เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1842 ลงโทษตนเอง
ตอนที่ 1,842 ลงโทษตนเอง
คัมภีร์แปดชั้นฟ้าไม่ได้เป็นเพียงวิชาการต่อสู้เท่านั้น แต่มันยังเป็นวิชาที่สามารถใช้หลอมรวมพลังปราณได้อีกด้วย
เมื่อทำงานร่วมกับวิชาเคลื่อนย้ายกระแสปราณ ผลลัพธ์จึงยอดเยี่ยมยิ่งนัก
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจ้องมองความเปลี่ยนแปลงของหลินเป่ยเฉินด้วยสีหน้าที่มีความสุข
ประเสริฐ
นับว่าเด็กหนุ่มมีร่างกายที่แข็งแกร่งจริง ๆ
ดูเหมือนสิ่งที่นางคิดเอาไว้จะไม่ผิดพลาด
เมื่อได้คัมภีร์แปดชั้นฟ้าเป็นรากฐานในการหลอมรวมพลัง ต่อจากนี้ไป หลินเป่ยเฉินก็จะสามารถฝึกวิชาที่มีระดับสูงมากกว่านี้ได้โดยไม่มีปัญหาแล้ว
“เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกหรือ?”
เซี่ยเต๋อจี ‘มอง’ ไปทางท่านเจ้าสำนักม่วงมหากาฬคนปัจจุบันและกล่าวว่า “เจ้าจำ ‘องค์หญิงปีศาจแห่งนิรันดร์’ ไม่ได้หรือ?”
“ว่าไงนะ?”
ใบหน้าของท่านเจ้าสำนักซีดขาวโดยทันที
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นกลัว แทบไม่อาจเปล่งเสียงพูดออกมาได้อีก
“นาง… เป็น… เป็นไปไม่ได้… นางถูกจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ของพวกมนุษย์ฆ่าตายไปแล้วไม่ใช่หรือ… เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
เสียงของท่านเจ้าสำนักสั่นเครือด้วยความลนลาน
หลังจากนั้น เขาก็หันมามองหน้าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงด้วยสายตาที่สับสนและสงสัย
“หรือว่า… หรือว่าท่านจะเป็น…”
ท่านเจ้าสำนักคนปัจจุบันปกครองสำนักม่วงมหากาฬมาเป็นระยะเวลาหลายพันปี ทั้งยังเคยสังหารผู้คนเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน แต่บัดนี้ แม้แต่คำพูดสักคำก็แทบจะไม่สามารถเปล่งออกจากลำคอได้อีกแล้ว
แต่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ไม่ได้ชำเลืองมองเขาเลยสักนิด
สายตาของนางจดจ้องอยู่ที่ความเปลี่ยนแปลงบนร่างกายของหลินเป่ยเฉิน
เซี่ยเต๋อจีหัวเราะในลำคอ “เจ้าคิดว่าข้าจะโกหกไปเพื่ออะไร?”
ท่านเจ้าสำนักร่างกายสั่นเทา ทราบดีว่าคนที่ซื่อสัตย์อย่างเซี่ยเต๋อจีต่อให้ต้องตายเป็นร้อยรอบพันรอบ นางก็ไม่มีทางไปตามหาผู้ใดมาปลอมตัวเป็นคนผู้นั้นเด็ดขาด ในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่เซี่ยเต๋อจีกล่าวออกมาเอง แน่นอนว่ามันต้องเป็นความจริง
ดังนั้น นี่เองคงเป็นเหตุผลที่ทำให้เซี่ยเต๋อจีกล้าออกมาจากสุสานจันทรามิลืมเลือน
ใช่แล้ว มีเพียงคนผู้นั้นต่างหากที่จะสามารถคิดค้นสุดยอดวิชาอย่างคัมภีร์แปดชั้นฟ้าขึ้นมาได้
เมื่อได้คำตอบในสิ่งที่ตนเองสงสัย เม็ดเหงื่อก็ผุดพราวขึ้นมาบนหน้าผากของท่านเจ้าสำนัก และเพียงไม่กี่ลมหายใจ ร่างกายของเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อไม่ต่างจากคนที่เพิ่งขึ้นมาจากอ่างน้ำ
ท่านเจ้าสำนักรีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที
“ข้าน้อย… ผู้ต่ำต้อย… บ่าว…”
ท่านเจ้าสำนักไม่ทราบเลยว่าควรใช้คำพูดแทนตนเองว่าอย่างไรดี เขารู้สึกว่าตนเองไม่มีค่ามากพอ สุดท้ายก็ทำได้เพียงแนบหน้าผากลงไปกับพื้นหิน หมอบกราบศิโรราบยอมรับการลงโทษแต่โดยดี “บ่าวทราบว่าตนเองทำผิดมหันต์ บ่าวยินดีรับการลงทัณฑ์ทุกประการขอรับ”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ทำให้ยอดหญิงงามแห่งสำนักม่วงมหากาฬอย่างหลี่อี้สวิ่นและเยว่ชิงอานผู้เป็นยอดรักของนางต้องตกตะลึง
เกิดอะไรขึ้น?
ท่านภูตอเวจีมีสถานะแท้จริงเป็นผู้ใด เหตุไฉนจึงทำให้ท่านเจ้าสำนักยอมคุกเข่าก้มกราบได้ถึงเพียงนี้?
องค์หญิงปีศาจแห่งนิรันดร์!
ตำแหน่งนี้ซุกซ่อนความลับอันใดอยู่กันแน่?
หลี่อี้สวิ่นกับเยว่ชิงอานหันมองหน้ากันและต่างก็พบเห็นความตื่นตะลึงในดวงตาของกันและกัน
เรื่องราวบานปลายเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้
ทั้งสองคนหันกลับมาจ้องมองที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง ปีศาจสาวผู้ดำรงตำแหน่งภูตอเวจีผู้นี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่? เหตุไฉนนางจึงมาช่วยเหลือหลินเป่ยเฉิน?
หลี่อี้สวิ่นกับเยว่ชิงอานรู้สึกไม่เข้าใจสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว
“เจ้าเชื่อแล้วใช่หรือไม่?”
เซี่ยเต๋อจีกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ในอดีต ข้าเป็นเพียงหญิงตาบอดเร่ร่อนยากจนผู้หนึ่ง จนกระทั่งข้าได้มาพบกับนายท่าน ข้าจึงสามารถก่อตั้งสำนักม่วงมหากาฬได้สำเร็จ พวกเราสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่เผ่าพันธุ์ปีศาจ และสิ่งที่จะกลายเป็นมรดกตกทอดให้แก่เผ่าพันธุ์ปีศาจในรุ่นต่อไป”
“แต่แล้วเจ้ากลับขโมยตำแหน่งของข้าไป นอกจากจะไม่ทำเพื่อส่วนรวมแล้ว เจ้ายังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ยอมร่วมมือกับพวกกบฏทรยศหักหลังเผ่าพันธุ์ของตนเอง แล้วเจ้าคิดว่าตนเองยังมีค่าคู่ควรที่จะมองหน้านายท่านได้อีกหรือ?”
เมื่อท่านเจ้าสำนักคนปัจจุบันได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ น้ำตาก็ไหลอาบแก้มโดยทันที
เขาโขกศีรษะคำนับกับพื้นหิน พื้นหินสะท้อนแสงเป็นประกาย หน้าผากของชายวัยกลางคนเกิดรอยแตกร้าวและมีโลหิตไหลซึมออกมา
“ทุกครั้งที่บ่าวคิดถึงองค์หญิง บ่าวก็รู้สึกว่าตนเองช่างเป็นมดปลวกต่ำต้อย ที่ผ่านมา บ่าวเข้าใจว่าองค์หญิงได้เสียชีวิตไปแล้ว… บ่าวจึงทำให้องค์หญิงต้องขุ่นเคืองใจยิ่งนัก แต่บ่าวต่ำต้อยเกินไปที่จะต่อสู้กับกลุ่มอำนาจใหญ่เหล่านั้นได้ บ่าว… ไม่มี… ข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น… บ่าวจะขอรับการลงทัณฑ์แต่โดยดี ต่อให้ร่างกายต้องแหลกสลายเป็นผุยผงไปตลอดกาล บ่าวก็ไม่คิดเสียใจ”
ท่านเจ้าสำนักยกมือปาดน้ำตาด้วยความขมขื่น
สิ่งที่เขาหวาดกลัวมากที่สุดในชีวิตได้มาถึงแล้ว
เขาไม่ได้เป็นเจ้าสำนักม่วงมหากาฬอีกต่อไป
เขากลายเป็นคนทรยศที่จะต้องถูกลงโทษอย่างสาสม
นี่ยิ่งทำให้ความตกตะลึงในหัวใจของหลี่อี้สวิ่นเพิ่มขึ้นทวีคูณ
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงของสำนัก นางย่อมมีความเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสำนักม่วงมหากาฬอย่างลึกซึ้ง
นางรู้ดีว่าผู้ก่อตั้งเจ้าสำนักม่วงมหากาฬย่อมไม่ใช่เจ้าสำนักคนปัจจุบัน แต่เป็นผู้อื่น
แต่ประวัติความเป็นมาของผู้ก่อตั้งสำนักคนแรกได้ถูกลบทิ้งไป มีเบาะแสให้สืบค้นไม่มากนัก อย่างเช่นรูปปั้นหินและภาพวาดหญิงตาบอด เพราะฉะนั้น เมื่อหญิงตาบอดปริศนาปรากฏตัว หลี่อี้สวิ่นก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่ยาก
เซี่ยเต๋อจีไม่พูดคำใด แต่หันไปจ้องมองเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
สายตาของผู้เป็นนายท่านยังคงจ้องมองอยู่ที่ร่างกายของหลินเป่ยเฉิน นางกล่าวโดยไม่ชำเลืองมองกลับมาว่า “ในเมื่อรู้ความผิดของตนเองดีอยู่แล้ว เหตุไฉนจึงไม่ลงโทษตนเองเลยเล่า?”
ใบหน้าของท่านเจ้าสำนักปรากฏรอยยิ้มอย่างมีความสุข
พูดแล้ว
องค์หญิงพูดกับเขาแล้ว
ท่านเจ้าสำนักตื่นเต้นยิ่งนัก
ตราบใดที่องค์หญิงยอมพูดกับเขา ต่อให้เขาต้องฆ่าตัวตาย ท่านเจ้าสำนักก็ยินดียิ่ง
“ได้เลยขอรับ บ่าว…”
ท่านเจ้าสำนักกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่แล้วเขาก็รู้สึกว่าตนเองไม่มีค่ามากพอ ท่านเจ้าสำนักจึงโขกศีรษะลงกับพื้นสามครั้งและใช้กรงเล็บมือของตนเองทะลวงเข้าไปควักหัวใจออกมาจากด้านในหน้าอก
หัวใจสีม่วงที่กำลังเต้นตุบ ๆ
โลหิตพุ่งกระฉูด
ท่านเจ้าสำนักประคองหัวใจส่งมอบด้วยสองมือ
หลังจากนั้น ร่างของท่านเจ้าสำนักก็แข็งค้างไม่ต่างจากรูปปั้นน้ำแข็ง คุกเข่าคำนับอยู่ในท่านั้น หมดสิ้นลมหายใจ
แต่ใบหน้าในช่วงขณะสุดท้ายของชีวิตเขาแสดงออกถึงความสุขและความสมปรารถนา
ในฐานะที่เป็นสาวกปีศาจ ไม่มีสิ่งใดจะมีค่ามากไปกว่าการได้คุกเข่าอยู่ต่อหน้าองค์หญิงปีศาจแห่งนิรันดร์ และส่งมอบของบรรณาการที่ล้ำค่าที่สุดของตนเองออกไปอีกแล้ว!