เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1826 เจ้ามาเป็นพวกเดียวกับข้าเถอะ
ตอนที่ 1,826 เจ้ามาเป็นพวกเดียวกับข้าเถอะ
บริเวณหน้าจวนมีรูปปั้นขนาดใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่ตัวหนึ่ง
มันเป็นรูปปั้นของสตรีที่ใส่ชุดรัดรูปสีดำ ดวงตามีผืนผ้าปิดเอาไว้ เส้นผมรวบเป็นหางม้ายกสูง ลักษณะคล้ายกับพี่สาวตาบอดเซี่ยเต๋อจีแทบทุกกระเบียดนิ้ว
“เกิดอะไรขึ้น?”
เยว่ชิงอานยืนรออยู่หน้าจวน และเมื่อเห็นสายโซ่ที่คล้องคอหลินเป่ยเฉิน เขาก็ขมวดคิ้วทันที “นี่เป็นเพียงการเรียกตัวมาเพื่อสอบปากคำเท่านั้น เหตุไฉนองครักษ์หนิงจึงต้องทำเช่นนี้ด้วย?”
หนิงเว่ยหัวเราะเยาะ เขาจ้องมองเยว่ชิงอานอย่างเย้ยหยัน แล้วตอบว่า “เจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรถึงตั้งคำถามกับหัวหน้าองครักษ์ประจำตัวท่านทูตอย่างข้า?”
ดวงตาของเยว่ชิงอานเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความเดือดดาล “ฮ่าวไต๋ก็เป็นหัวหน้าองครักษ์ประจำตัวท่านแม่ทัพหลี่เช่นกัน”
“หัวหน้าองครักษ์? ฮ่า ๆๆ นี่คือครั้งแรกเลยนะที่สัตว์เลี้ยงกล้าอวดอ้างตำแหน่งของตนเองเช่นนี้”
หนิงเว่ยหัวเราะในลำคอและกล่าวต่อไป “เจ้าลองคิดดูให้ดี อย่าสนใจในสิ่งที่ไม่ควรสนใจ แม้ว่าเจ้าจะเป็นที่ปรึกษาคนสนิทของหลี่อี้สวิ่น แต่เจ้าก็ยังต้องก้มศีรษะให้แก่นายท่านของข้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ? เหอ ๆๆ พวกเจ้ามันก็เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงของหลี่อี้สวิ่นเท่านั้น”
เยว่ชิงอานยิ้มออกมาเล็กน้อย หัวคิ้วค่อย ๆ คลายตัวลง ไม่ได้โต้เถียงกับคนผู้นี้อีก
หลังจากนั้นไม่นาน
พวกเขาก็เดินเข้าไปด้านในจวนที่พัก
จากนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมานดังออกมาจากส่วนลึกของจวนบุปผาแดง
ตามมาด้วยเสียงร้องคำรามสาปแช่ง
พื้นที่ด้านในจวนที่พักมีขนาดกว้างขวาง แสงไฟสว่างไสว แต่กลับให้บรรยากาศที่อึมครึมมืดทะมึน
คลื่นพลังกดดันแผ่มาปะทะผิวกาย
แล้วหลินเป่ยเฉินก็ได้เห็นเสาทองสัมฤทธิ์สี่ต้นตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางห้องโถงใหญ่
เสาทองสัมฤทธิ์เหล่านั้นมีสายโซ่พันธนาการร่างของมนุษย์อยู่เสาละหนึ่งคน
ตัวเสาเปล่งแสงสว่างเรืองรองแผ่อุณหภูมิความร้อนน่าหวาดกลัว นี่คือการย่างสดมนุษย์ที่ถูกพันธนาการ ได้ยินเสียงดังฉ่า ๆ ไม่ต่างจากเสียงของเตาย่างเนื้อ กลิ่นผิวหนังที่เหม็นไหม้ลอยตลบอบอวลอยู่ในมวลอากาศ นับเป็นการทรมานที่อำมหิตยิ่งนัก
นอกจากนี้ บนตัวเสายังแขวนอุปกรณ์สำหรับการทรมานเอาไว้อีกมากมาย
ผู้ลงทัณฑ์ถือมีดอยู่ในมือ คอยแล่เนื้อเถือหนังนักโทษอย่างโหดร้ายทารุณ
มวลอากาศร้อนระอุ
องครักษ์จำนวนมากยืนรักษาการณ์หนาแน่น
ด้านหน้าของพวกเขาคือเก้าอี้ผลึกแก้วตัวหนึ่ง ผู้ส่งสาส์นนามว่าปิงหลันซาสวมใส่เสื้อคลุมหนังสัตว์สีฟ้าอ่อนนั่งอยู่อย่างเกียจคร้าน หน้าตาของนางมีอายุประมาณยี่สิบแปดถึงยี่สิบเก้าปี ใบหน้ากลม ดวงตาโต ริมฝีปากอวบอิ่ม จมูกโด่ง รวมแล้วเป็นใบหน้าที่มีเสน่ห์ยิ่งนัก
ในสายตาของหลินเป่ยเฉิน โครงหน้าของปิงหลันซาทำให้เขานึกถึงโครงหน้าของบรรดาหญิงสาวชาวยุโรปในโลกมนุษย์ใบเก่าขึ้นมาทันที
“นายท่าน ข้าน้อยนำตัวผู้คนมาส่งมอบแล้วขอรับ”
หนิงเว่ยเดินเข้าไปประสานมือโค้งคำนับ
ปิงหลันซาค่อย ๆ ชำเลืองมองหลินเป่ยเฉิน ดวงตาปรากฏความตื่นเต้นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
ก่อนหน้านี้ นางได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหัวหน้าองครักษ์ส่วนตัวคนใหม่ของหลี่อี้สวิ่นมาแล้ว แต่ปิงหลันซาก็ยังไม่คิดอยู่ดีว่าเขาจะหล่อเหลาถึงเพียงนี้ แม้แต่คนที่มีจิตใจเย็นชาอย่างนาง ก็ยังอดหัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นมาไม่ได้
“เจ้าพบข้าแล้วไฉนจึงยังไม่คุกเข่าอีก?”
ปิงหลันซาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ข้าเป็นองครักษ์ส่วนตัวของท่านแม่ทัพหลี่ และข้าไม่ใช่คนของสำนักท่าน ทำไมข้าจะต้องคุกเข่าให้ท่านด้วย?”
“บังอาจนัก”
หนิงเว่ยระเบิดเสียงคำรามและทำท่าจะเดินเข้ามาเตะขาหลินเป่ยเฉิน
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยจิตสังหาร
“ช้าก่อน”
ปิงหลันซายกมือห้าม “องครักษ์หนิง เจ้ากลับมาก่อน”
หนิงเว่ยหยุดชะงัก ถอยหลังก้มศีรษะลงรับคำว่า “ขอรับ”
แววตาของเขาปรากฏความอิจฉาริษยาและความไม่พอใจขึ้นมา แต่องครักษ์หนุ่มก็พยายามปิดบังเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
เพราะเหตุใด หนิงเว่ยจึงมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อฮ่าวไต๋ถึงเพียงนี้?
นั่นเป็นเพราะว่าฮ่าวไต๋มีใบหน้าที่หล่อเหลามากเกินไป ท่านทูตปิงหลันซาอาจจะหลงเสน่ห์เจ้าเด็กคนนี้ก็เป็นได้ แม้ว่านางจะเป็นนางบำเรอคนโปรดของท่านจ้าวสำนัก แต่ปิงหลันซาก็มีความลุ่มหลงต่อบุรุษหนุ่มรูปงามเช่นกัน
“สิ่งที่หลี่อี้สวิ่นให้กับเจ้า ข้าสามารถให้เจ้าได้มากกว่านั้นอีกสองเท่า”
ปิงหลันซายิ้มเล็กน้อยและกล่าวต่อ “เจ้ามาเป็นพวกเดียวกับข้าเถอะ”
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินแปรเปลี่ยนไปโดยทันที ความลำบากใจเผยชัดบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา
เอ่อ นี่มัน…
ปิงหลันซาอยากให้เขาทรยศหลี่อี้สวิ่นอย่างนั้นหรือ?
อันที่จริง หลินเป่ยเฉินเป็นเพียงสายลับที่แฝงตัวมา ไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะอยู่กับฝ่ายไหน ขอแค่ได้สืบข้อมูลเชิงลึกก็เพียงพอแล้ว
แต่ ก่อนอื่นต้องเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้ได้ก่อน
“แม่ทัพหลี่ให้อะไรกับข้าตั้งมากมาย”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “นางถึงกับให้โลหิตพิสุทธิ์โบราณกับข้า และให้เงินอีกหนึ่งล้านตำลึงทอง ไม่ทราบว่าท่านสามารถให้ได้มากกว่านั้นหรือไม่?”
“ว่าไงนะ?”
ปิงหลันซาหัวเราะในลำคอด้วยความตลกขบขัน “เจ้าคิดจะหลอกลวงข้าหรือ? หลี่อี้สวิ่นมีทรัพย์สมบัติมั่งคั่งขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าอย่าได้โลภมากเกินไปเลยดีกว่า”
“แหม ท่านเป็นถึงทูตประจำสำนัก น่าจะมีเงินไม่น้อยนี่นา”
หลินเป่ยเฉินกล่าวตอบ “หากข้าย้ายมาเป็นพวกเดียวกับท่าน ข้าก็จะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศตลอดไป ท่านคิดว่าข้าไม่จำเป็นต้องใช้เงินหรืออย่างไร? อย่างน้อยก็ช่วยแสดงความจริงใจหน่อยสิ”
ปิงหลันซายิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของตนเองสินะ”
หลินเป่ยเฉินสะบัดลำคอ ทำให้สายโซ่สั่นสะเทือน “ข้าก็อยากจะเข้าใจอยู่เหมือนกัน”
ปิงหลันซาชี้มือไปยังนักโทษทั้งสี่คนที่ถูกทรมานอยู่บนเสาทองสัมฤทธิ์ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกมันเป็นผู้ใด?”
หลินเป่ยเฉินส่ายศีรษะ
เมื่อพิจารณาจากรูปร่างหน้าตา นักโทษทั้งสี่คนไม่น่าใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจ
แต่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์
มีทั้งผู้ที่ยังหนุ่มแน่นและผู้ที่แก่ชรา
แต่แน่นอนว่าในโลกใบนี้ คนเราไม่สามารถกำหนดอายุได้จากหน้าตาเด็ดขาด ดูอย่างหลี่อี้สวิ่นนั่นปะไร นางมีหน้าตาไม่ต่างจากเด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปด แต่ในความเป็นจริงนั้น นางมีอายุนับพันปีแล้ว
ในโลกแห่งผู้ฝึกตน แม้แต่ชายชราอายุหลายพันปี ก็ยังสามารถแปลงโฉมเป็นเด็กหนุ่มแรกรุ่นได้เช่นกัน
ใบหน้าของนักโทษทั้งสี่คนบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดจากการถูกทรมาน ร่างกายของพวกเขาชักกระตุกอย่างรุนแรง
พวกเขาส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
แต่ไม่ได้ร้องขอความเมตตาเลยสักคำเดียว
“พวกมันเป็นหน่วยพลีชีพจากกองพัพเป่ยเฉินที่ต้องการเข้ามาลอบสังหารข้า”
ปิงหลันซายิ้มเล็กน้อย ริมฝีปากของนางเป็นสีแดงก่ำ ขณะกล่าวต่อไปว่า “ข้าได้สืบทราบข้อมูลมาว่ายังคงมีสายลับอีกผู้หนึ่งที่ยังลอยนวลอยู่และนั่นคือสิ่งที่รบกวนจิตใจของข้าเป็นอย่างยิ่ง… และคนที่ทำให้ข้าไม่สบายใจก็จะต้องมีจุดจบเช่นนี้เอง ไม่ทราบว่าเจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า “หากต้องการจะลอบสังหารท่าน ก็จงอย่าถูกพวกท่านจับตัวได้เด็ดขาด!”