เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1805 ข่าวดีกับข่าวร้าย
ตอนที่ 1,805 ข่าวดีกับข่าวร้าย
หนึ่งก้านธูปให้หลัง
จวนตระกูลหลิน
ห้องโถงใหญ่สำหรับจัดการประชุม
ฉู่เหิน ฉุยเฮาเฟิงและคนอื่น ๆ ที่ฟื้นคืนชีพได้กลับมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
การประชุมอย่างเป็นทางการเริ่มต้นขึ้น
“ครั้งนี้ ข้ามาที่นี่เพื่อพาทุกคนไปที่สุสานสวนดอกไม้ในเส้นทางดาราจักร...”
หลินเป่ยเฉินบอกเล่าถึงสถานการณ์ทุกอย่างให้ฟังและกล่าวต่อ “เมื่อได้รับการทดสอบสายเลือดที่สุสานสวนดอกไม้แล้ว ทุกคนต้องฝึกวิชาเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตนเองสำหรับเข้าร่วมกับกองทัพเซียนกระบี่ เมื่อได้อยู่ในสุสานสวนดอกไม้แห่งนั้น ข้าก็คิดว่าทุกคนน่าจะสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว”
“ครั้งนี้ พวกเราต้องช่วยเหลือกันเพื่อเสริมสร้างให้กองทัพเซียนกระบี่ยิ่งใหญ่มากขึ้นและแข็งแกร่งมากขึ้น และเมื่อถึงตอนนั้น ผู้คนในเส้นทางดาราจักรก็จะไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรกับพวกเราอีกแล้ว ฮ่า ๆๆ”
ผู้รับฟังรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยกับคำพูดของหลินเป่ยเฉิน
ในที่สุด พวกเขาก็จะได้เดินทางไปสู่โลกใบใหม่แล้วสินะ?
ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ ยังจะมีสิ่งใดดียิ่งกว่าการได้เดินทางสู่โลกใบใหม่ เพื่อที่ตนเองจะได้แข็งแกร่งมากขึ้นอีก?
เพียงเหตุผลนี้ข้อเดียว ก็พอแล้วที่จะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ในแผ่นดินตงเต้าบ้าคลั่ง
“นายท่านจะให้พวกเราไปอยู่ในสุสานหรือเจ้าคะ?”
เฉียนเหมยส่งเสียงถามขึ้นมาหนึ่งประโยค
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าด้วยความพิศวง
เฉียนเจินรับหน้าที่อธิบายต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “สุสานสวนดอกไม้ที่นายท่านเอ่ยถึง มันเป็นสถานที่สำหรับคนตายไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
อ้อ เรื่องนี้…
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงต้องเสียเวลาอธิบายอีกพักใหญ่ว่าสุสานสวนดอกไม้ที่อยู่ในสุสานกษัตริย์อีกทีหนึ่งนั้นเป็นสถานที่อย่างไรกันแน่
สุดท้าย เมื่อหลินเป่ยเฉินอธิบายจนเหนื่อยและหันมาเห็นว่าเซียวปิงกำลังนั่งรับประทานไส้กรอกอย่างสบายอารมณ์ เขาจึงตบศีรษะน้องชายร่วมสาบานแก้เหนื่อยไปหนึ่งที
เพียะ!
ทุกคนส่งเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน
นี่คือแผนการที่พวกเขาเคยคุยกันไว้ล่วงหน้าแล้ว
เพราะฉะนั้น พวกของฉุยเฮาเฟิงและคนอื่น ๆ จึงสามารถออกเดินทางได้เลยทันที
บัดนี้ เมืองหยุนเมิ่งอยู่ในความเป็นระบบระเบียบ
ต่อให้ไม่มีพวกเขาคอยกำกับดูแล ระบบโครงสร้างของการบริหารบ้านเมืองก็จะไม่พังทลายลง
“ทุกคนกลับบ้านไปเตรียมตัวให้พร้อม พวกเราจะมารวมตัวกันที่นี่ในอีกหนึ่งชั่วยาม”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนปรบมือเสียงดัง “ขอยุติการประชุมแต่เพียงเท่านี้”
หืม?
ยังต้องรออีกหนึ่งชั่วยามอย่างนั้นหรือ?
ทุกคนรู้สึกสับสนมึนงง แต่ก็รีบปฏิบัติตามคำสั่ง เพราะพวกเขามั่นใจว่าหลินเป่ยเฉินต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถบอกออกมาได้
เมื่อเดินออกมาจากจวนตระกูลหลิน หลินเป่ยเฉินก็เปิดประตูมิติเดินทางไปสู่ดินแดนทวยเทพ
ในพื้นที่เขตสาม คฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝู
หลินเป่ยเฉินเดินทางมาหาแม่นางชิงเล่ย
วงแหวนอันธการยังคงลอยอยู่เหนือศีรษะของนาง
ชิงเล่ยยังคงนั่งขัดสมาธิลอยตัวอยู่กลางอากาศ ไม่ต่างจากเจ้าหญิงนิทรา
“ข้ามาหาเจ้าแล้ว”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าชิงเล่ย จ้องมองนางด้วยแววตาสงสารและเวทนา
ในชีวิตของการเดินทางทะลุมิติของหลินเป่ยเฉิน เขาได้พบเจอกับหญิงงามมามากมาย
พวกนางต่างก็มีพื้นเพและตัวตนแตกต่างกันไป บางคนยังคงเยาว์วัย บางคนก็เติบโตเป็นดอกไม้งามที่บานสะพรั่ง บางคนก็มีเสน่ห์อย่างอ่อนหวาน บางคนก็มีความดุดันเผ็ดร้อน บางคนนิ่งเงียบและเขินอาย บางคนก็สนุกสนานร่าเริงแจ่มใส…
สตรีเหล่านั้นต่างก็เสียสละเพื่อหลินเป่ยเฉินโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
ในกลุ่มหญิงงามเหล่านั้น มีหนึ่งคนที่ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณนางมากที่สุดและคนคนนั้นก็คือแม่นางชิงเล่ย
บางทีอาจเป็นเพราะนางไม่เคยปฏิเสธคำขอร้องของหลินเป่ยเฉินและนางก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้หลินเป่ยเฉินมีความสุข โดยความปรารถนาเดียวของชิงเล่ย ก็คือการทำให้บุตรสาวมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินคิดว่าชิงเล่ยไม่เคยห่วงความปลอดภัยของตัวนางเองเลยด้วยซ้ำ
แม้แต่ในภาวะวิกฤตของยามเกิดสงคราม หลินเป่ยเฉินก็ยังนึกถึงสตรีผู้นี้อยู่ในใจเสมอ
และด้วยความที่นางอุทิศตนเพื่อสร้างค่ายอาคมหยุดยั้งการเวลา นั่นจึงทำให้หลินเป่ยเฉินมีโอกาสได้ช่วยชุบชีวิตทุกคนกลับคืนมาจากความตาย
มิเช่นนั้น หากกาลเวลาไม่ได้หยุดลง ทุกอย่างก็คงเลวร้ายเกินแก้ไข
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
“เมื่อข้าสามารถช่วยชุบชีวิตทุกคนและแก้ไขปัญหาในอาณาจักรซือเว่ยได้สำเร็จ เจ้าก็จะไม่ต้องเหนื่อยอีกต่อไป”
“เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะอยู่กับเจ้าและใช้ชีวิตเช่นสามัญชนธรรมดา”
“ชิงเล่ย ขอบคุณเจ้ามากนะ”
เขาจูบหน้าผากของชิงเล่ยด้วยความนุ่มนวล
หลังจากนั้น เขาก็จ้องมองไปที่อันอันและเด็กน้อยคนอื่น ๆ ซึ่งยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า
เด็กน้อยเหล่านี้ต่างก็มีที่มาที่ไปแตกต่างกัน
แต่บัดนี้ ที่นี่คือบ้านของทุกคน
หลินเป่ยเฉินนั่งอยู่ที่นั่นในความเงียบพักใหญ่ ก่อนที่เขาจะตัดใจจากมาในที่สุด
…
อาณาจักรซือเว่ย
สุสานกษัตริย์
ฉู่เหิน หลิงจุนเซวียน หลิงไท่ซวี เฉียนเหมย เฉียนเจินและเยว่หงเซียงต่างก็พากันนั่งขัดสมาธิหลับตาหลอมรวมพลังอยู่ในสุสานสวนดอกไม้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลินเป่ยเฉินมองผลการทดสอบสายเลือดของทุกคนด้วยความตกตะลึง
“หลิงจุนเซวียนกับหลิงไท่ซวีมีสายเลือดขั้นกลาง แต่อาจารย์ฉู่มีสายเลือดขั้นสูงสุดเนี่ยนะ?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ ว่าที่ผู้คนจากแผ่นดินตงเต้าซึ่งเดินทางมาสู่อาณาจักรซือเว่ยมีผลการทดสอบสายเลือดออกมาอยู่ในระดับสูงนั้น… เช่นเดียวกับการทดสอบผลเลือดของพวกเซียวปิงก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นผลมาจากตำแหน่งเทพเจ้าที่พวกเขาเคยได้รับไปหลอมรวมพลังนั่นเอง
ไม่มีคำอธิบายอื่นใดอีกแล้ว
“หากเป็นเช่นนี้ ตราบใดที่มีเวลาเพียงพอ ขอแค่เราอพยพยอดฝีมือที่ได้รับตำแหน่งเทพเจ้าจากแผ่นดินตงเต้ามาที่นี่ให้หมด เราก็จะมีกองทัพที่ไร้เทียมทานแล้วสินะ นึกภาพดู คงไม่ต่างจากองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่เคยมีกองทัพเป็นของตนเองเลยทีเดียว”
หลินเป่ยเฉินแอบคิดอยู่ในใจ
และเมื่อได้รับโอสถบำรุงพลังปราณ เช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมสำหรับการปรับตัวที่เป็นมิตร การเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของฉู่เหินและพรรคพวกจึงคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น พวกเขาก็น่าจะสามารถปรับตัวกับแผ่นดินใหม่ได้แล้ว
หลังจากนั้น จึงค่อยว่ากันด้วยการเลื่อนขั้นพลัง
“คืบหน้ากันไปเร็วจนเราชักจะอายเลยแฮะ ทำไมเก่งกันขนาดนี้วะ”
หลินเป่ยเฉินอดตกตะลึงไม่ได้จริง ๆ
เขาฝากฝังทุกอย่างให้เซียวปิงดูแลและออกมาจากสุสานกษัตริย์พร้อมกับหลิงเฉิน
สุสานกษัตริย์ในขณะนี้กลายเป็นสถานที่ซ่อนตัวที่มีความปลอดภัยสูงสุด ไม่จำเป็นที่หลินเป่ยเฉินต้องวิตกกังวลใด ๆ อีก
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ลู่หลิว เด็กหนุ่มก็พบว่าหวังจงกำลังรอคอยตนเองอยู่ด้วยความกระวนกระวายใจ
“นายน้อยขอรับ มีข่าวดีกับข่าวร้าย ไม่ทราบว่านายน้อยอยากฟังข่าวไหนก่อน?”
หวังจงกล่าวด้วยน้ำเสียงลำบากใจ
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นและตอบว่า “งั้นขอฟังข่าวร้ายก่อนก็แล้วกัน”