เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1819 เชิญเข้ามา
ตอนที่ 1,819 เชิญเข้ามา
คณะทูตอสูรพร้อมใจกันล่าถอย
หากยังมีชีวิตรอดกลับออกไปจากที่นี่ พวกมันก็ยังมีโอกาสแก้แค้น
หลินเป่ยเฉินไม่ได้สกัดขัดขวาง
เพราะพวกมันไม่รู้ว่าเขาคือหลินเป่ยเฉิน อสูรเหล่านี้จดจำเขาในฐานะของหัวหน้าองครักษ์ผู้มีนามว่าฮ่าวไต๋
เพราะฉะนั้น พวกอสูรก็อยากจะแก้แค้นฮ่าวไต๋ ไม่ได้อยากมาแก้แค้นเขาสักหน่อย
ส่วนมุมมองที่คนในสำนักม่วงมหากาฬมีต่อหลินเป่ยเฉินนั้น ขณะนี้แบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายแรกคิดว่าการสังหารหัวหน้าคณะทูตอสูรเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โต และในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ฮ่าวไต๋ก็สมควรถูกนำตัวไปลงโทษสถานหนัก
ส่วนอีกฝ่ายคิดว่าคณะทูตอสูรเมามายและเป็นฝ่ายที่ก่อเรื่องก่อน พวกมันก็สมควรตายแล้วและในฐานะหัวหน้าองครักษ์ประจำตัวแม่ทัพหลี่ ฮ่าวไต๋ก็ทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างไร้ที่ติ และนี่คือการประลองแบบตัวต่อตัว ฮ่าวไต๋สามารถเอาชนะศัตรูได้ในกระบวนท่าเดียว สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษจึงจะถูกต้อง
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถกเถียงกันอย่างรุนแรง
ขณะนี้ยากที่จะหาข้อสรุปได้
ในเวลาเดียวกันนี้ สงคราม ณ อาณาจักรซือเว่ยก็ได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ
แม้ว่างานเลี้ยงต้อนรับในวันนี้จะยังไม่ได้ข้อสรุประหว่างสองเผ่าพันธุ์ที่แน่ชัด
แต่แผนการรบก็ดำเนินต่อไปตามแผนเดิมที่วางเอาไว้
กองทัพอสูรและกองทัพปีศาจได้เผชิญหน้ากับกองทัพมนุษย์ของอาณาจักรซือเว่ย
ต่างฝ่ายต่างก็บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
สำหรับสำนักม่วงมหากาฬ สถานการณ์โดยรวมดำเนินไปอย่างราบรื่น อาณาจักรซือเว่ยตกอยู่ในความวุ่นวายโกลาหล ราชสำนักระส่ำระสาย เพียงวันเดียวเท่านั้น หลายเมืองก็ถูกตีแตกยับเยิน
ในช่วงบ่าย ผู้อาวุโสระดับสูงคนหนึ่งของสำนักม่วงมหากาฬได้เดินทางมาที่ป้อมปราการด้านหน้า เพื่อสังเกตการรบด้วยตนเอง
ในช่วงเย็น หลี่อี้สวิ่นพบกับหัวหน้าคณะทูตพิเศษจากเผ่าพันธุ์อสูรอีกหนึ่งตนนามว่าโจวอู๋ไห่ แต่การประชุมก็ล่มลงกลางคันด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง
ในช่วงค่ำ กองทัพเรือเหาะของสำนักม่วงมหากาฬก็เข้าสู่น่านฟ้าของอาณาจักรซือเว่ยได้สำเร็จ
ไม่มีการสกัดขัดขวาง
เนื่องจากกองทัพเซียนกระบี่ได้ถอนกำลังไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองเทียนหลางซิงเรียบร้อยแล้ว
ทั้งหมดนี้เป็นข่าวคราวที่มาถึงหูของหลินเป่ยเฉิน
ดังนั้น ไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องเป็นกังวล
…
รัตติกาลมาเยือน
หลี่อี้สวิ่นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสวมเสื้อคลุมชุดนอนสีม่วงนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอน ในมือของนางกำลังคลี่ม้วนเอกสารออกอ่านด้วยความพินิจพิเคราะห์
พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น
เสียงฝีเท้าหยุดลงที่หน้าประตูห้อง
“นายท่าน หัวหน้าองครักษ์ฮ่าวไต๋มาถึงแล้ว ให้เชิญตัวเข้าไปเลยไหมขอรับ?”
เป็นเสียงของที่ปรึกษาเยว่ชิงอาน
“เชิญเข้ามา”
หลี่อี้สวิ่นวางม้วนกระดาษในมือลง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า น้ำเสียงแจ่มใส
เยว่ชิงอานหันกลับมาส่งสัญญาณบอกหลินเป่ยเฉินผู้ยืนอยู่ทางด้านหลังให้เข้าไปสู่ด้านในห้องนอนของท่านแม่ทัพหลี่
หลินเป่ยเฉินจ้องมองเยว่ชิงอานด้วยแววตาสมเพชเวทนา เจ้าหมอนี่มันน่าสงสารจริง ๆ เนื้อไม่ได้กิน ผืนหนังไม่ได้รองนั่ง ซ้ำยังนำกระดูกมาแขวนคอ ถึงกับต้องพาตัวบุรุษอื่นมาส่งที่ห้องนอนของหญิงอันเป็นที่รัก ไม่ทราบเลยว่าสภาพจิตใจจะบอบช้ำเพียงใด?
หลินเป่ยเฉินเลิกม่านลูกปัดขึ้นแล้วเดินเข้าสู่ห้องนอน
กลิ่นหอมลอยอยู่ในอากาศ
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นทางด้านหลัง
ดูเหมือนว่าเยว่ชิงอานกำลังจะเดินกลับออกไป
“เสี่ยวเยว่ อย่าเพิ่งไป เจ้ารออยู่หน้าประตูก่อน”
หลี่อี้สวิ่นส่งเสียงตะโกนออกไป “บางทีข้าอาจมีเรื่องรบกวนขอความช่วยเหลือจากเจ้า”
“เรื่องนี้…ข้าน้อยขอปฏิเสธได้หรือไม่?”
เยว่ชิงอานส่งเสียงถามกลับมา
“ไม่ได้”
หลี่อี้สวิ่นส่งเสียงตอบกลับไป
หลินเป่ยเฉินอดตกตะลึงในรสนิยมของหลี่อี้สวิ่นไม่ได้จริง ๆ
นางเป็นหญิงโรคจิตขนานแท้
หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองกลับไปด้านหลัง
เขามองเห็นอย่างชัดเจนว่าเงาร่างของมือกระบี่หนุ่มคงแก่เรียนที่ยืนพิงเสาอยู่หน้าม่านลูกปัดนั้นกำลังสั่นเทาเล็กน้อย
เฮ้อ
น่าสงสาร
น่าสงสารเหลือเกิน
ด้วยรูปลักษณ์และขั้นพลังของเยว่ชิงอาน เขาสมควรที่จะมีคู่ครองเป็นหญิงงามดี ๆ สักคน
แต่ความรักเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล
หลินเป่ยเฉินสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่าน เดินตรงเข้าไปในห้องนอน และหยุดยืนอยู่ห่างจากเตียงหลังใหญ่นั้นประมาณสิบก้าว “ท่านแม่ทัพต้องการพบตัวข้าน้อยหรือขอรับ?”
“มานั่งตรงนี้สิ”
หลี่อี้สวิ่นเปิดผ้าห่มออกและตบที่นอนข้างกาย ก่อนยิ้มอย่างอ่อนหวาน “ทำไมจึงไปยืนอยู่ห่างไกลถึงเพียงนั้น”
หลินเป่ยเฉินขยับเข้าไปใกล้มากกว่าเดิมสองก้าวและถามว่า “ท่านแม่ทัพเรียกข้าน้อยมามีเรื่องอันใดหรือ?”
ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก?
หลินเป่ยเฉินเพียงกำลังเสแสร้งแกล้งโง่เท่านั้น
เขารู้ดีอยู่เต็มหัวใจว่าการลงมือสังหารคณะทูตจากเผ่าอสุรกายเขียวในวันนี้ คงจะไปกระตุ้นต่อมความสนใจของหลี่อี้สวิ่นเข้าอย่างจัง ที่นางเรียกเขามาหายามดึกเช่นนี้ ก็เพราะอยากจะเสพสุขกับเขานั่นเอง
และสีหน้าของหลี่อี้สวิ่นก็ไม่ได้ปิดบังอารมณ์ความรู้สึกแม้แต่น้อย
“อิ ๆ เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
หลี่อี้สวิ่นกวักมือที่ขาวผ่องของนางเรียกหลินเป่ยเฉินให้เข้าไปหา “มาสิ มานั่งตรงนี้เถอะ”
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนตอบว่า “คืนนี้คงไม่ได้หรอกขอรับ”
หลี่อี้สวิ่นขมวดคิ้ว
“การต่อสู้เมื่อตอนกลางวันเผาผลาญพลังไปมากมาย ข้าน้อยยังไม่ฟื้นตัวเลยขอรับ”
หลินเป่ยเฉินกล่าว
ข้าไม่อยากกลายเป็นรถสาธารณะ
หลินเป่ยเฉินได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจ
คุณชายหลินเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการเสมอ
“เจ้ายังหนุ่มยังแน่น... สูญเสียพลังอีกเล็กน้อยจะเป็นอันใด”
หลี่อี้สวิ่นลุกขึ้นจากเตียงนอน นางสวมใส่เสื้อคลุมชุดนอนสีม่วงบางเบา ผิวกายขาวเนียนราวกับหิมะ ใบหน้างดงามเปล่งประกายอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง นี่ย่อมเป็นคุณสมบัติของยอดหญิงงามในฝันของบุรุษหนุ่มจำนวนมากอย่างไม่ต้องสงสัย…
ตึกตัก! ตึกตัก!
บุรุษหนุ่มเก้าจากสิบคน ย่อมไม่อาจต้านทานเสน่ห์ที่เย้ายวนใจอย่างร้ายกาจเช่นนี้ได้
แต่โชคร้ายที่หลินเป่ยเฉินเป็นคนที่สิบ
บางทีอาจเป็นเพราะว่าหลินเป่ยเฉินพบเจอหญิงงามมามากมายเกินไป เขาจึงมีภูมิต้านทานหญิงงามมากกว่าคนปกติ
“ข้าน้อยฝึกวิชาเฉพาะทางอยู่ขอรับ”
หลินเป่ยเฉินอธิบาย
สองเท้าที่เปล่าเปลือยของหลี่อี้สวิ่นก้าวเดินเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน เมื่อนางมาถึงตัวเขา หลี่อี้สวิ่นก็ใช้มือลูบไล้หน้าอกของหลินเป่ยเฉินก่อนยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าเจ้าฝึกวิชาอะไรอยู่?”
“วิชาร่างบริสุทธิ์ขอรับ”
หลินเป่ยเฉินตอบ “ข้าน้อยจำเป็นต้องพิทักษ์ร่างกายให้อยู่ในความบริสุทธิ์ เมื่อฝึกวิชาได้สำเร็จ จึงจะสามารถเบ่งบานได้อย่างเต็มที่ขอรับ”
“อิ ๆ ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าเจ้าก็ยังบริสุทธิ์อยู่น่ะสิ?”
ฝ่ามือของหลี่อี้สวิ่นเคลื่อนไหวไม่ต่างจากงูเลื้อยเข้าไปภายใต้อกเสื้อของเด็กหนุ่ม “แต่ข้าได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้เจ้าเป็นคนเสเพลนี่นา”