เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1822 บทกวีให้ขบคิด
ตอนที่ 1,822 บทกวีให้ขบคิด
“ช้าก่อน แล้วท่านมาบอกข้าทำไม?”
หลินเป่ยเฉินถาม
หลี่อี้สวิ่นยกมือกอดอกแน่นกว่าเดิม “ก็เจ้าถามข้า”
“ข้าถามท่านหรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“แล้วท่านเรียกข้ามาเข้าพบเพราะเหตุใด?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
“อ้อ ข้าคิดว่าเป็นเพราะท่านอยากร่วมรักกับข้า พวกเรามาสานต่อกันดีหรือไม่?”
“เฮอะ”
“ไม่ดีหรือ? นี่ ท่านส่งเสียงดังอีกหน่อยดีหรือไม่ ยามเฝ้าหน้าประตูของท่านจะได้จิตใจแตกสลายมากกว่านี้ไงล่ะ”
“ข้าล้มเลิกความคิดนั้นแล้ว”
“ท่านไม่อยากทำร้ายจิตใจเขาแล้วสินะ?”
“ถึงอย่างไรข้าก็ต้องปล่อยเขาไปอยู่ดี”
“ข้ามีคำถามขอรับ ในเมื่อท่านมีบุคคลที่รักชอบอยู่แล้ว เหตุไฉนถึงไม่ครองรักกันไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยล่ะ บุคคลที่มีสถานะสูงส่งอย่างท่าน ยังจะมีผู้ใดสามารถขัดขวางได้อีกหรือ?”
“ยังมีผู้คนขัดขวางได้อยู่”
“ผู้ใดขอรับ?”
“จ้าวสำนักม่วงมหากาฬ”
“จ้าวสำนักของท่านเนี่ยนะ? เขาหลงใหลในความงามของท่านหรืออย่างไร?”
“เขาหลงใหลข้ามานานมากแล้ว หากข้าไม่ได้สร้างภาพลักษณ์เช่นนี้ขึ้นมา เกรงว่าข้าคงต้องตกอยู่ในกำมือของเขาไปเรียบร้อยแล้ว”
“พวกปีศาจก็ลุ่มหลงในราคะเหมือนกันนะขอรับ”
“ปีศาจอย่างไรก็เป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์หนึ่ง ย่อมมีรักโลภโกรธหลงเป็นเรื่องธรรมดา”
“อ้อ จริงด้วยสินะ ท่านทำให้ข้านึกถึงใครอีกคนหนึ่งขึ้นมาเลย…หุ ๆๆ”
“หืม?”
“เรามาคุยเรื่องท่านกันดีกว่า ในเมื่อท่านเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักม่วงมหากาฬ จ้าวสำนักตกหลุมรักท่าน นี่สมควรเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ? ทำไมท่านถึงคิดปฏิเสธ? หรือว่าท่านชอบคนธรรมดาอย่างเยว่ชิงอานมากกว่าจ้าวสำนักของตนเอง?”
“หน้าที่กับหัวใจ มันเป็นคนละเรื่องกัน”
“ฟังดูคมคายยิ่งนัก”
“และที่สำคัญก็คือ…ท่านจ้าวสำนักในขณะนี้กำลังหลงทาง”
“เอ๋? ช่วยขยายความหน่อยสิขอรับ”
“ท่านจ้าวสำนักถึงกับคิดทรยศต่อท่านภูตอเวจี…ช่างเถอะ เจ้าไม่เข้าใจหรอก พวกเรามาคุยกันเรื่องข้อตกลงกันดีหรือไม่?”
“ข้อตกลงอันใด?”
“เจ้าไปฆ่าผู้ส่งสาส์นของสำนักม่วงมหากาฬให้ข้า แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”
“ไม่น่าเป็นความคิดที่ดีนะขอรับ”
“แล้วเจ้ามีทางเลือกหรือ?”
“ย่อมมีทางเลือก”
“เจ้ามั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเอง แต่เจ้ายังไม่เคยเจอผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง”
“โอ๊ะ ลืมไปเลยว่าท่านมีพลังอยู่ในขั้นจอมปีศาจจักรา…แหม งั้นเรามาคุยเรื่องข้อตกลงกันต่อ ทำไมท่านถึงอยากสังหารผู้ส่งสาส์นของสำนักตนเองผู้นั้น?”
“ถามมากไปก็ไม่เป็นผลดีกับตัวเจ้าเองหรอกนะ หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่ถามอะไรมากมาย ยิ่งเจ้ารู้มากเท่าไหร่ เจ้าก็ยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากเท่านั้น”
“แต่บังเอิญว่าข้าเป็นคนที่เมื่อจะลงมือกระทำเรื่องราวใดแล้ว ข้าก็จะต้องทำความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน”
“ประเสริฐ งั้นข้าจะบอกเหตุผลกับเจ้า ผู้ส่งสาส์นผู้นี้เป็นนางบำเรอคนโปรดของท่านจ้าวสำนัก หากนางถูกฆ่าตายที่นี่ ท่านจ้าวสำนักก็อาจจะเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเอง…ส่วนเรื่องราวต่อจากนี้ เจ้าอย่ารู้เลย”
“งั้นขอข้าตัดสินใจก่อน...ตกลงขอรับ ข้ารับปากว่าจะสังหารผู้สงสาส์นคนนั้นให้กับท่าน”
“ตัดสินใจได้ดี”
“ขอรายละเอียดเป้าหมายสังหารให้แก่ข้าด้วยขอรับ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ขั้นพลัง อาวุธประจำตัว กระบวนท่าโจมตีที่รุนแรงที่สุด…นี่คงไม่ได้เป็นคำขอที่มากเกินไปกระมัง?”
“ไม่ได้มากเกินไป”
“ถ้าอย่างนั้นเรามาสานต่อเรื่องราวที่ค้างไว้ดีหรือไม่?”
“ขอปฏิเสธ”
“แหม แหม แหม…งั้นข้าขอถามหน่อยเถอะ ท่านคิดจะทรมานจิตใจเยว่ชิงอานเช่นนี้ตลอดไปหรือ?”
“นั่นมันเรื่องของข้า”
“ข้ามีบทกวีอยากจะมอบให้ท่าน”
“บทกวี?”
“น้ำทะเลไม่สามารถดื่มกิน ก้อนเมฆไม่สามารถไขว่คว้า…ความรู้สึกไม่สามารถล้างรา กาลเวลาไม่สามารถลบเลือน”
…
เมื่อหลินเป่ยเฉินเดินออกมาจากห้องนอนของแม่ทัพหลี่ เขาก็เห็นเยว่ชิงอานยืนพิงเสาหินอยู่หน้าห้องไม่ต่างจากเป็นรูปปั้นตัวหนึ่ง
เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินเดินออกมา สายตาของเยว่ชิงอานก็ไม่ต่างไปจากคมมีดกรีดแทง
เขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยสีหน้าเจ็บปวดใจ มือจับด้ามจับกระบี่ ราวกับว่าพร้อมที่จะชักกระบี่ออกมาได้ทุกเมื่อ
หลินเป่ยเฉินหยุดเท้าแล้วหันมามองหน้าเยว่ชิงอานเช่นกัน
“ท่านคงอยากรู้สินะว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องนอนบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินถาม
เยว่ชิงอานมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไป ก่อนจะส่ายศีรษะอย่างช้า ๆ
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไปว่า “บางทีมันอาจจะไม่เหมือนกับที่ท่านคิดเอาไว้ก็ได้”
สีหน้าของเยว่ชิงอานแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง
“ข้าจะบอกความลับให้ท่านฟัง” หลินเป่ยเฉินส่งเสียงกระซิบ
เยว่ชิงอานถามกลับมาว่า “ความลับอันใด?”
“ความจริงนั้นข้าไม่ได้ชื่อฮ่าวไต๋ แต่ว่าข้าแซ่เกา และข้าก็ไม่เคยคิดแย่งชิงสิ่งของกับผู้ใด ดังนั้น ทุกคนจึงเรียกข้าว่า…”
เยว่ชิงอานพูดแทรกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “เกาหยวนหยวน?”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าก่อนตอบว่า “ไม่ ทุกคนเรียกข้าว่าพ่อพระเกา”
เยว่ชิงอานแทบพูดอะไรไม่ออก
“งั้นข้าก็มีความลับจะบอกเจ้าเช่นกัน”
เยว่ชิงอานจ้องมองหลินเป่ยเฉินและกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ความจริง เยว่ชิงอานไม่ใช่ชื่อจริงของข้า แต่มันเป็นนามแฝงที่ข้าใช้ปลอมตัวเข้าสู่กองทัพของศัตรูเท่านั้น ส่วนนามที่แท้จริงของข้านั้นใช้แซ่ตงฟาง และข้าก็ไม่เคยพ่ายแพ้ในการประลองกระบี่กับผู้ใดมาก่อน ดังนั้น ทุกคนจึงเรียกข้าว่า…”
หลินเป่ยเฉินกล่าวสวนขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย “บูรพาไร้พ่าย”
“ตงฟางปุ๊ป้าย ใช่แล้ว”
เยว่ชิงอานตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หลินเป่ยเฉินเป็นฝ่ายที่พูดอะไรไม่ออกบ้างเช่นกัน
ตกลงนี่เขาทะลุมิติมาอยู่ในตลกคาเฟ่หรืออย่างไร?
“นับว่าท่านเป็นคนที่มีอารมณ์ขันยิ่งนัก”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น “หากท่านแม่ทัพหลี่มีอารมณ์ขันได้สักหนึ่งในสามของท่าน บางทีท่านอาจจะไม่ต้องมายืนอยู่ตรงนี้ แต่กำลังนอนอยู่บนเตียงของนางก็เป็นได้…”
“เจ้าจะไปรู้อะไร?”
ดวงตาของเยว่ชิงอานเป็นประกายด้วยความเหยียดหยาม
ไม่ต่างจากสายตาที่ใช้จ้องมองตัวตลก
“หึหึ…ข้าก็ไม่รู้อะไรจริงๆ นั่นแหละ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้ารู้อย่างแน่นอนก็คือ…”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองที่ปรึกษาคนสนิทของหลี่อี้สวิ่นและกล่าวว่า “ข้ารู้แต่เพียงว่าดอกไม้งาม…กำลังบานฉ่ำ”
เยว่ชิงอานสะดุ้งเฮือก ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความตกตะลึง
รังสีคุกคามแผ่ออกจากร่างกาย
หลินเป่ยเฉินไม่ได้หวาดกลัว มิหนำซ้ำ ยังเอื้อมมือไปตบไหล่เยว่ชิงอานพร้อมกับกล่าวว่า “พี่ชาย ข้าขอมอบบทกวีบทหนึ่งให้กับท่าน...เส้นผมบังภูเขา หัวใจคนเรายากแท้หยั่งถึง”
เยว่ชิงอานยืนตกตะลึง
หลินเป่ยเฉินเห็นเช่นนั้นก็ต้องกล่าวต่อ “เพื่อความยุติธรรม ข้าจะขอมอบบทกวีให้ท่านอีกสักบทหนึ่งเป็นของแถม: ถามสวรรค์ว่าความรักคือสิ่งใด ชีวิตมีเกิดและมีตาย ผู้คนสูญหายกลางธารา หมื่นหิมะพันภูเขาใครลิขิต ค้นชีวิตว่าผู้คนอยู่หนใด”
เยว่ชิงอานรับฟังด้วยสีหน้าที่บอกชัดว่าเขาไม่เข้าใจเลย
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงหัวเราะดังสนั่น “ข้าจะขอมอบบทกวีให้อีกสักบท…เอ่อ พอก่อนดีกว่า ข้าจำส่วนที่เหลือไม่ได้แล้ว เก็บเอาไปคิดและตีความเองก็แล้วกันนะ”
พูดจบ เด็กหนุ่มก็หมุนตัวเดินจากไปเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดึกสงัด
ทั้งด้านในและด้านนอกห้องนอนของท่านแม่ทัพหลี่ หญิงสาวและบุรุษคู่หนึ่งกำลังขบคิดและตีความบทกวีที่ตนเองไม่เข้าใจด้วยความเคร่งเครียดยิ่งนัก