เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1840 การต่อสู้ด้วยวิชาจากหญิงตาบอด
ตอนที่ 1,840 การต่อสู้ด้วยวิชาจากหญิงตาบอด
หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
นางเลิกคิ้วสูงและยิ้มกว้าง ยักไหล่ให้เขา เป็นทำนองว่านี่ไม่ใช่ความผิดของนาง
เมื่อเด็กหนุ่มหันมองกลับไป ก็พบว่าท่านเจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักม่วงมหากาฬยังคงจ้องมองหญิงตาบอดไม่วางตา “เข้ามาเลย ข้าจะมอบโอกาสให้เจ้าได้ต่อสู้อย่างยุติธรรม”
ทว่าเซี่ยเต๋อจีกลับไม่ขยับเขยื้อน
จากนั้นนางก็กลับเอื้อมมือมาผลักหลินเป่ยเฉินให้ก้าวเดินออกไป
“อ้าวเฮ้ย?”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน “นี่หมายความว่าอย่างไรกัน? เป็นข้าไปได้อย่างไร?”
“คุณชายลองออกไปสู้ดูก่อนเถอะ”
เซี่ยเต๋อจีว่า
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น “ข้าออกไปคงได้ตายแน่ ๆ”
ท่านเจ้าสำนักสำรวจมองหลินเป่ยเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอยู่หลายครั้ง “มนุษย์หรือ?”
ก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองหน้าเซี่ยเต๋อจีอีกครั้งและกล่าวว่า “นี่หรือคือทายาทที่เจ้าเลือกให้ออกมาต่อสู้? แค่ดีดนิ้ว ข้าก็สามารถฆ่าเขาได้แล้วด้วยซ้ำ…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
วูบ! วูบ! วูบ!
สายโซ่มรณะจำนวนมากก็พุ่งเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ และสายโซ่เหล่านั้นก็พันธนาการร่างกายของเด็กหนุ่มไม่ต่างจากบ๊ะจ่างลูกหนึ่ง
หืม?
ท่านเจ้าสำนักตกตะลึง
ทายาทที่หญิงตาบอดผู้เป็นอดีตเจ้าสำนักเลือกออกมานั้นทำไมถึงได้อ่อนแอเพียงนี้?
ไม่มีปัญญาแม้แต่จะต่อต้านขัดขืนเลยหรือ?
งั้นก็ตายซะเถอะ
เขาตัดสินใจเด็ดขาด
จากนั้นจึงปลดปล่อยพลังปราณลงไปในสายโซ่เพื่อเพิ่มแรงบีบรัดมหาศาล
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
เสียงแปลก ๆ ดังขึ้น
ทันใดนั้น ดวงตาของท่านเจ้าสำนักก็ต้องเบิกโต บนใบหน้าของเขาปรากฏความตกตะลึง
สายโซ่เวทมนตร์สีม่วงที่พันธนาการร่างกายของหลินเป่ยเฉินพลันขาดสะบั้น
ท่านเจ้าสำนักเบิกตาโตจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความเหลือเชื่อ
ในสายตาของเขา เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นเพียงมนุษย์ต่ำต้อย
เขาจะฆ่าให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้
เพราะคู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเขาคือเซี่ยเต๋อจี
และหญิงสาวหน้าตางดงามที่ยืนอยู่ข้างเซี่ยเต๋อจีนั้นอีกเล่า… ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ท่านเจ้าสำนักจึงรู้สึกว่าหญิงงามผู้นี้เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงสำหรับตนเอง
แต่บัดนี้ การที่หลินเป่ยเฉินสามารถสะบั้นสายโซ่ได้สำเร็จ นั่นก็พิสูจน์ได้แล้วว่าท่านเจ้าสำนักคิดผิด
เด็กหนุ่มมีร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างน่ามหัศจรรย์
ต้องเป็นผู้ฝึกฝนตามสายเลือดผู้คงกระพันแน่นอน
หรือว่าเด็กหนุ่มจะฝึกวิชาลับอะไรบางอย่าง?
ไม่แน่ว่าผู้ที่ถ่ายทอดวิชาลับเหล่านั้นอาจจะเป็นเซี่ยเต๋อจีเองก็ได้
ในขณะนี้ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพลันก้าวเท้าออกมาข้างหน้า จากนั้นจึงตบขึ้นไปที่เสาหินซึ่งตั้งอยู่ข้างกาย
แล้วคลื่นพลังสีม่วงก็แผ่กระจายออกมาจากเสาหินต้นนั้นปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในห้องโถงใหญ่แห่งนี้
พริบตาต่อมา จวนบุปผาแดงก็ถูกปิดผนึกโดยสมบูรณ์ การระเบิดพลังภายในห้องโถงใหญ่จะไม่มีทางรั่วไหลออกไปภายนอกเด็ดขาด
เมื่อเห็นเช่นนี้ ท่านเจ้าสำนักก็ต้องตกตะลึง
วิชานี้มัน…
ดูเหมือนเขาจะเคยเห็นมาก่อน
ว่าแต่เคยเห็นที่ไหนกันนะ?
หรือว่า…
ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวสมอง
ทันใดนั้น
“เจ้าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกาย ก่อนยิ้มและกล่าวว่า “ปลาน้อยที่กระโดดออกจากบ่อเล็กลงสู่มหาสมุทรกว้างใหญ่ย่อมเผชิญกับคลื่นลมที่แท้จริง วันนี้ คู่ต่อสู้ของเจ้าผู้นี้ คือหินลับมีดชั้นดีของเจ้า ข้าจะปล่อยให้เจ้าได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งของตนเอง… นี่จะทำให้ฝีมือการต่อสู้ของเจ้าพัฒนาไปอีกขั้น”
“งั้นทำไมท่านไม่มาลับฝีมือบ้างล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปอย่างประชดประชัน
“อย่าเพิ่งกล่าววาจาเหลวไหล”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ “โอกาสดีเช่นนี้มีเพียงครั้งเดียวในชีวิต ข้าจะไปแย่งโอกาสเจ้าได้อย่างไร”
“แล้วท่านล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินถาม
เซี่ยเต๋อจียิ้มหวาน ตอบกลับมาว่า “ข้าจะคอยระวังหลังให้เจ้าเอง”
กล่าวจบ นางก็ผลักหลินเป่ยเฉินออกมาข้างหน้าอีกครั้ง ทำให้คุณชายหลินไม่มีทางเลือกอีกต่อไป
เขาจำเป็นต้องต่อสู้!
เมื่อท่านเจ้าสำนักเห็นเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงแสดงเล่ห์เหลี่ยมเพื่อเอาตัวรอดเช่นนี้ออกมา ความสงสัยในจิตใจของเขาก็สลายหายไป
เป็นไปไม่ได้
ข่าวลือนั้นพิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่าไม่เป็นความจริง
ต่อให้คนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ นางก็คงไม่มีฤทธิ์เดชอันใดอีกแล้ว
ท่านเจ้าสำนักมองกำแพงทั้งสี่ด้านและพบว่าคลื่นพลังสีม่วงได้หายไปแล้ว แต่ค่ายอาคมป้องกันที่ถูกจัดวางเอาไว้ล่วงหน้าได้เปิดการทำงานอย่างเต็มอัตรา นี่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายเจ้าถิ่นเตรียมการเอาไว้เป็นอย่างดี
“เจ้าคงเตรียมการเอาไว้นานพอสมควรแล้วสินะ”
ท่านเจ้าสำนักสะกดความสงสัยในหัวใจและหัวเราะเยาะใส่หลี่อี้สวิ่น “นี่หรือคือความมั่นใจของเจ้าที่ทำให้เจ้ากล้าทรยศข้า? วันนี้ล่ะ ข้าจะดับความหวังของเจ้าเอง”
วูบ!
ท่านเจ้าสำนักระเบิดพลังออกมา
คลื่นพลังสีม่วงพุ่งออกไปอีกครั้ง
คราวนี้ มันไม่ได้มีรูปร่างเป็นสายโซ่อีกแล้ว แต่คลื่นพลังแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ที่คมกริบจำนวนนับพันเล่มพุ่งโจมตีใส่หลินเป่ยเฉิน
ด้วยขั้นพลังของท่านเจ้าสำนัก กระบี่ที่กำเนิดขึ้นมาจากพลังปราณปีศาจนั้นแข็งแกร่งไม่ต่างไปจากกระบี่ที่เป็นวัตถุเล่นแร่แปรธาตุระดับ 40 เลย
ในเมื่อสายโซ่เวทมนตร์ไม่สามารถโจมตีได้สำเร็จ ท่านเจ้าสำนักก็ต้องเปลี่ยนรูปแบบการโจมตี
กระบี่ปราณปีศาจนับพันเล่มนี้จะต้องโจมตีสำเร็จอย่างแน่นอน
เมื่อเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งถึงระดับนี้ หลินเป่ยเฉินย่อมไม่กล้าประมาทโดยเด็ดขาด
“กระบวนท่าสะบั้นฟ้า!”
เด็กหนุ่มระเบิดเสียงคำรามและใช้งานกระบวนท่าจากคัมภีร์แปดชั้นฟ้าที่พี่สาวตาบอดมอบให้มา
ร่างกายของเขากำลังอยู่ในภาวะสมบูรณ์สุดขีด
ด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด หลินเป่ยเฉินพลันยกมือขึ้นต่อยหมัดออกไป
เป็นหมัดที่แข็งแกร่งยิ่งนัก
คลื่นพลังพุ่งออกไปจากหมัดของหลินเป่ยเฉินเป็นรูปทรงกำปั้นที่กระจายตัวออกจากกัน จากหมัดเดียวแยกเป็นสองหมัด สามหมัด สุดท้าย พวกมันก็กลายเป็นพันหมัด
หมัดลำแสงของหลินเป่ยเฉินปะทะเข้ากับกระบี่ลำแสงของท่านเจ้าสำนักในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน
ไม่มีเสียงของการระเบิดตูมตาม
เมื่อพลังของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน คลื่นพลังก็สลายลงไปในความเงียบ
กระบวนท่าสะบั้นฟ้า
นี่เป็นกระบวนท่าที่สี่ในแปดกระบวนท่าของคัมภีร์แปดชั้นฟ้า มีจุดเด่นอยู่ที่การทำลายล้างศัตรูโดยเฉพาะ
ถึงกับสามารถสลายกระบี่เวทมนตร์ของท่านเจ้าสำนักได้โดยไร้ปัญหา
“นี่คือวิชาการต่อสู้ประเภทใดกัน?”
ท่านเจ้าสำนักต้องแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเป็นครั้งที่สอง
ครั้งแรกคือตอนที่เขาเห็นหลินเป่ยเฉินสามารถทำลายสายโซ่เวทมนตร์ของตนเองได้สำเร็จ
พลังอันมหาศาลของเด็กหนุ่มผู้นี้คือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจเลย
แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้ชะล่าใจ
เมื่อเผชิญหน้าคู่ต่อสู้อย่างท่านเจ้าสำนักของสำนักม่วงมหากาฬ หลินเป่ยเฉินก็สั่งห้ามไม่ให้ตนเองประมาทโดยเด็ดขาด
หากวัดกันที่ขั้นพลัง เขาจะต้องพ่ายแพ้และถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน
หากสู้กันด้วยความแข็งแกร่งของร่างกาย หลินเป่ยเฉินเชื่อว่าตนเองสามารถยื้อเวลาได้พอสมควร แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้และถูกฆ่าตายอยู่ดี
แม้ว่ากระบวนท่าจากคัมภีร์แปดชั้นฟ้าของเซี่ยเต๋อจีจะมีความแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้
แต่ถึงกระนั้น…
หลินเป่ยเฉินก้มตัวลงเล็กน้อย ไม่ต่างจากเสือดาวที่กำลังออกล่าเหยื่อ เขาโคจรพลังในร่างกายเต็มอัตรา ทำให้พลังปราณพุ่งขึ้นมาจากฝ่าเท้า ไหลเวียนไปทั่วแขนขา ผ่านไปทั่วกระดูกสันหลัง พลังปราณแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายไม่ต่างจากน้ำป่าไหลหลาก ปลดปล่อยคลื่นพลังออกมาทางรูขุมขน!