เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1845 กลิ่นกุหลาบขาว
ตอนที่ 1,845 กลิ่นกุหลาบขาว
ยามดึกสงัด
เมื่อตอนบ่าย หลังกลับมาจากเยี่ยมเฟิงเสี่ยวไป๋กับฉินโมเหยียน หลินเป่ยเฉินก็รีบเปิดประตูมิติกลับไปที่แผ่นดินตงเต้าพร้อมนำตัวพวกของฉู่เหินติดตามไปด้วยเพื่อช่วยชุบชีวิตผู้คน
ครั้งนี้พวกเขาสามารถช่วยเหลือได้ห้าสิบคน
หลินเป่ยเฉินใช้เวลาคิดไม่นานก็ตัดสินใจได้ว่าผู้ที่พวกเขาต้องช่วยเหลือในครั้งนี้ ย่อมต้องเป็นพวกของหวังซินอวี่ มี่หรู่หยานและคนอื่น ๆ นั่นเอง
ปัญหาส่วนใหญ่ที่เคยสร้างความหนักใจให้แก่หลินเป่ยเฉินได้รับการคลี่คลายแล้ว!
ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบรื่น
การปฏิบัติภารกิจออกกำลังกายจากแอปพลิเคชัน Keep คือสิ่งที่จำเป็นต้องใช้เวลาตายตัว ไม่สามารถเร่งระยะเวลาได้ตามใจชอบ… หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่ายังไม่ทันที่จะปฏิบัติภารกิจสำเร็จ สงครามที่เกิดขึ้นจากสำนักม่วงมหากาฬและกองทัพอสูรก็ได้ยุติลงแล้ว
“นี่ พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง …ข้ามีความแข็งแกร่งขึ้นใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินกอดเฉียนเหมยอยู่ในอ้อมแขนซ้ายและประคองเฉียนเจินอยู่ในอ้อมแขนขวาแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่คิดเลยว่าวิชาเคลื่อนย้ายกระแสปราณจะส่งผลดีต่อเรื่องนี้ด้วย”
สองสาวรับใช้ผู้มีความงดงามอย่างปราศจากราคีนอนหอบหายใจอยู่ในอ้อมกอดของหลินเป่ยเฉิน ผิวของพวกนางเป็นสีชมพูระเรื่อ เมื่อครู่นี้พวกนางเพิ่งจะได้พบกับประสบการณ์หฤหรรษ์ เฉียนเหมยกับเฉียนเจินรู้สึกว่าวิญญาณยังไม่กลับเข้าร่างดีเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น พวกนางจึงไม่สามารถตอบคำถามของเขาได้
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าพักผ่อนไปก่อนเถอะ”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้าและกล่าวว่า “ข้าจะออกไปสูบบุหรี่ข้างนอก”
เมื่อเดินออกมานอกที่พักของตนเอง ชายหนุ่มก็นำบุหรี่ออกมาจุดสูบมวนหนึ่ง
ในชาติภพที่แล้ว… เขาไม่สูบบุหรี่
แต่ในชาติภพนี้ บุหรี่ที่ซื้อหาจากโทรศัพท์มือถือนั้น นอกจากจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพแล้ว มันยังช่วยเสริมสร้างพลังปราณในร่างกายอีกด้วย ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงกลายเป็นผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ… โดยเฉพาะหลังการเริงรัก นี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
ระหว่างที่กำลังพ่นควันโขมงอยู่นั่นเอง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง
เป็นเสียงฝีเท้าของสตรี
กลิ่นกายหอมกรุ่นลอยมาเตะจมูก
“นี่ สาวน้อย เจ้าฟื้นตัวดีแล้วหรือ? ยังอยากเรียนรู้วิชาจากข้าอีกสักหลายกระบวนท่าหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปพร้อมกับยิ้มกว้าง
ตุบ!
มวนบุหรี่ในมือร่วงหล่นลงพื้นทันที
“อ้าว… เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ?”
เมื่อคุณชายหลินจ้องมองเด็กสาวที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาก็ต้องยิ้มออกมาด้วยความกระอักกระอ่วนใจ
เด็กสาวผู้มาเยือนสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ผมสีน้ำตาลแดงยาวสยายหยักศกดูเป็นธรรมชาติ ใบหน้าเคร่งขรึมดั่งผู้แก่วิชา ผิวกายขาวผ่อง แววตาอ่อนโยน ทั้งหมดนี้บรรยายได้ว่าสาวเจ้ามีความงดงามไม่ต่างจากดอกกุหลาบขาวที่กำลังเบ่งบานอยู่ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด
เป็นเยว่หงเซียง!
“ศิษย์พี่หลิน…”
สีหน้าของนางอ่อนโยนลงและถามด้วยความเกรงใจว่า “ดูเหมือนข้าจะมาในเวลาที่ไม่เหมาะสมสินะ?”
หลินเป่ยเฉินรีบนำเสื้อคลุมอีกตัวมาสวมใส่ทับเสื้อคลุมบางเบาโดยเร็ว ก่อนยิ้มแห้ง ๆ “น้องเยว่ เจ้ามาตามหาข้าเช่นนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือไม่?”
เยว่หงเซียงตอบว่า “ข้าได้ยินข่าวเกี่ยวกับศิษย์พี่ฮัน”
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า “ศิษย์พี่ฮันน่าจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ข้าก็ยังรอคอยข่าวยืนยันอยู่เช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินแจ้งให้ทุกคนทราบผ่านทางวีแชตเกี่ยวกับข่าวคราวของฮันปู้ฟู่ก่อนหน้านี้
“ท่านจะไปตามหาเขาหรือไม่?”
เยว่หงเซียงสอบถาม
หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะ “หากได้รับเบาะแสที่แน่ชัด ข้าก็ต้องไปตามหาตัวศิษย์พี่ฮันอย่างแน่นอน”
การรอคอยไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา
ถ้าเขาได้รับทราบถึงที่อยู่ที่แน่นอนของฮันปู้ฟู่ หลินเป่ยเฉินก็ตั้งใจว่าจะเป็นฝ่ายไปหาศิษย์พี่ฮันด้วยตนเอง
หลังจากต้องออกผจญภัยในหลายดินแดง หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกมีความสุขจริง ๆ เมื่อได้กลับมาพบกับสหายเก่าจากสถานศึกษากระบี่ที่สามแห่งเมืองหยุนเมิ่งอีกครั้ง โดยกลุ่มสหายรักของเขานั้น ไป๋ชินอวิ๋นต้องเสียชีวิตกลายเป็นวิญญาณล่องลอย ฮันปู้ฟู่ก็หายสาบสูญไม่ทราบชะตากรรม ส่วนเยว่หงเซียงก็ต้องเกือบตายตกในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายเพื่อปกป้องแผ่นดินตงเต้า…
บุคคลทั้งสามนี้คือบุคคลที่หลินเป่ยเฉินห่วงใยมากที่สุด
กาลเวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับสายน้ำไหล
สหายเก่าต้องพลัดพรากจากกัน
แต่หลินเป่ยเฉินก็หวังว่าจะตามหาทุกคนให้พบเจอ
“ท่านพาข้าไปด้วยได้หรือไม่?”
เยว่หงเซียงเกี่ยวปอยผมไปทัดไว้หลังใบหูและกล่าวว่า “ข้าเองก็อยากเจอศิษย์พี่ฮันเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินลังเลเล็กน้อย แต่แล้วก็ตอบตกลง “ได้สิ พวกเราจะไปหาศิษย์พี่ฮันด้วยกัน”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยว่หงเซียง
นับตั้งแต่ที่ฟื้นคืนชีวิตกลับมาจากสภาวะรูปปั้นหิน เด็กสาวก็ฝึกวิชาตลอดเวลา เพื่อหวังให้ตนเองเป็นคนที่แข็งแกร่งมากขึ้น
นางไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้ผู้ใดได้เห็น
เยว่หงเซียงเป็นเด็กสาวที่มีลักษณะอ่อนนอกแข็งใน
สิ่งเดียวที่นางหวาดกลัวมากที่สุดในชีวิตก็คือการที่นางกลายเป็นตัวปัญหาสำหรับผู้อื่น
เพราะนางเติบโตขึ้นมาด้วยการพึ่งพาตนเอง
โลกที่แสนโหดร้ายบ่มเพาะให้นางกลายเป็นบุคคลที่เจียมเนื้อเจียมตัวและมักจะเกรงใจผู้อื่นเสมอ
แต่แล้วการเข้ามาของหลินเป่ยเฉินก็เปลี่ยนชีวิตของนางไป
เยว่หงเซียงพยายามที่จะเข้าใกล้เขาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
เคยแม้แต่จะสารภาพความรู้สึกออกไป…
ทว่าน่าเศร้าที่หลินเป่ยเฉินสูงส่งมากเกินไป เขาเปรียบเสมือนดวงตะวันร้อรแรงที่นางไม่กล้าเงยหน้ามอง
ในขณะที่มีสาวงามจำนวนมากต้องการจะเข้าใกล้เขา เยว่หงเซียงกลับดีดตนเองห่างไกลออกมาเรื่อย ๆ นางพอใจเพียงได้มองอยู่ห่าง ๆ และคอยมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการก็พอแล้ว
รอยแผลเป็นบนใบหน้าคือปมด้อยสำคัญของเยว่หงเซียง
แต่ในภายหลัง หลินเป่ยเฉินก็ไปตามหาหัวใจพฤกษากลับมารักษาใบหน้าของนางได้สำเร็จ เยว่หงเซียงจึงกลับมาเป็นหนึ่งในสาวงามอีกครั้ง
บัดนี้กาลเวลาเปลี่ยน ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยน…
เยว่หงเซียงเองก็ไปเช่นกัน
นางได้รับการทดสอบว่ามีสายเลือดชั้นสูงและด้วยการเบิกทางของหลินเป่ยเฉิน ขอบเขตพลังของเยว่หงเซียงจึงสามารถเลื่อนระดับได้อย่างปาฏิหาริย์ เพียงไม่กี่วัน นางก็กระโดดขึ้นมาอยู่ในขอบเขตจอมเทพตอนปลายแล้ว
เด็กสาวเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ โดยเฉพาะในเรื่องการสร้างค่ายอาคม
เยว่หงเซียงอุทิศตนเองเพื่อการเรียนรู้วิชาการสร้างค่ายอาคมอย่างหนักนับตั้งแต่สมัยอยู่ในแผ่นดินตงเต้า
เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่นางสามารถทำได้ดีที่สุด
เมื่อเห็นผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงอย่างไม่เป็นระเบียบของเยว่หงเซียง หลินเป่ยเฉินก็อดเอื้อมมือไปลูบผมของนางไม่ได้ จากนั้นจุดบุหรี่กลิ่นกุหลาบขาวสำหรับสตรียื่นส่งให้นางพร้อมกล่าว “เจ้าลองสูบกลิ่นใหม่สิ ข้าเพิ่งซื้อ… เอ๊ย ข้าเพิ่งคิดค้นมันขึ้นมาได้สำเร็จ บางทีเจ้าอาจจะชอบ”
สองแก้มของเยว่หงเซียงร้อนผ่าว เสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นิ้วมือของนางยื่นออกไปคีบรับบุหรี่มาคาบไว้ที่ริมฝีปาก จากนั้นอัดควันเข้าปอดอึกใหญ่
กลิ่นกุหลาบขาวหอมกรุ่น
สดชื่น
ดวงตาของเยว่หงเซียงเป็นประกายระยิบระยับ
นอกจากเป็นผู้ใช้ค่ายอาคมแล้ว กิจกรรมอื่น ๆ ที่นางชื่นชอบก็ยังเป็นการวาดภาพ การคัดตัวอักษรและการจัดดอกไม้
และหนึ่งในดอกไม้ที่นางชอบที่สุดก็คือดอกกุหลาบขาว…