อนจะเซถลาไปสามก้าว
ผู้ที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาประกอบไปด้วยสวีหม่าน แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพจางจุน ซูอวี้ แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพอวี้อวี่ และเฉินตั้วอี๋ แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเขี้ยวมังกร
แม้ระดับแม่ทัพใหญ่ถึงสามคนผนึกกำลังร่วมกัน พวกเขาก็ยังไม่สามารถสังหารปี๋อวิ่นเถาได้อยู่ดี
ในทางกลับกัน ร่างกายของท่านแม่ทัพใหญ่ทั้งสามต่างก็มีบาดแผลฉกรรจ์ โลหิตไหลทะลัก สภาพน่าอเนจอนาถใจ
ผลการต่อสู้ทำให้ผู้คนในท้องพระโรงตกตะลึง
ปี๋อวิ่นเถาแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้
ปี๋อวิ่นเถาเป็นผู้ที่ฝึกวิชาตามสายเลือดผู้แปรธาตุ เขานำพลังของตนเองเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กระบี่ในมือ ซึ่งบัดนี้กำลังยกขึ้นชี้ไปที่ใบหน้าของสวีฉานหลี่…
“นางสารเลว เจ้าสังหารบิดามารดาของข้า เจ้าสังหารคนรักของข้า เจ้าสังหารครอบครัวของข้าทั้งหมด ข้าขอถามเจ้า เจ้ากล้ายอมรับผิดหรือไม่?”
ปี๋อวิ่นเถาถามด้วยน้ำเสียงดุดัน
สายตาของผู้คนในท้องพระโรงจ้องมองตรงไปที่สวีฉานหลี่ด้วยความประหลาดใจ
เรื่องราวนี้เกี่ยวข้องกับรองผู้คุมสภาสวีด้วยหรือ?
“หึ ๆ…”
สวีฉานหลี่หัวเราะในลำคอ
ใบหน้าที่งดงามของนางแสดงออกถึงความเมินเฉย เสียงหัวเราะเหยียดหยาม ไม่ต่างจากกำลังขบขันสุนัขข้างถนนตัวหนึ่ง “หากเป็นฝีมือของข้าเอง แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?”
“ข้าจะฆ่าเจ้า”
ปี๋อวิ่นเถายกกระบี่ขึ้นเดินเข้าไปหาอย่างไม่รีบร้อน
พลัน กลุ่มสามแม่ทัพใหญ่รีบถลันกายออกมาขวางหน้าอีกครั้ง
“ถอยไป”
สวีฉานหลี่ลุกขึ้นและเดินลงมายืนอยู่บนขั้นบันไดทองคำ ก่อนกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง”
สวีหม่าน ซูอวี้และเฉินตั้วอี๋ต่างก็รีบถอยหลังไปทันที
“ตายซะเถอะ”
ปี๋อวิ่นเถาตวัดกระบี่ในมือเป็นลำแสงสีเขียว คมกระบี่พุ่งไปที่ลำคอของสวีฉานหลี่
ผู้คนที่กำลังโกรธแค้นย่อมลงมือด้วยความอำมหิต
สวีฉานหลี่หัวเราะในลำคอ ยกมือขึ้นและกระแทกฝ่ามือออกมาข้างหน้า
ฝ่ามือของนางขาวเนียนไร้ตำหนิ
ได้ยินเสียงดังเปรี้ยง แล้วมวลอากาศก็ระเบิดตัวอย่างรุนแรง
ทันใดนั้น หลายคนรู้สึกถูกบีบรัดจนหายใจไม่ออก
“ฟู่!”
กระบี่แตกสลาย ปี๋อวิ่นเถากระอักเลือดออกมาจากปากขณะที่ตัวคนลอยกระเด็นออกไป
ร่างของเขากระแทกพื้นและไถลไปอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่ทราบเลยว่ามีโต๊ะและเก้าอี้กี่ตัวที่ต้องพังทลายลงไป กว่าที่ร่างของปี๋อวิ่นเถาจะหยุดนิ่งอีกครั้ง
เขาพยายามจะยันกายลุกขึ้นมา โลหิตไหลทะลักออกปากและจมูก แต่สุดท้ายก็ลุกไม่ขึ้นอยู่ดี
“ย้ากกก...”
ปี๋อวิ่นเถาส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับสัตว์ร้ายอยู่บนพื้นหิน
ความแตกต่างระหว่างขั้นพลังยังมีมากเกินไป
ในท้องพระโรง บรรดาขุนนางและแม่ทัพใหญ่ต่างก็ถอนหายใจด้วยความรู้สึกเวทนาโชคชะตาของปี๋อวิ่นเถา
อันที่จริง นี่ไม่ใช่ความผิดของปี๋อวิ่นเถา
แต่เป็นเพราะโลกใบนี้มันโหดร้ายมากเกินไป
ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าอาณาจักรซือเว่ยกลายเป็นดินแดนแห่งความป่าเถื่อนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ความรุ่งเรืองในอดีตล่มสลายไป นี่คือยุคสมัยแห่งความโหดร้าย ผู้คนสูญเสียจิตสำนึก เหล่าขุนนางลุ่มหลงในเงินทองและอำนาจ ยิ่งทำให้ชาวบ้านตาดำ ๆ ตกระกำลำบากอย่างหนักหนาสาหัส…
ยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองอาจจะกลับคืนมาอีกครั้ง
แต่ประชาชนก็ต้องรอให้ผ่านพ้นยุคสมัยแห่งความโหดร้ายนี้ไปให้ได้เสียก่อน
ซึ่งอาจจะกินระยะเวลานับร้อยปี
“เรื่องราวของเหล่าผู้กล้าที่ลุกขึ้นสู้กับผู้มีอำนาจในตำนานนั้น แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงนิยายประโลมโลก... ต่อให้เจ้าเป็นอัจฉริยะมือกระบี่ ก็ยังห่างไกลที่จะมาสู้กับข้าได้อยู่ดี”
สวีฉานหลี่เดินเข้าไปก้มหน้ามองปี๋อวิ่นเถาด้วยสายตาดูถูกดูแคลนไม่ต่างจากกำลังจ้องมองสุนัขใกล้ตายตัวหนึ่ง
ปี๋อวิ่นเถาเบิกตาโต ระเบิดเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น พยายามจะลุกขึ้นยืน แต่สุดท้ายก็ล้มลงไปนอนจมกองเลือดของตนเองอีกครั้ง
“ฆ่ามันซะ”
สวีฉานหลี่ไม่สนใจที่จะเล่นสนุกอีกแล้ว
นางหมุนตัวเดินกลับออกมา
วูบ!
สวีหม่านตวัดกระบี่ในมือ
ลำแสงกระบี่พุ่งตรงไปที่ปี๋อวิ่นเถา
“ย้ากกกก...”
ปี๋อวิ่นเถาระเบิดเสียงคำราม เบิกตาโตเพื่อจ้องมองลำแสงกระบี่ที่พุ่งเข้ามา
ฟิ้ว!
เสียงแปลกประหลาดดังขึ้นอีกครั้ง
ลำแสงกระบี่ที่กำลังจะเข้าถึงตัวปี๋อวิ่นเถาพลันถูกสลายหายไป
นี่คือการโจมตีด้วยวิชาปราณกระบี่คงกระพันใช่หรือไม่?
สวีหม่านหัวใจเต้นรัว และรีบยกมือขึ้นจับศีรษะของตนเอง
ศีรษะของเขายังอยู่ดี
ไม่ได้ระเบิดหายไปไหน
สวีหม่านหันหน้ามองไปที่หลินเป่ยเฉินซึ่งยืนอยู่บนขั้นบันไดทองคำราวกับเป็นวิญญาณตนหนึ่ง
บัดนี้ ทุกสายตาหันไปจับจ้องมองที่หลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
“ข้านึกได้พอดีว่ามีเรื่องสำคัญบางประการ”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นและกล่าวด้วยน้ำเสียงยานคาง “ข้ามีคัมภีร์เล่มหนึ่งชื่อว่าคัมภีร์กระบี่สยบฟ้า หลังจากที่ข้าได้คัมภีร์นี้มาแล้ว ข้าก็ไม่เคยเข้าใจเนื้อหาของมันเลย… ปี๋อวิ่นเถา ในเมื่อท่านเคยได้รับการยกย่องให้เป็นถึงยอดมือกระบี่อัจฉริยะแห่งเมืองเทียนหลางซิง ท่านช่วยทำความเข้าใจต่อคัมภีร์เล่มนี้แทนข้าหน่อยได้หรือไม่?”